Posted on

7สมุนไพรในรั้วบ้านควรมี

สมุนไพร

ตะไคร้ เทคนิคพิเศษสำหรับการปลูกตะไคร้ที่คุณไม่เคยทราบมาก่อนก็คือ ตะไคร้ไม่จำเป็นต้องปลูกไว้ในดินเสมอไป เพราะเพียงคุณเลือกซื้อต้นตะไคร้ที่สมบูรณ์ หลังจากที่ตัดท่อนบนเพื่อใช้ประโยชน์เพื่อใช้ประกอบอาหารแล้ว ให้นำต้นท่อนล่างแช่น้ำทิ้งไว้ เพียงไม่นานมันก็จะออกรากแข็งแรงกลายเป็นต้นใหม่
ตะไคร้จัดเป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้า ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายใบมีขนหนาม

เป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาประกอบอาหาร โดยตะไคร้แบ่งออกเป็น 6 ชนิด ได้แก่ ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และตะไคร้หางสิงห์ ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมปลูกทั่วไปในบ้านเรา โดยมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย พม่า ศรีลังกา และไทย ตะไคร้เป็นทั้งยารักษาโรคและยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย เช่น วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ฯลฯ

ประโยชน์ของตะไคร้
นำมาใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้หอม น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้กระหายได้เป็นอย่างดี ช่วยในการบำรุงและรักษาสายตา มีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง มีส่วนช่วยในการบำรุงสมองและเพิ่มสมาธิ สามารถนำมาใช้ทำเป็นยานวดได้ ช่วยแก้ปัญหาผมแตกปลาย (ต้น) มีฤทธิ์เป็นยาช่วยในการนอนหลับ การปลูกตะไคร้ร่วมกับผักชนิดอื่น ๆ จะช่วยป้องกันแมลงได้เป็นอย่างดี นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของสารระงับกลิ่นต่าง ๆ ต้นตะไคร้ช่วยดับกลิ่นคาวหรือกลิ่นคาวของปลาได้เป็นอย่างดี กลิ่นหอมของตะไคร้สามารถช่วยไล่ยุงและกำจัดยุงได้เป็นอย่างดี เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์จำพวกยากันยุงชนิดต่าง ๆ เช่น ยากันยุงตะไคร้หอม สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิด เช่น เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม นำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น มักนิยมนำมาใช้ในการประกอบอาหารหลายชนิด เช่น ต้มยำ และอาหารไทยอื่น ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ

กุยช่าย เป็นพืชชนิดหนึ่งที่ปลูกและโตง่าย แม้จะอยู่ในบ้านหรืออาคาร เพราะมันไม่ได้ต้องการแสงแดด กุยช่ายขึ้นง่ายมาก เพียงคุณดึงลำต้นของมันออกมา โดยที่มันยังมีรากติดอยู่ด้วย จากนั้นนำมันไปปลูกไว้ในกระถางที่มีดินอยู่ จากนั้นไม่มันก็จะออกรากไปจนทั่วกระถาง

กุยช่ายขาว เป็นพืชชนิดเดียวกับกุยช่ายเขียว แต่ตอนปลูกจะนำฝาหรือเข่งมาครอบไว้ไม่ให้ถูกแสงแดด มีราคาแพงกว่ากุยช่ายเขียว นิยมนำไปผัดเต้าหู้ ผัดหมูกรอบ ผัดมี่สั้ว ผัดหมี่ฮ่องกง กุยช่ายเขียวใช้รับประทานเป็นอาหารได้ ดอก ผักกับตับหมู ใบรับประทานสดกับลาบหรือผัดไทยก็ได้ และนอกจากนั้นยังใช้ใบทำเป็นไส้ของขนมกุยช่ายอีกด้วย

และมีฤทธิ์เป็นยาสมุนไพร ใบ มีฟอสฟอรัสสูง เป็นยาแก้หวัด บำรุงกระดูก แก้ลมพิษ ทาท้องเด็กแก้ท้องอืด บำรุงไต บำรุงกำหนัด จะกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ ตำผสมเหล้าเล็กน้อยรับประทานจะช่วยกระจายเลือดไม่ให้คั่ง แก้ช้ำในได้ น้ำมันสกัดจากต้นกุยช่ายที่ความเข้มข้น 80 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรยับยั้งการเจริญของ Flavobacterium columnaris ในอาหารเลี้ยงเชื้อได้ ถ้านำน้ำมันนี้ไปผสมกับอาหารเลี้ยงปลา 800 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ทำให้ปลานิลตายจากการติดเชื้อ F. columnaris น้อยลง

สะระแหน่ เป็นพืชที่โตไวและเหมาะที่จะปลูกไว้ในบ้านที่อาจจะมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ วิธีการคือ โรยเมล็ดของมันลงในกระถางที่มีดินดี โดยตั้งกระถางไว้ในที่ร่มรำไร ให้มีแสงแดดอ่อนเล็กน้อยในแต่ละวัน เพียงเท่านี้คุณก็จะได้สะระแหน่ไว้ปรุงอาหารเมนูต่าง ๆ มีแหล่งกำเนิดในแถบทวีปยุโรปตอนใต้และในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ลักษณะใบจะคล้ายคลึงกับพืชในตระกูลมิ้นท์มาก มีกลิ่นหอมคล้ายมะนาว รสชาติจะคล้าย ๆ กับตะไคร้หอมและมะนาว สะระแหน่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ หลายชนิด เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น และยังให้พลังงาน 47 กิโลแคลอรี่ (ใน 100 กรัม) โดยใบสะระแหน่นั้นควรเลือกใช้ใบสดและยอดอ่อนจะได้สรรพคุณที่ดีกว่าใบแห้ง

ประโยชน์ของสะระแหน่
ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นด้วยการนำใบสะระแหน่มาบดแล้วนำมาทาผิว สะระแหน่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย ใช้เป็นยาเย็น ดับร้อน และขับเหงื่อในร่างกาย ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยลดรอยคล้ำใต้ตาด้วยการนำใบสะระแหน่มาบดให้ละเอียดโดยเติมน้ำระหว่างบดด้วยเล็กน้อย แล้วใส่น้ำผึ้งตามลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนำมาทาใต้ตาทิ้ง ไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก ช่วยบรรเทาอาการเครียด ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง โล่งคอ ด้วยการดื่มน้ำใบสะระแหน่ 5 กรัมกับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง ช่วยแก้อาการหน้ามืดตาลาย ด้วยการดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่กับขิงสด ช่วยบรรเทาอาการและแก้หวัด น้ำมูกไหล อาการไอ ช่วยรักษาโรคหอบหืด ช่วยรักษาโรคหลอดลมอักเสบ ช่วยให้หัวใจแข็งแรง ช่วยรักษาอาการอ่อนเพลียของร่างกาย

ผักชีฝรั่ง เป็นพืชผักที่ใช้บ่อยและเจริญเติบโตง่าย วิธีการคือใช้เมล็ดปลูกโดยอาจจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ข้อดีคือ มันไม่ได้ต้องการแสงแดดมาก รวมถึงยังเป็นพืชที่ดูแลง่ายอีกด้วย ผักชีฝรั่ง เป็นพืชล้มลุก จัดอยู่ในวงศ์ผักชี โดยมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้และประเทศเม็กซิโก แต่ปัจจุบันมีการเพาะปลูกทั่วโลก เป็นผักที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีใบสีเขียวอ่อน ขอบใบมีลักษณะคล้ายฟันเลื่อย และสำหรับวิธีการเลือกซื้อผักชีฝรั่งนั้นให้เลือกซื้อเอาใบที่เขียวสด ไม่เหลืองและเหี่ยว เมื่อซื้อมาแล้วก็เก็บใส่ถุงพลาสติกผูกให้มิดชิดแล้วนำไปแช่ตู้เย็นในช่องผักได้ สำหรับคุณค่าทางโภชนาการของผักชีฝรั่งนั้นก็มีมากมาย เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เบตาแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุเหล็ก เป็นต้น
ประโยชน์ของผักชีฝรั่ง

ผักชีฝรั่งมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย (ใบ) ผักชีฝรั่งมีประโยชน์ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง (ใบ) ช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง (ใบ) ช่วยลดระดับความดันโลหิต (ลำต้น) ช่วยทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้อย่างเป็นปกติ (ลำต้น) ช่วยบำรุงผิวพรรณ เส้นผม และเล็บให้แข็งแรง (ลำต้น) ช่วยรักษาสมดุลในร่างกายได้เป็นอย่างดี (ใบทำเป็นชาชงดื่มวันละ 3 ถ้วย) ช่วยกระตุ้นร่างกาย (ใบ, น้ำต้มจากราก) ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ (ทั้งต้น) ช่วยขับเหงื่อ (น้ำต้มจากราก)

ผักชีเวียดนาม เติบโตได้เร็วกว่าผักชีทั่วไป โดยใช้เมล็ดปลูก เป็นผักพื้นบ้านที่รู้จักกันดี ใบมีกลิ่นหอม
สรรพคุณ ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร ช่วยขับเหงื่อ ช่วยเจริญอาหาร ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการท้องผูก แก้อาการท้องเสีย รักษาไข้หวัด ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิค้านทานของร่างกาย ใช้รักษาโรคผิวหนัง รักษากลากเกลื้อน รักษาผื่น ลดอาการบวมแดง รักษาแผลอักเสบ ป้องกันการติดเชื้อโรคของแผล มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเสื่อมของผิว บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงผิวพรรณ ช่วยบำรุงสายตา ช่วยบำรุงกระดูก ช่วยดับกลิ่นปาก รักษาแผลในช่องปาก ระงับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย รักษาโรคเบาหวาน ป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ป้องกันมะเร็งลำไส้ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ป้องกันมะเร็งเต้านม ป้องกันมะเร็งปากมดลูก บำรุงเลือด ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดการเกิดโรคหัวใจวาย ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด ป้องกันโรคต้อกระจก

โรสแมรี่ พืชชนิดนี้เติบโตเร็วมากเพียงคุณรดน้ำ และไม่จำเป็นต้องปลูกในดินที่อุดมสมบูรณ์มากก็ได้ ซึ่งมันมีหลากหลายพันธุ์พืชชนิดนี้จึงเหมาะมากสำหรับปลูกในร่ม โรสแมรี่ เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง เป็นพืชพื้นเมืองของแถบเมดิเตอร์เรเนียน จัดอยู่ในวงศ์กะเพรา ใบมีรูปร่างคล้ายเข็ม ยาว 2-4 เซนติเมตร กว้าง 2-5 มิลลิเมตร มีกลิ่นหอม และเขียวอยู่ตลอดปี ด้านบนของใบมีสีเขียว ด้านท้องใบเป็นสีขาวและมีขนปกคลุม ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว สีชมพู สีม่วง หรือสีฟ้า ใช้ปรุงอาหารทำให้มีกลิ่นหอม ใช้ปรุงอาหารทำให้มีกลิ่นหอม นิยมนำมาปรุงอาหารประเภทเนื้อแกะ ปลา ไก่ บาร์บีคิว ใช้หมักเนื้อสเต็ก ทำซอส และแต่งกลิ่นซุป ยอดอ่อน ของใบนำมาทำชาโรสแมรี่ได้ ใช้ดื่มบรรเทาอาการหนาวเย็น ปวดศีรษะ อาการจุกเสียด และเป็นไข้

โหระพา เป็นผักและสมุนไพรอีกหนึ่งชนิดที่ใช้ประกอบอาหารบ่อยครั้ง และก็เป็นอีกหนึ่งพันธุ์ที่แนะนำให้ปลูกในบ้าน มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียและแอฟริกา เป็นพืชพื้นเมืองของอินเดีย แต่แพร่หลายในเอเชียและตะวันตก โหระพาเป็นพืชสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม นิยมอย่างมากในการนำมาประกอบอาหารและแต่งกลิ่นของรสชาติให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น โหระพา

สรรพคุณนั้นมีมากมายแต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามันมีประโยชน์อย่างไร โดยโหระพา 1 ขีด มีเบต้าแคโรทีนสูงถึง 452.16 ไมโครกรัม ซึ่งสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจ และยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ ด้วย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก รวมไปถึงคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เป็นต้น โดยสรรพคุณของโหระพาที่เรานำมาใช้ในการรักษาโรคหลัก ๆ แล้วจะใช้แค่ใบและน้ำมันสกัดจากใบโหระพาเป็นหลัก แต่ส่วนอื่น ๆ ก็ใช้ได้เหมือนกันไม่ว่าจะเป็น ราก ลำต้น ก็ถือว่ามีประโยชน์แทบทั้งสิ้น แต่น้ำมันโหระพาอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้หากใช้กับหญิงตั้งครรภ์ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยง

สรรพคุณของโหระพา
โหระพาสรรพคุณใบสดโหระพาใช้เป็นน้ำมันหอมระเหย ช่วยป้องกันความเสียหายในร่างกายของเราจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย มีส่วนในการช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด มีฤทธิ์ในการช่วยลดคอเลสเตอรอลและแผ่นคราบพลัคในกระแสเลือด มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยขับหัวสิวและต้านการเจริญเติบโตของเชื้อสิว ช่วยในการเจริญอาหาร ใช้เป็นยาพอกเพื่อดูดซับสารพิษออกจากผิวหนังได้ ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมสำหรับมารดาที่ให้นมบุตร ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำนมราชสีห์รับประทาน มีความเชื่อว่าเป็นยาบำรุงสุขภาพทางเพศได้อีกด้วย ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะด้วยการใช้ยอดอ่อนต้มกับน้ำ แล้วนำมาดื่มเป็นชา หรือกินเป็นผักสด แก้อาการวิงเวียนศีรษะด้วยการนำใบมาต้มดื่ม น้ำมันโหระพามีคุณสมบัติช่วยให้จิตใจสงบ มีสมาธิ และช่วยลดอาการซึมเศร้า ช่วยรักษาโรคตาแดง ต้อตา มีขี้ตามาก ช่วยแก้หวัดและช่วยในการขับเหงื่อ ด้วยการนำใบและต้นสดมาต้มเข้าด้วยกันแล้วเอาน้ำมาดื่ม ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน ด้วยการนำใบโหระพามาคั้นเอาน้ำสดให้ได้ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำอ้อย 2 ช่อ ผสมกับน้ำอุ่น แล้วนำมาดื่มวันละ 2 ครั้ง

Posted on

5 ผลเสียจากการอั้นปัสสาวะ

พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันที่นั่งทำงานทั้งวันโดยไม่ลุกเข้าห้องน้ำเดินทางไกลอยู่บนรถติดนานๆ ห้องน้ำสกปรกไม่ถูกใจ ก็เลยต้องอั้นปัสสาวะนานๆเข้า โรคภัยก็ถามหา

1.โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
การอั้นปัสสาวะนานๆ ทำให้แบคทีเรียเข้าไปทางท่อปัสสาวะทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ ซึ่งโรคนี้จะมีอาการ ฉี่กระปิดกระปอย เหมือนฉี่ไม่สุด ปวดขัด รู้สึกแสบร้อน เวลาปัสสาวะ ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น บางรายมีเลือดปน

2.กรวยไตอักเสบ
คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ อาการจะมีไข่สูง หนาวสั่น ปวดสีข้าง หรือเอว ปัสสาวะลำบาก แสบขัด และปัสสาวะมีสีขุ่น บางคนมีอาการ เบื่ออาหารอ่อนเพลียร่วมด้วย

3.กลิ่นตัวแรง
เมื่ออั้นปัสสาวะนานๆของเสียในร่างกายก็จะถูกดูดซึมย้อนกลับไปในเส้นเลือดซึ่งร่างกายก็จะหาวิธีขับออกโดยจะระบายออกทางเหงื่อหรือรูขุมขนทำให้เกิดกินตัวแรงพูดง่ายๆ คือกลิ่นตัวเป็นกลิ่นฉี่

4.โรคนิ่ว
การอั้นปัสสาวะนานๆแคลเซียมซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของปัสสาวะ จะเกิดการตกตะกอนและตกค้างจนเกาะตัวกันเป็นก้อนนิ่ว ซึ่งมีอยู่ที่เกิดจากการอั้นฉี่จะเกิดในกระเพาะปัสสาวะหรือในไต
อาการจะ มีการปวดบริเวณท้องน้อยเรื้อรังปัสสาวะ มีสีผิดปกติอาจมีความขุ่น ซึ่งบางครั้งมีก้อนนิ่วหลุดออกมาด้วยปัสสาวะบ่อย กระปิดกระปอยอาจมีไข้ร่วมด้วย

5.ทำให้เกิดสิว
การกลั้นฉี่นานๆก็เหมือนการกักเก็บสิ่งสกปรกแบคทีเรียและเชื้อราต่างๆไว้ในร่างกายเมื่อร่างกายดูดซึมย้อนกลับก็จะส่งผลเสียต่อผิวพรรณทำให้เกิดสิวบริเวณ U ZONE เช่นคาง และกราม เป็นต้น

 

น่ากลัวทุกข้อ ทุกอาการเลยค่ะ
ดื่มน้ำบ่อยๆ ดีต่อสุขภาพ ถึงเวลาขับปัสสาวะออกเราก็ต้องดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บตามมา.. กันไว้ดีกว่าแก้แน่นอนค่ะ

Posted on Leave a comment

นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

นิ่วในไต, ธนทร,สมุนไพร, นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ, นิ่ว, ไม่ต้องผ่า, นิ่วในถุงน้ำดี, นิ่วหายได้

อาการนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะมักแสดงอาการเมื่อก้อนนิ่วทำให้ผนังของกระเพาะปัสสาวะเกิดการระคายเคืองหรือไปปิดกั้นการไหลของปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้มีอาการ ดังนี้

ปวดท้องส่วนล่าง
มีอาการปวดหรือรู้สึกไม่สบายที่อวัยวะเพศหรืออัณฑะ
มีอาการแสบขณะปัสสาวะ
ปัสสาวะบ่อย
ปัสสาวะลำบากหรือปัสสาวะติดขัด
ปัสสาวะเป็นเลือด
ปัสสาวะขุ่นหรือปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ

สาเหตุของนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ สาเหตุของนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ มักจะเกิดขึ้นเมื่อมีปัสสาวะตกค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะและมีการตกตะกอน หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อบางประเภท และภาวะบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ รวมไปถึงสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะก็ทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้เช่นกัน ภาวะที่ทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะบ่อยที่สุด ได้แก่
ต่อมลูกหมากโต เพราะไปขวางกั้นการไหลของปัสสาวะทำให้ปัสสาวะออกมาได้ไม่หมดและตกค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
ภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติจากระบบประสาท (Neurogenic Bladder) เพราะโดยทั่วไปสมองจะทำหน้าที่สั่งการกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะให้รัดหรือปล่อย ซึ่งหากเส้นประสาทสมองเกิดความเสียหายจากโรคหลอดเลือดสมอง การบาดเจ็บของไขสันหลัง หรือปัญสุขภาพอื่น ๆ อาจทำให้ปัสสาวะได้ไม่สุด
สาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ได้แก่

การอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือการบำบัดด้วยรังสีในบริเวณเชิงกราน
เกิดจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น การสวนปัสสาวะ เพราะอาจมีวัตถุที่อาจหลุดเข้าไปอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจะทำให้ตะกอนก่อตัวบนวัตถุนั้น ๆ จนเกิดเป็นนิ่วได้
นิ่วไนไต ก้อนนิ่วที่ก่อตัวในไตอาจเคลื่อนลงมาทางท่อปัสสาวะและลงมาอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ หากไม่ถูกขับออกอาจก่อตัวจนเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้

ภาวะกระเพาะปัสสาวะหย่อน (Cystocele) คือภาวะที่เกิดขึ้นกับเพศหญิงและจะเกิดขึ้นเมื่อผนังของผนังกระเพาะปัสสาวะอ่อนแอและหย่อนลงสู่อวัยวะเพศ อาจไปปิดกั้นปัสสาวะไม่ให้ไหลออกจากกระเพาะปัสสาวะได้
โรค Bladder Diverticula เป็นถุงน้ำที่ออกมาทางผนังกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งหากถุงน้ำมีขนาดใหญ่เกินไปก็อาจทำให้ปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะได้
การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาล เกลือ รวมทั้งได้รับอาหารที่มีวิตามิน เอ และวิตามิน บีต่ำ อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มน้ำน้อย

การวินิจฉัยนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ การวินิจฉัยนิ่วในกระเพาะปัสสาวะนั้นมีหลายวิธี ได้แก่
ตรวจร่างกาย แพทย์อาจตรวจดูบริเวณท้องส่วนล่าง คลำดูว่ากระเพาะปัสสาวะขยายใหญ่ขึ้นหรือไม่ หรืออาจตรวจทางทวารหนักเพื่อดูว่าต่อมลูกหมากขยายใหญ่ขึ้นหรือไม่ รวมไปถึงสอบถามเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย
ตรวจปัสสาวะ นำตัวอย่างปัสสาวะไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อตรวจหาเลือด แบคทีเรีย หรือผลึกของแร่ธาตุ ซึ่งจะช่วยให้พิจารณาได้ว่ามีการติดเชื้อทางเดินปัสสาววะหรือไม่ เพราะอาจเกิดจากนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกน (Computerized Tomography: CT) เป็นการเอกซเรย์ที่จะช่วยให้ได้ภาพของอวัยวะภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว เพื่อตรวจจับก้อนนิ่วที่มีขนาดเล็กได้ และเป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการช่วยวินิจฉัยนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้หลายประเภท
อัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อตรวจอวัยวะและโครงสร้างส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ช่วยตรวจจับนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

เอกซเรย์ (X-ray) การเอกซเรย์ไต ท่อไตและกระเพาะปัสสาะวะ ช่วยให้แพทย์สามารถพิจารณาได้ว่ามีนิ่วอยู่ในระบบทางเดินปัสสาวะหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การเอกซเรย์อาจไม่สามารถทำให้เห็นนิ่วบางประเภทได้
การรักษานิ่วในกระเพาะปัสสาวะ การรักษานิ่วในกระเพาะปัสสาวะ โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้นำออก เบื้องต้นอาจใช้วิธีดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้นิ่วที่มีขนาดเล็กออกมาตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม นิ่วในกระเพาะปัสสาวะมักเกิดจากกระเพาะปัสสาวะไม่สามารถปัสสาวะออกไปจนหมดได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการทางการแพทย์เพื่อช่วยในการนำนิ่วออกจากระเพาะปัสสาวะ
วิธีที่มักใช้ในการนำนิ่วออกจากกระเพาะปัสสาวะเรียกว่าการขบนิ่ว (Cystolitholapaxy)เป็นการนำท่อขนาดเล็กที่มีกล้องตรงส่วนปลาย สอดเข้าไปทางท่อปัสสาวะเพื่อส่องดูนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ จากนั้นแพทย์จะใช้เลเซอร์ อัลตราซาวด์ หรือเครื่องมือบางอย่างเข้าไปสลายนิ่วให้แตกเล็กลงและล้างออกจากกระเพาะปัสสาวะ โดยวิธีนี้มักไม่ค่อยพบภาวะแทรกซ้อน แต่อาจเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ มีไข้ หรืออาจเกิดการฉีกขาดและมีเลือดออกในกระเพาะปัสสาวะได้ ซึ่งก่อนและหลังขั้นตอนดังกล่าวแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดโอกาสติดเชื้อ

นอกจากนั้น ในกรณีที่ก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่หรือแข็งเกินกว่าที่จะทำให้แตกและกำจัดออกได้แพทย์จะผ่าตัดและนำนิ่วออกมาโดยตรง

ภาวะแทรกซ้อนของนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ภาวะแทรกซ้อนของนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ อาจเกิดจากการที่ก้อนนิ่วไม่ได้ถูกขับออก ถึงแม้จะไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ ก็อาจเป็นสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น

กระเพาะปัสสาวะทำหน้าที่ผิดปกติเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการเป็นก้อนนิ่วในกระเพาะปัสสาวะและไม่ได้รับการรักษา จนเกิดปัญหาตามมา เช่น มีอาการปวดหรือปัสสาวะบ่อยครั้งผิดปกติ นอกจากนั้น ก้อนนิ่วอาจค้างอยู่บริเวณทางเปิดที่ปัสสาวะจะผ่านเข้าสู่ท่อปัสสาวะและปิดกั้นการผ่านของปัสสาวะ
ทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ เนื่องจากการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะหรือจากการผ่าตัด
การป้องกันนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
การป้องกันนิ่วในกระเพาะปัสสาวะนั้นค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เพราะมักจะเกิดจากสาเหตุอื่นนำมาก่อน เช่น การมีปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะ การติดเชื้อหรือมีสิ่งแปลกปลอมในระบบทางเดินปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม อาจลดโอกาสการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ โดยปฏิบัติดังนี้

สังเกตความผิดปกติหรืออาการที่เกิดขึ้น เช่น ต่อมลูกหมากโต การมีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะจากโรคทางระบบประสาท หรือภาวะอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับระบบปัสสาวะ ซึ่งหากได้รับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงที ก็อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้
ดื่มน้ำให้มาก เพราะน้ำจะช่วยเจือจางแร่ธาตุหรือสารที่เข้มข้นในกระเพาะปัสสาวะได้ โดยปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวันนั้นขึ้นอยู่กับอายุ ขนาดตัว สุขภาพ หรือกิจกรรมในแต่ละวัน อาจปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณการดื่มน้ำที่เหมาะสมสำหรับตนเองได้

Posted on Leave a comment

สรรพคุณของพริก

สรรพคุณของพริก

เมื่อเอ่ยถึงพริกทุกคนคงรู้สึกได้ถึงความเผ็ด แต่พริกก็เป็นเครื่องเทศหลักที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน คุณรู้ไหมว่านอกจากความเผ็ด จัดจ้านของพริกแล้ว พริกยังมีประโยชน์อีกมากมาย

พริก…ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวาง ระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก…ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจาก

พริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก…ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก…ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้
พริก…ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวด อันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไม เกรนลงได้

พริก…ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส
ไม่น่าเชื่อว่าพริกเม็ดเล็กๆที่เป็นส่วนประกอบของอาหารหลายอย่างจะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้ แต่ก็อย่ากินมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการแสบปาก แสบท้องได้

เคล็ดลับดูแลรูปร่าง เดนิมพลัส วันละเม็ด เผาผลาญไขมันสะสม ดักจับไขมัน บล็อคแป้ง ไม่ต้องอดอาหาร ไม่โย่ ไม่โทรม ปลอดภัย GMP ฮาลาล อย.

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
Posted on

โยโย่ เอฟเฟค คืออะไร??

โยโย่

โยโย่ เอฟเฟค

โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) 
โยโย่เอฟเฟค คือ การที่ร่างกายของเราเข้าสู่โหมดที่ต้องการเอาชีวิตรอด เกิดจากการที่เราทำการลดน้ำหนักแบบเอาเป็นเอาตายด้วยการอดอาหาร กินยาลดความอ้วน หรือออกกำลังอย่างหนักหน่วงจนทำให้น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายเข้าใจผิดคิดว่าร่างกายกำลังจะตาย เมื่อร่างกายรู้สึกว่าจะต้องตาย ร่างกายก็จะทำการส่งสัญญาณไปยังทุกระบบของร่างกายให้ลดการใช้พลังงานอย่างเร่งด่วน เพื่อที่ร่างกายจะได้มีพลังงานเก็บไว้ใช้ได้นานขึ้นจะได้มีชีวิตรอดยาวนานขึ้นนั่นเอง 

เมื่อร่างกายมีสัญญาณดังกล่าวออกมาจะทำให้ระบบการเผาผลาญและระบบการสลายไขมันเกิดน้อยลงตามไปด้วย ส่งผลให้น้ำหนักตัวที่เคยลดลงอย่างรวดเร็วหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อน้ำหนักไม่ลดตามที่ต้องการก็จะก่อให้ความเครียด ความเครียดที่ก่อตัวขึ้นในร่างกายจะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเกรลิน ( Grelin Hormone ) ที่เป็นฮอร์โมนแห่งความหิวออกมามากขึ้นและถ้าร่างกายมี 

ฮอร์โมนเกรลินมาก ๆ จะทำให้เราหิวจนตาลาย ส่งผลให้เรากินมากกว่าปกติโดยที่เราไม่รู้ตัว เป็นเหตุให้เราได้รับพลังงานมากกว่าที่เราใช้ไป แบบนี้เราจึงอ้วนมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง นี่คือกระบวนการที่ทำให้เกิด “ โยโย่เอฟเฟค ” ที่หลายคนรู้จักกัน
เรารู้จักกับการเกิดโยโย่เอฟเฟคกันแล้ว ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าเราจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอาการโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect )

โดยปกติแล้วผู้ชายจะมีการเผาผลาญพลังงานวันละประมาณ 2,000 Kcal ส่วนผู้หญิงจะมีการเผาผลาญพลังงานน้อยกว่าผู้ชายโดยผู้หญิงจะมีการเผาผลาญพลังงานวันละ 1,800 Kcal ถ้าเราได้รับพลังงานมากกว่าที่เราใช้ไปต่อวัน

พลังงานส่วนที่เหลือก็จะเข้าไปสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกายทำให้น้ำหนักตัวของเราเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันถ้าเราได้พลังงานน้อยกว่าที่ใช้ไปในแต่ละวัน ร่างกายก็จะทำการดึงไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายมาใช้ โดยการเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานกับร่างกายทำให้น้ำหนักตัวของเราลดลง

เชื่อหรือไม่ว่าถ้าเราสามารถลดพลังงานที่รับเข้าสู่ร่างกายได้ 7,000 Kcal เราจะสามารถลดไขมันไปได้ถึง 1 กิโลกรัมเลยทีเดียว นั่นหมายถึงว่าน้ำหนักของเราก็จะลดลง 1 กิโลกรัม

แสดงว่าถ้าในผู้หญิงได้รับพลังงานเข้าไปวันละ 800 Kcal เราก็จะต้องดึงพลังงานจากไขมันภายในร่างกายมาใช้ 1,000 Kcal ต่อวัน นั่นหมายถึงว่าใน 1 สัปดาห์เราจะสามารถดึงพลังงานในร่างกายมาใช้ 7,000 Kcal

นั่นหมายความว่าเราจะสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 1 กิโลกรัมเชียวนะ แบบนี้ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ภายใน 1 เดือนเราก็จะลดน้ำหนักได้ 4 กิโลกรัม และถ้าลดต่อไปจนครบ 1 ปี ก็จะสามารถน้ำหนักได้มากถึง 48 กิโลกรัมเลยทีเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นร่างกายของคนเราก็คงจะเหลือแต่กระดูกแน่ ๆ

แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เราคิดช่างตรงข้ามกับความเป็นจริงเสียเหลือเกิน เพราะว่าถ้าเรามีการลดน้ำหนักที่รวดเร็วเกินไปร่างกายของเราก็จะเข้าสูโหมดการเอาชีวิตรอดหรือโยโย่ เอฟเฟค ส่งผลให้การลดของน้ำหนักจะหยุดลงอย่างกะทันหันและยังทำให้ร่างกายรู้สึกหิวต้องการพลังงานมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้มีชิวิตอยู่ต่อไป บางคนกินมากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่าอิ่มเสียที มารู้สึกตัวอีกทีน้ำหนักตัวก็ขึ้นเป็นทวีคูณเสียแล้ว

วิธีลดน้ำหนักโดยไม่ทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟค
การเกิดโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect ) เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะว่านอกจากจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้วยังส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมในอนาคตอีกด้วย ซึ่งการลดน้ำหนักโดยที่จะไม่ทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟคในภายหลังสามารถทำได้ดังนี้

อาหาร5หมู่

1.กินให้เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายกันโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect )
การอดอาหารสามารถช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ก็จริงอยู่ แต่การลดน้ำหนักด้วยวิธีจะส่งผลน้ำหนักลดลงในช่วงแรกเท่านั้นและจะทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมดกลัวตายหรือโยโย่เอฟเฟคได้ง่าย ดังนั้นถ้าเราต้องการลดน้ำหนักอย่างได้ผลและไม่มีโยโย่เอฟเฟคเกิดขึ้น เราต้องกินอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เน้นการกินอาหารประเภทโปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์และเกลือแร่ ลดการกินอาหารที่เป็นแป้ง ไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง เพราะเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอในปริมาณที่เหมาะสมจะส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายจะอยู่ในสภาวะสมดุล การลดน้ำหนักที่เกิดขึ้นก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องและได้ผลในระยะยาว

ออกกำลังกาย

2.ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับร่างกาย
การออกกำลังเพื่อลดน้ำหนักไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างหักโหมเท่านั้นจึงจะสามารถลดน้ำหนักได้เท่านั้น เพราะเพียงแค่เราขยับร่างกายให้มากขึ้นกว่าปกติก็จะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้เพิ่มสูงขึ้นได้แล้ว ซึ่งการออกกำลังกายที่ดีควรเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับอายุ เพศและสุขภาพของผู้ออกด้วย เพราะว่าร่างกายของแต่ละคนนั้นจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ทั้งรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ รวมถึงระบบการเผาผลาญพลังงานด้วย บางคนเผาผลาญพลังงานได้ดี บางคนเผาผลาญพลังงานได้น้อยแม้ว่าจะทำกิจกรรมที่เหมือนกัน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้การเผาผลาญพลังงานของแต่ละคนต่างกัน คือ เพศ อายุ มวลกล้ามเนื้อในร่างกาย และลักษณะทางพันธุกรรมที่ได้รับถ่ายทอด ซึ่งเราสามารถหาค่าการเผาผลาญพลังงานของตัวเองได้ดังนี้

เคล็ดลับดูแลรูปร่าง เดนิมพลัส วันละเม็ด เผาผลาญไขมันสะสม ดักจับไขมัน บล็อคแป้ง ไม่ต้องอดอาหาร ไม่โย่ ไม่โทรม ปลอดภัย GMP ฮาลาล อย.

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
Posted on

ประโยชน์และโทษ กาแฟดำ

กาแฟดำ,ลดน้ำหนัก,เดนิมพลัส,denimplus

ประโยชน์และโทษ กาแฟดำ

ประโยชน์และโทษของกาแฟดำ
ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมและเติมโตมากทั้งในไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทั้งแบรนด์ไทย และต่างประเทศ ซึ่งกาแฟจะมีหลากหลายแบบมากๆ หลากหลายสายพันธุ์ วันนี้จะมาแนะนำเกี่ยวกับ กาแฟดำ กาแฟที่ถือว่าดูแลสุขภาพดีมากกว่า กาแฟผสมนม ผสมช็อคโกแลต ที่กินแล้วจะเสี่ยงต่อเบาหวาน หรือ อ้วนมากขึ้นอย่างแน่นอน แล้วประโยชน์ของกาแฟดำคืออะไร เรามาดูกันเลย

ประโยชน์ของกาแฟดำคือ
1. ป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซี
ไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคที่มีความอันตรายเป็นอย่างมาก แต่จากการวิจัยพบว่าการดื่มกาแฟดำเป็นประจำทุกวัน จะสามารถบรรเทาและป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซีได้
2. ช่วยลดความอ้วนหลายคนอาจจะเข้าใจว่าการดื่มกาแฟ เป็นสาเหตุที่ทำให้อ้วน แต่ความจริงแล้วกลับตรงกันข้าม เพราะกาแฟดำมีส่วนช่วยในการละลายไขมันได้ดี และสามารถให้พลังงานทดแทนได้ ซึ่งการดื่มกาแฟเป็นประจำหลังมื้ออาหาร ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากกาแฟจะเข้าไปทำให้ไขมันที่ทานเข้าไปแตกตัวและสลายไปอย่างง่ายดายโดยไม่จับเป็นก้อนนั่นเอง ไม่ต้องใส่นม ครีมเทียม น้ำตาลลงไปก็ช่วยได้เยอะมากๆ ครับ แต่ว่ารสชาติจะไม่ค่อยถูกปากหลายๆ ท่านอย่างแน่นอน
3. ป้องกันโรคหอบ
กาแฟสามารถป้องกันอาการหอบหืดได้ นั่นก็เพราะโรคหอบเกิดจากการที่ประสาทสำรองถูกกระตุ้น จึงแสดงอาการหอบออกมา แต่เมื่อดื่มกาแฟดำเป็นประจำ ฤทธิ์ของกาแฟดำจะเข้าไปช่วยระงับความตึงเครียดของประสาทสัมผัสสำรอง และไม่ทำให้เกิดอาการหอบนั่นเอง
4. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
ดื่มกาแฟแล้วใจสั่น นอนไม่หลับ แถมเสี่ยงโรคหัวใจเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนผมก็เป็นแต่หลังๆเหมือนเริ่มชิน เพราะกาแฟดำเมื่อดื่มบ่อยๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้ดี เนื่องจากในกาแฟดำมีวิตามินบีรวมชนิดหนึ่ง ชื่อว่านิโคติน ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดและป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว จึงไม่ทำให้เป็นโรคหัวใจ แถมลดความเสี่ยงภาวะไขมันในเลือดสูงอีกด้วย
5. ป้องกันโรคมะเร็ง
มะเร็งร้าย ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการดื่มกาแฟดำ เพราะในกาแฟดำมีกรดอะซิติก ที่จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนเนื้อร้าย และทำลายเซลล์ผิดปกติ ที่อาจกลายเป็นมะเร็งในวันหน้า เมื่อดื่มบ่อยๆ จึงหมดห่วงเรื่องมะเร็งร้ายมาเยือนไปได้เลย แต่กาแฟดำจะใช้สำหรับป้องกันโรคมะเร็งในขั้นต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้เพื่อรักษาโรคมะเร็งได้
6. บรรเทาอาการปวดศีรษะ
มักจะมีอาการปวดศีรษะบ่อยๆ การดื่มกาแฟดำก็ช่วยได้ดีเช่นกัน เพราะคาเฟอีนมีส่วนช่วยในการขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และระงับอาการปวดศีรษะได้ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะเนื่องจากอาการเมาค้างจากการดื่มสุราและของมึนเมาอีกด้วย แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรดื่มมากเกินไป เพราะอาจเกิดผลเสียได้เช่นกัน
7. ช่วยชะลอวัย
สำหรับคนที่ไม่อยากแก่เร็ว แค่ดื่มกาแฟดำบ่อยๆ ก็จะช่วยชะลอวัยได้ เพราะกาแฟดำจะทำให้ออกไซด์แตกตัว ลดการสะสมของออกซิเจนที่มีมากเกินไปจนอาจทำให้แก่เร็ว พร้อมทำให้ผิวพรรณเต่งตึง กระชับ ป้องกันการเกิดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นของผิวได้อย่างดีเยี่ยม แบบที่คุณเองก็แทบไม่ต้องซื้อครีมราคาแพงมาใช้เลยล่ะ

โทษของกาแฟดำคือ
1.เพิ่มระดับความดันโลหิตให้สูงมากขึ้น
การศึกษาวิจัยได้ค้นพบว่า การดื่มกาแฟจะทำให้ระดับความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นนานถึง 12 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในตอนเครียดๆ หรือช่วงที่ร่างกายมีภาวะความกดดันมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะจากการทำงานหรือเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการเกิดความดันโลหิตสูงมากขึ้นนั่นเอง
2.คาเฟอีนจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุ
คาเฟอีนจากในกาแฟจะมีผลขัดขวางการดูดซึมของแร่ธาตุบางชนิด เช่น แคลเซียม สังกะสีและเหล็ก ผู้ที่ต้องการให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีเพียงพอ จึงควรพยายามหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ โดยเฉพาะในเด็กซึ่งเป็นวัยที่ต้องเจริญเติบโต ควรงดดื่มกาแฟจะดีที่สุด
3.ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารหนักขึ้น
โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร ควรดื่มกาแฟอย่างระมัดระวังจะดีที่สุด เพราะกาแฟจะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำย่อยออกมามากขึ้น จึงเป็นผลทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารหนักขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ โดยเฉพาะเวลาท้องว่าง
4.เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน
เนื่องจากคาเฟอีนมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ หากดื่มกาแฟติดต่อกันเป็นเวลานาน ย่อมทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม ไปพร้อมกับการปัสสาวะได้อย่างมากขึ้นแน่นอน จนนำมาสู่ความเสี่ยงของภาวะการเกิดโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะกับผู้หญิงวัยทองที่ร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนง่ายอยู่แล้ว ยิ่งไม่ควรดื่มกาแฟมากเกินไปจะดีที่สุด
5.หญิงตั้งครรภ์เสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือร่างกายทารกไม่สมบูรณ์
หลายคนได้ยินข้อต้องห้ามเกี่ยวกับการดื่มกาแฟในคุณแม่ตั้งครรภ์อยู่แล้วแน่นอน ซึ่งโทษของการดื่มกาแฟสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ นั้น นับว่ามีผลกระทบรุนแรงเช่นกัน เพราะหากดื่มกาแฟมากจนเกินไปอาจส่งผลทำให้ทารกเจริญเติบโตแบบผิดปกติ หรือเพิ่มโอกาสในการแท้งได้สูงขึ้น เพราะคาเฟอีนจะก่อให้เกิดผลกระทบยังอวัยวะภายในของทารกที่กำลังบอบบางอยู่นั่นเอง
6.มีผลกระทบต่อการดูดซึมวิตามิน B1
วิตามิน B1 เป็นวิตามินที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาสมดุลและความมั่นคงเกี่ยวกับระบบประสาทภายในร่างกาย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ร่างกายขาดวิตามิน B1 อยู่แล้ว จึงควรงดดื่มกาแฟ ไม่เช่นนั้นคาเฟอีนจะยิ่งเข้าไปขัดขวางกระบวนการดูดซึมของวิตามินดังกล่าวให้ทำงานบกพร่องมากขึ้นได้
7.นอนหลับไม่เต็มที่
ขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายจะได้รับการแทรกแซงด้วยคลื่นรบกวนอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นผลมาจากคาเฟอีน จนทำให้ลึกๆ แล้ว ร่างกายก็ของเราก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แท้จริง

Posted on

นาฬิกาชีวิต

วัยทอง นาฬิกาชีวิต

นาฬิกาชีวิต เคล็ดลับสุขภาพดี 24 ชั่วโมง

“แม้ในเวลาที่คุณหลับพักผ่อน แต่ยังมีบางอย่างที่ยังทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง และพร้อมให้บริการคุณตลอดเวลา”

เดี๋ยวก่อน.. เราไม่ได้เป็นโฆษณาร้านสะดวกซื้อ แต่เรากำลังพูดถึงอวัยวะต่างๆในร่างกายของมนุษย์ที่ทำงานอย่างแข็งขันไม่มีวันหยุดแม้เสี้ยววินาทีต่างหาก

แล้วร่างกายของเรารู้เวลาได้ยังไง
ในร่างกายของเรา จะมีต่อมเหนือสมอง เป็นต่อมไร้ท่อที่มีชื่อว่า ต่อมไพเนียล (Pineal gland) ทำหน้าที่เป็นเหมือนตาที่สาม โดยเจ้าต่อมไพเนียล จะรับรู้และสร้างฮอร์โมนเซโรโทนินที่ทำให้เรารู้สึกเฟรช คึกคัก ตื่นตัว เมื่อเจอกับแสงสว่างในยามเช้า แม้ในยามที่เราหลับตาอยู่ และในความมืด ต่อมไพเนียลนี่ละที่สร้างฮอร์โมนเมลาโทนิน ที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและหลับสนิท และส่งผลต่อฮอร์โมนตัวอื่นๆในร่างกายด้วย

การเชื่อมโยงกับกลางวัน กลางคืน และฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายทำงานตามช่วงเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับเวลาในการดำเนินชีวิต ถ้ามีการกระตุ้นหรือส่งเสริมการทำงานของอวัยวะเหล่านั้นในเวลาที่ถูกต้อง ก็จะส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าช่วงเวลาอื่นๆ แต่หากไม่ทำตามเวลาของนาฬิกาชีวิตก็คือของเสียที่จะสะสมในร่างกาย รวมทั้งการเสื่อมของอวัยวะต่างๆก่อนเวลาอันควร ดังนั้นการทำความรู้จักกับนาฬิกาชีวิตและพยายามปรับไลฟ์สไตล์ของเราให้แมทช์กับการทำงานของอวัยวะต่างๆก็เป็นเคล็ดลับสุขภาพดีแบบง่ายๆ ที่ได้ประโยชน์มากเลยทีเดียว

นาฬิกาชีวิตทำงานอย่างไร

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
01.00-03.00 น ช่วงเวลาทำงานของตับ นอนหลับดีที่สุด
เพราะตับทำหน้าที่ ขจัดของเสียออกจากร่างกาย ผลิตอินซูลิน และ ผลิตน้ำดีไว้ย่อยไขมัน การส่งเสริมให้ตับทำงานได้ดีนั้นคือการนอนหลับสนิท ไม่ควรทานอาหารเวลานี้เพราะทำให้ตับทำงานหนักและเกิดสารพิษตกค้างในตับอีกด้วย

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
03.00-05.00 น. ช่วงเวลาทำงานของปอด ตื่นเช้าขึ้นมาสูดอากาศสดชื่น
ตื่นมาสูดอากาศยามเช้าให้ฟินเวอร์ พร้อมผิวเด้ง หน้าใส เพราะเป็นเวลาที่ปอดฟอกเลือดได้อย่างเต็มที่ คนเป็นหวัด หอบหืดต้องระวัง ช่วงนี้ปอดกำลังขับของเสียอาจจะมีอาการมากเป็นพิเศษ

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
05.00-07.00 น. ช่วงเวลาทำงานของลำไส้ใหญ่ ต้องไปขับถ่าย
ลำไส้ใหญ่จะทำงานได้ดีในเวลานี้ ทำให้ของเสียและกากอาหารถูกขับออกจากร่างกายได้ดีที่สุด แต่ถ้ายังมีปัญหาเรื่องขับถ่าย ลองดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว บีบมะนาวด้วยก็ยิ่งดีเลย

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
07.00-09.00 น. ช่วงเวลาทำงานของกระเพาะอาหาร ข้าวเช้าสำคัญตรงนี้
เป็นเวลาที่กระเพาะจะดูดซึมและย่อยสารอาหารต่างๆได้ดีที่สุด ไม่ทิ้งให้กลับมาเป็นภาระของพุง ต้นแขน ต้นขาอีกด้วย

09.00-11.00 น. ช่วงเวลาทำงานของม้าม ทำงานกันเถอะ

ซิกน่า แนะนำว่าเวลานี้ไม่ควรจะกินมากหรือพูดมากเพราะจะทำให้ม้ามชื้น ไม่แข็งแรง การกินอาหารในเวลานี้ทำให้อ้วนง่าย การนอนในเวลานี้จะทำให้ม้ามทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร และทำให้ม้ามอ่อนแอ

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า

11.00-13.00 น. ช่วงเวลาทำงานของหัวใจ เบาๆผ่อนคลาย
หัวใจทำงานหนักช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เที่ยงนั่งชิลล์ Enjoy Eating คุยเม้าท์เบาๆเพลินๆเก็บแรงไว้ทำงานตอนบ่ายดีกว่า

13.00-15.00 น. ช่วงเวลาทำงานของลำไส้เล็ก งดกินช่วงนี้ สมองแล่น
เวลานี้ควรละเว้นไม่กินอาหารทุกชนิด เพื่อให้ “ลำไส้เล็ก” ทำงานได้เต็มที่ ช่วงนี้สมองซีกขวาทำงานได้ดี

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า

17.00-19.00 ช่วงเวลาทำงานของไต สดชื่น แจ่มใส ไม่อยู่นิ่ง
เป็นเวลาที่ไม่ควรจะเข้านอน เพราะจะทำให้ไตทำงานหนัก ควรออกกำลังกายหรือทำงานไม่อยู่นิ่งๆ เช่นทำงานบ้านต่างๆเพื่อให้ร่างกายสดชื่น แอคทีฟ เพิ่มความดันเลือด จะช่วยให้ผิวสดใสแข็งแรง
ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
19.00-21.00 ช่วงเวลาทำงานของเยื่อหุ้มหัวใจ ทำสมาธิ ผ่อนคลาย
เป็นช่วงเวลาของการหยุดนิ่ง อาจจะทำโยคะ หรือทำสมาธิ ถ้ามีเวลาให้แช่น้ำอุ่นจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
21.00-23.00 น. ช่วงเวลาทำงานของอุณหภูมิในร่างกาย ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น
เป็นเวลาที่ร่างกายต้องการความอบอุ่น จึงไม่ควรอาบน้ำเย็นในช่วงนี้ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอได้ง่าย ถ้าเป็นคนเข้านอนเร็ว เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะกับการซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม หรือในอ้อมกอดของใครซักคนก็ได้นะ

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
23.00-01.00 น. ช่วงเวลาทำงานของถุงน้ำดี ดื่มน้ำก่อนนอน
เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงน้ำดีข้น ส่งผลให้เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ดังนั้นจึงต้องอย่าลืมดื่มน้ำก่อนเข้านอน

พื่อสุขภาพที่ดี ตามนาฬิกาชีวิต สุขภาพดี ได้ 24 ชั่วโมง อีกหนึ่งเคล็ดลับ ตัวช่วยตอบโจทย์ สำหรับ ระบบเผาผลาญไม่สมดุลย์ สกัดจากธรรมชาติ ด้วยปริมาณที่มากพอ

เรามาทำความรู้จัก
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
เดนิมพลัส กันนะคะ 
ลดไขมัน ลดอ้วน ลดโรค

renuva

เมื่อเอ่ยถึงพริกทุกคนคงรู้สึกได้ถึงความเผ็ด แต่พริกก็เป็นเครื่องเทศหลักที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน คุณรู้ไหมว่านอกจากความเผ็ด จัดจ้านของพริกแล้ว พริกยังมีประโยชน์อีกมากมาย พริก…ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวาง ระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส …

สรรพคุณของพริก

โยโย่ เอฟเฟค โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) โยโย่เอฟเฟค คือ การที่ร่างกายของเราเข้าสู่โหมดที่ต้องการเอาชีวิตรอด เกิดจากการที่เราทำการลดน้ำหนักแบบเอาเป็นเอาตายด้วยการอดอาหาร กินยาลดความอ้วน …

โยโย่ เอฟเฟค คืออะไร??

9 คาถาชีวิตมีสุข  ปัจจุบันวิทยาการเทคโนโลยีมีความก้าวหน้า . คนอยู่ต่างสถานที่กันแม้ไกลคนละซีกโลกก็สามารถติดต่อกันได้ . เสมือนอยู่ต่อหน้ากัน นั่งคุยกัน ความเจริญทางเทคโนโลยีทำให้การดำเนินชีวิตสะดวกสบาย . แต่ในความสะดวกสบายนั้นจริงๆแล้ว …

9 คาถาชีวิตมีสุข

โยเกิร์ต5ข้อดี 1.ช่วยให้นอนหลับง่าย โยเกิร์ตมีส่วนประกอบของนม ในโยเกิร์ตจึงมีทริปโตเฟน กรดอะมิโนที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกง่วงนอน และทริปโตเฟนยังจะช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนิน ฮอร์โมนที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับง่ายกว่าเดิม2.ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ในโยเกิร์ตมีโพรไบโอติกส์ แบคทีเรียชนิดดีต่อลำไส้และระบบย่อยอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย …

5ข้อดีโยเกิร์ต

25ประโยชน์ของขนุน 25ประโยชน์ของขนุนใครจะรู้ ว่าแค่กินขนุนนั้น จะส่งผลต่อร่ายกายมากขนาดนี้ ประโยชน์ของมันมีมากจริงๆ ใครอ่านจบแล้วรีบไปซื้อมากินด่วน ขนุน นอกจากจะมีความอร่อยแล้ว อีกทั้งหลายๆส่วนยังสามารถนำมาประกอบเป็นขนมและอาหารได้อีกด้วย แต่รู้หรือไม่ขนุนนั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด วันนี้มี 25ประโยชน์ของขนุนที่คุณไม่รู้มาก่อน 1.ลดการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า …

25ประโยชน์ของขนุน

ถอดรหัสลับ 5 ข้อ พอร์คชอป เรื่องกินเรื่องใหญ่ คำนี้ติดปากคนไทยมายาวนาน การได้พบปะเพื่อนฝูงจิบเครื่องดื่มและเพลิดเพลินไปกับการทานอาหารอร่อยนั้นสุขยิ่งกว่าสิ่งใด มารู้จักเมนูนิดนิยม “Pork Chop Steak”ถอดรหัสลับ …

ถอดรหัสลับ พอร์คชอป

อาหารบำรุงหัวใจ อาหารบำรุงหัวใจ มาดูแลหัวใจกันด้วยอาหารดีๆนะคะ อาหารไฟเบอร์สูง เช่นธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก และผลไม้ ปลาไขมันสูง เช่น ปลาทู ปลาช่อนปลาทูน่า ปลาสวาย ปลาแซลมอน …

อาหารบำรุงหัวใจ

หัวใจสำคัญในการควบคุมน้ำหนัก นอกจากจะต้องเลือกอาหารที่ดี มีประโยชน์ และแคลอรี่ไม่สูง เราต้องคำนึงถึงปริมาณที่เรากินเข้าไปด้วยค่ะ เพราะต่อให้เราเลือกอาหารที่แคลอรี่น้อยขนาดไหน แต่ถ้ากินเข้าไปเยอะๆ แบบไม่ยั้ง ก็ทำให้น้ำหนักเราขึ้นได้เหมือนกันนะ ถ้าเราสามารถ ควบคุมตัวเองไม่ให้กินเยอะ …

9วิธี ควบคุมตัวเองไม่ให้กินเยอะ

Posted on

6อาหารต้องกิน-ต้องห้าม ยามมีประจำเดือน

รีนูว่า

6อาหารต้องกิน-ต้องห้าม ยามมีประจำเดือน

ปวดท้อง ประจำเดือน ความทรมานรายเดือนที่ผู้หญิงหลายคนต้องเผชิญ ใครโชคดีหน่อยก็ปวดน้อย แค่ให้พอรู้สึก แต่สำหรับคนที่ปวดมาก ปวดระดับรุนแรงนั้น ก็แทบจะลงไปดิ้นทุรนทุรายกับพื้นเลยทีเดียว อาหารที่คุณกินเข้าไป ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลได้ว่า คุณจะ ปวดท้องประจำเดือน มากขึ้นหรือน้อยลง มาดูกันดีกว่า อาหารชนิดใดที่กินแล้วช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ และอะไร ที่กินแล้วทำให้ปวดท้องมากขึ้นกว่าเดิม!

ประจำเดือน (Menstruation หรือ Period) คืออะไร?

มาเกริ่นกันก่อนเข้าเรื่องอาหาร… ภาวะประจำเดือน คือ ภาวะที่เนื้อเยื่อภายในมดลูกหลุดลอกออกมาพร้อมกับเลือดบางส่วน เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง (โดยเป็นผลมาจากการเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ในทุก ๆ รอบเดือนของร่างกาย เมื่อไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ร่างกายจึงปรับสภาพกลับเข้าสู่ภาวะปกติ) ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นทุกเดือน จึงถูกเรียกว่า ประจำเดือนนั่นเอง

“อาหารต้องห้าม” ยามปวดท้องประจำเดือน
1. เนื้อสัตว์ติดมัน
ไขมัน เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดอาการปวดท้องประจำเดือน การทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ติดมัน อาจทำให้อาการปวดท้องของคุณรุนแรงขึ้นกว่าเดิมได้ นอกจากนี้ อาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง อย่างเช่น เนย หรือกะทิ ก็กระตุ้นให้อาการ ปวดท้อง กำเริบ ได้เช่นกัน ช่วงก่อน หรือช่วงมีประจำเดือน จึงควรงดทานอาหารประเภทนี้ไปก่อน
2. กาแฟ และเครื่องดื่มคาเฟอีนต่าง ๆ
คาเฟอีน ที่พบได้มากใน ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม เป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดท้องประจำเดือน มากขึ้น และยังทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ ทำให้อารมณ์แปรปรวนมากขึ้น รู้สึกหงุดหงิด โมโหง่าย กระวนกระวายใจ ดังนั้น ช่วงที่มีประจำเดือน จึงควรงดเครื่องดื่มคาเฟอีนทุกชนิด หรือหากจำเป็น ก็ควรดื่มให้น้อยที่สุด หรือเจือจางให้มากที่สุด
3. ไอศกรีม และของหวาน
ถึงแม้ว่า ช่วงมีประจำเดือน คุณอาจจะรู้สึกอยากทานของหวานมาก แต่น้ำตาล ก็จะทำให้อาการปวดท้องย่ำแย่ลงกว่าเดิมได้ ยิ่งเป็นไอศกรีมด้วยแล้ว ก็ลืมไปได้เลย เพราะนอกจากจะมีน้ำตาลแล้ว ไอศกรีมยังเต็มไปด้วยไขมันจากนมอีกด้วย แต่หากรู้สึกอยากทานของหวานจริง ๆ ให้เลือกทานของหวานจากผลไม้จะดีกว่า

“อาหารต้องกิน” เมื่อมี ประจำเดือน
1. น้ำเต้าหู้
ในน้ำเต้าหู้ มีฮอร์โมนเพศหญิง ที่สามารถบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ และช่วยลดการเกิดอาการปวดท้อง ประจำเดือน ได้เป็นอย่างดี หากต้องการให้เกิดผลดีที่สุด ควรกินก่อนประจำเดือนมาประมาณ 1 สัปดาห์
2. ผักผลไม้
ผักผลไม้ที่มีกากใยสูง มีส่วนช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ เพราะนอกจากกากใยในผักผลไม้ จะทำหน้าที่ดักจับฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกิน และกำจัดทิ้งไป ทำให้มดลูกไม่หดตัวมากเกินไปแล้ว ผักผลไม้ที่มีแมกนีเซียม และวิตามินซีสูง ยังช่วยบรรเทาอาการปวดเกร็งท้องได้ดีด้วย หรืออาจกินสมุนไพรอย่าง ตังกุย ที่มีสรรพคุณในการช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดลดการบีบตัว และลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อมดลูกได้เช่นกัน
ควรระวัง: ถั่วเหลือง และ สับปะรด มีสารที่กระตุ้นฮอร์โมนที่ให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และ เหมาะสำหรับทานช่วงก่อนเป็นประจำเดือน จะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ สำหรับผู้ที่ประจำเดือนมากระปริบกระปรอย หรือผู้ที่มีอาการปวดท้อง จากประจำเดือนมาน้อย ก็สามารถทานเพื่อกระตุ้นให้ประจำเดือนมามากขึ้นได้
3. ปลาทะเลน้ำลึก
ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลากระพง ปลาทู ปลาแซลมอน เป็นต้น เป็นปลาที่อุดมไปด้วยกรด EPA และ DHA ที่มีคุณสมบัติการในการ ช่วยลดอาการปวดเกร็งในช่องท้องได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก และยังช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรงได้

แม้ว่า อาการปวดประจำเดือน แทบจะเป็นสิ่งที่มาคู่กับผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ทุกคน แต่ช่วงที่มีประจำเดือน ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่ทั้งอึดอัด และทรมานร่างกาย และจิตใจสำหรับผู้หญิงไม่น้อยเลย นอกจาก ใช้อาหารเป็นตัวช่วยแล้ว การใช้ ยาแก้ปวดท้อง เพื่อระงับอาการปวด ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่สาว ๆ มักทำกัน

อีกหนึ่งตัวช่วยดีๆ อย่าง รีนูว่า อาหารเสริมสำหรับดูแลผู้หญิงโดยเฉพาะ เรื่องราวดีๆ คลิกที่นี่

RENUVA เพื่อนแท้ดูแลผู้หญิง

Posted on

มะเขือพวง  ช่วย4โรคร้าย

มะเขือพวง

มะเขือพวง  ช่วย4โรคร้าย

“มะเขือพวง” คงจะไม่มีใครที่บอกว่าไม่รู้จักผักพื้นบ้านของไทยชนิดนี้ เนื่องจากมะเขือพวงนั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นผักพื้นบ้านคู่ครัวไทยเลยก็ว่าได้ เพราะอาหารไทยหลายๆ ชนิด ไม่ว่าจะเป็น น้ำพริกกะปิ แกงป่า แกงเนื้อ แกงเขียวหวาน หรือแม้แต่ผัดเผ็ดบางอย่าง ก็ต้องมีมะเขือพวงเป็นส่วนประกอบ

ตามตำราแพทย์แผนโบราณ มะเขือพวงมีสรรพคุณหลายประการ เช่น บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนได้ดี แก้ปวด ฟกซ้ำ อาการบวม อักเสบ ปวดกระเพาะ แก้อาการฝีบวมหนอง ช่วยเจริญอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย ขับปัสสาวะ

ประโยชน์ของมะเขือพวงต่อสุขภาพร่างกาย เช่น ช่วยในเรื่องของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระบบขับถ่าย เนื่องจากในมะเขือพวงมีปริมาณเพ็กตินสูง ซึ่งสารชนิดนี้เป็นสารเส้นใยที่ละลายได้ในน้ำ เมื่อละลายแล้วจะเปลี่ยนรูปเป็นวุ้นเคลือบบริเวณผิวสำไส้ ทำให้ความสามารถในการดูดซึมสารเข้าสู่เซลล์ร่างกายของลำไส้น้อยลง
1. ช่วยในเรื่องของโรคเบาหวาน จากการที่เพ็กตินไปเคลือบบริเวณผิวลำไส้ มีผลให้ลำไส้
ดูดซึมสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตคือน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดน้อยลง ทำให้ในกระแสเลือดไม่มีน้ำตาลส่วนเกินจากที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ และจากการที่ในกระแสเลือดมีปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสม เลือดจึงไม่ข้นมาก ส่งผลให้ไตไม่ต้องทำงานหนักในการที่จะขับน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย จึงเป็นการลดสาเหตุการเกิดโรคไตได้อีกทางหนึ่งด้วย
2. ช่วยในเรื่องความดันโลหิตสูง เนื่องจากเพ็กตินมีคุณสมบัติดูดซับไขมันส่วนเกินจาก
อาหารและนำออกจากร่างกายทางระบบขับถ่าย และจากการที่เพ็กตินไปเคลือบบริเวณผิวลำไส้ มีผลให้ลำไส้ดูดซึมสาร อาหารจำพวกไขมันเข้าสู่กระแสเลือดน้อยลง ในกระแสเลือดจึงไม่มีไขมันส่วนเกินที่จะไปรวมตัวกันและเกาะติดที่ผนังเส้นเลือดที่เป็นบ่อเกิดของการทำให้หลอดเลือดตีบแคบลงหรือเส้นเลือดอุดตัน
3. ช่วยในเรื่องการต้านอนุมูลอิสระ จากงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากมะเขือพวงมีฤทธิ์ต้าน
อนุมูลอิสระสูง จึงช่วยลดภาวการณ์เกิดโรคมะเร็ง และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันความเสื่อมและแก่ก่อนวัย อีกทั้งในมะเขือพวงยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ นอกจากนี้จากงานวิจัยยังพบว่าสารสกัดจากมะเขือพวงมีผลยับยั้ง platelet activating factor (PAF) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหอบหืด การอักเสบเฉียบพลัน ภูมิแพ้และภาวะเลือดแข็งตัวอีกด้วย
4. ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย เนื่องจากเพ็กตินมีความสามารถดึงน้ำไว้เป็นจำนวนมาก จึงมี
ผลช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายทำให้ท้องไม่ผูก อันเป็นการลดต้นเหตุของการเป็นโรคริดสีดวงทวาร

สรรพคุณทางสมุนไพรจากส่วนต่างๆ ของมะเขือพวง
ต้นใช้น้ำสกัดจากต้นมะเขือพวงแก้พิษแมลงกัดต่อย
ใบน้ำคั้นใบสดใช้ลดไข้ ใช้ใบห้ามเลือด ใช้เป็นยาระงับประสาท พอกให้ฝีหนองแตกเร็วขึ้น แก้ปวด แก้ชัก ไอหืด ปวดข้อ โรคผิวหนัง ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ และแก้ซิฟิลิส
ผล นำผลมาต้มกรองน้ำดื่ม หรือนำผลไปย่างแล้วนำมาบุบให้แตกชงกับน้ำร้อนแล้วกรองน้ำดื่ม มีสรรพคุณในการขับเสมหะ ช่วยระบบย่อยอาหาร รักษาอาการเบาหวาน แก้ไอและบำรุงเลือด ทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ผลแห้งย่างกินแกล้มอาหารบำรุงสายตาและรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย ช่วยบรรเทาโรคแผลในกระเพาะอาหาร ขับปัสสาวะ ช่วยย่อย และช่วยให้ผ่อนคลาย และนอนหลับได้ดี บำรุงตับ รักษาโรคความดันโลหิตสูง
เมล็ด นำเมล็ดไปเผาให้เกิดควัน สูดเอาควันรมแก้ปวดฟัน
ราก นำรากมะเขือพวงแช่น้ำมะขามแล้วต้มดื่มลดพิษในร่างกาย ใช้รากสดตำพอกรอยแตกที่เท้า หรือโรคตาปลา

ดังนั้นเราจะเห็นว่ามะเขือพวงนั้นมีคุณประโยชน์มากมาย และจากคุณประโยชน์ที่ หลากหลายนี้เอง ก่อให้เกิดภูมิปัญญาโบราณที่นำมะเขือพวงมาเป็นส่วนประกอบในอาหารหลายอย่าง เช่นอาหารประเภทแกงกะทิ แกงเขียวหวาน อาหารประเภทนี้จะมีไขมันเป็นส่วนประกอบ ดั้งนั้นสารเพ็กตินที่มีอยู่ในมะเขือพวงจึงช่วยในการดูดซับไขมัน ทำให้ร่างกายได้รับไขมันในปริมาณที่พอเหมาะ แต่อย่างไรก็ตามในการบริโภคมะเขือพวงนั้นจำเป็นต้องทำให้สุกเสียก่อน เนื่องจากในมะเขือพวงมีสารโซลานีน ซึ่งเป็นอัลคาลอยด์ที่พบในตระกูลมะเขือ ในการรับประทานมะเขือพวงนั้น
ไม่ควรรับประทานเกิน 200 ผล ภายในครั้งเดียว เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับ หรือในบางคนอาจมีอาการท้องเสีย ปวดศีรษะหรืออาเจียนได้

อีกหนึ่งสรรพคุณดีๆจากไคโตซานในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เดนิมพลัสช่วยดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออกทางอุจจาระ

renuva

เมื่อเอ่ยถึงพริกทุกคนคงรู้สึกได้ถึงความเผ็ด แต่พริกก็เป็นเครื่องเทศหลักที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน คุณรู้ไหมว่านอกจากความเผ็ด จัดจ้านของพริกแล้ว พริกยังมีประโยชน์อีกมากมาย พริก…ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวาง ระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส …

สรรพคุณของพริก

โยโย่ เอฟเฟค โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) โยโย่เอฟเฟค คือ การที่ร่างกายของเราเข้าสู่โหมดที่ต้องการเอาชีวิตรอด เกิดจากการที่เราทำการลดน้ำหนักแบบเอาเป็นเอาตายด้วยการอดอาหาร กินยาลดความอ้วน …

โยโย่ เอฟเฟค คืออะไร??

9 คาถาชีวิตมีสุข  ปัจจุบันวิทยาการเทคโนโลยีมีความก้าวหน้า . คนอยู่ต่างสถานที่กันแม้ไกลคนละซีกโลกก็สามารถติดต่อกันได้ . เสมือนอยู่ต่อหน้ากัน นั่งคุยกัน ความเจริญทางเทคโนโลยีทำให้การดำเนินชีวิตสะดวกสบาย . แต่ในความสะดวกสบายนั้นจริงๆแล้ว …

9 คาถาชีวิตมีสุข

Posted on

12 สัญญาณที่ทำให้ผู้หญิงไม่ปกติ

12 สัญญาณที่ทำให้ผู้หญิงไม่ปกติ

12 สัญญาณที่ทำให้ผู้หญิงไม่ปกติ

ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

12 สัญญาณที่ทำให้ผู้หญิงไม่ปกติ

12 สัญญาณที่ทำให้ผู้หญิงไม่ปกติ เมื่อเรามีอาการบวม ระคายเคือง ไม่สบายตัว อาจเป็นเพราะสาเหตุมาจากการมีฮอร์โมนไม่สมดุล ฮอร์โมนเป็นเสมือนสารเคมีที่สื่อสารส่งไปยังเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานอย่างปกติและสมดุล เช่น ในระหว่างช่วงก่อนและหลังมีประจำเดือน ช่วงมีประจำเดือน หรือในช่วงตั้งครรภ์ บางครั้งยาบางประเภทส่งผลต่อสุขภาพทำให้ฮอร์โมนของเราขึ้นและลงได้ด้วย สัญญาณเตือนว่าคุณมีฮอร์โมนไม่สมดุลมีดังนี้

1. ความผิดปกติของรอบเดือน โดยปกติแล้วผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีรอบเดือนในทุกๆ 21 ถึง 35 วัน แต่หากประจำเดือนมาบ้างไม่มาบ้าง นั่นอาจหมายความว่า เรามีฮอร์โมนที่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป ฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสโตรโรนเป็นตัวควบคุมเรื่องเหล่านี้ หากเราอยู่ในช่วงอายุ 40 – 50 ปีต้นๆ สาเหตุอาจเป็นเพราะเรากำลังอยู่ในช่วงหมดประจำเดือน เราควรสังเกตอาการผิดปกติของการมีประจำเดือน เช่น PCOS เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการผิดปกติของต่อมไร้ท่อ หรือฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติมาบ้างไม่มาบ้าง และมีลักษณะของฮอร์โมนเพศชายสูง ทำให้มีขนดก หรือมีสิวมากกว่าผู้หญิงโดยทั่วไป ซึ่งควรรีบปรึกษาแพทย์

2. มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ หากเรามีปัญหาเรื่องการนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ เพราะโปรเจสโตรโรนซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตออกมาจากรังไข่ ซึ่งจะช่วยให้เรานอนหลับสบาย แต่หากฮอร์โมนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติ จะส่งผลต่อการนอนหลับ การมีเอสโตรเจนที่ต่ำสามารถทำให้มีอาการรู้สึกวูบวาบ หนาวๆ ร้อนๆ หรือมีอาการเหงื่อออกในเวลากลางคืน ส่งผลให้ยากต่อการนอนหลับพักผ่อน

3. เป็นสิว ปกติการมีสิวในช่วงก่อนมีประจำเดือนนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากเป็นสิวอยู่เป็นประจำ และไม่หายอาจเป็นปัญหาของเรื่องฮอร์โมนแอนโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ส่งผลให้ต่อมไร้ท่อมีการทำงานผิดปกติและต่อมไขมันมีผลต่อเซลล์ของผิวหนังและรูขุมขนทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้

4. หลงๆ ลืมๆ ฮอร์โมนสามารถจะเปลี่ยนเอสโตรเจนและโปรเจสโตรโรน ทำให้มีความจำที่หลงๆ ลืมๆ ได้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าเอสโตรเจนจะทำให้การควบคุมในสมองและสารด้านสื่อประสาทซึ่งมีผลกระทบต่อสมาธิและความจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงใกล้หมดประจำเดือนจะมีอาการหลายอย่างที่เชื่อมโยงกับระดับฮอร์โมนและต่อมไทรอยด์ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หากมีปัญหาเรื่องความจำที่หลงๆ ลืมๆ

5. ปวดท้อง หากเรามีฮอร์โมนที่สูงและต่ำเกินกว่าปกติ จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในระบบการย่อยอาหารบางครั้งท้องเสีย มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรือบวม และมีอาการที่รุนแรงก่อน หรืออยู่ในช่วงมีประจำเดือน ทำให้มีอาการเครียดและมีสิวด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าระดับฮอร์โมนไม่สมดุล

6. เหนื่อยและอ่อนเพลียตลอดเวลา หากเรามีความรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลีย นั่นเป็นอาการที่เห็นได้ชัดของการมีฮอร์โมนที่ไม่สมดุล ฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ที่มีทำงานน้อยลงจะทำให้ร่างกายเหนื่อยอ่อนและพลังงานลดลง การตรวจเลือดเพื่อค้นหาความผิดปกติของต่อมไทรอยด์จะช่วยให้เราทราบสาเหตุเพื่อรับการรักษาได้ทันเวลา

7. มีความเครียดและอารมณ์แปรปรวน นักวิจัยเชื่อว่าการลดลงของการเปลี่ยนแปลงระดับของฮอร์โมนจะเป็นสาเหตุที่ส่งผลต่อด้านอารมณ์ ทำให้มีอาการหงุดหงิดเครียดง่าย เพราะเอสโตรเจนเป็นกุญแจสำคัญที่ส่งผลต่อสมองและต่ออารมณ์ด้วย

8. มีน้ำหนักเพิ่ม เมื่อสารเอสโตรเจนมีระดับน้อยลง ทำให้มีความอยากรับประทานอาหารมากขึ้น ดังนั้นการมีฮอร์โมนในระดับไม่สมดุล จะส่งผลต่อระดับความหิวที่ทำให้กินมากขึ้นจนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

9. ปวดศีรษะ อาการปวดศีรษะอาจมีสาเหตุมาจากหลายประการ แต่หากคุณผู้หญิงมี ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงสามารถเป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดศีรษะได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาก่อนมีประจำเดือน อาการปวดศีรษะที่เป็นประจำและเกิดขึ้นเป็นประจำในแต่ละเดือนสามารถเป็นตัวที่ระบุได้ว่าร่างกายมีฮอร์โมนในระดับที่ไม่สมดุล

10. ช่องคลอดแห้ง หากมีอาการหากเราช่องคลอดแห้ง ขาดน้ำหล่อลื่น อาจเป็นสาเหตุที่ปกติในบางครั้ง แต่ถ้าหากเกิดขึ้นบ่อยและมีความปกติในบริเวณนั้น อาจเป็นสาเหตุของการมีเอสโตรเจนต่ำ เพราะเมื่อเอสโตรเจนลดลงจะทำให้เกิดการไม่สมดุลและขาดน้ำหล่อลื่นในช่องคลอดทำให้มีอาการแห้งได้

11. สูญเสียความต้องการทางเพศ หลายคนเชื่อว่าฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะเป็นฮอร์โมนของผู้ชายเท่านั้นแต่ร่างกายของผู้หญิงมีฮอร์โมนนี้ด้วย และเมื่อเทสโทสเตอโรนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติจะทำให้เรามีความสนใจหรือมีความต้องการทางเพศลดน้อยลง

12. หน้าอกมีการเปลี่ยนแปลงการลดลงของเอสโตรเจน จะทำให้หน้าอกหรือเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงได้ การเพิ่มฮอร์โมนจะทำให้เนื้อเยื่อกลับมายืดหยุ่นเหมือนเดิมได้

อาการเหล่านี้ จะหมดไป เมื่อคุณมีตัวช่วยดีๆ อย่าง รีนูว่า อาหารเสริมสำหรับผู้หญิง 

renuva


12 สัญญาณที่ทำให้ผู้หญิงไม่ปกติ
ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
12 สัญญาณที่ทำให้ผู้หญิงไม่ปกติ เมื่อเรามีอาการบวม ระคายเคือง ไม่สบายตัว อาจเป็นเพราะสาเหตุมาจากการมีฮอร์โมนไม่สมดุล ฮอร์โมนเป็นเสมือนสารเคมีที่สื่อสารส่งไปยังเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานอย่างปกติและสมดุล เช่น …

12 สัญญาณที่ทำให้ผู้หญิงไม่ปกติ