โยโย่ เอฟเฟค
โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect )
โยโย่เอฟเฟค คือ การที่ร่างกายของเราเข้าสู่โหมดที่ต้องการเอาชีวิตรอด เกิดจากการที่เราทำการลดน้ำหนักแบบเอาเป็นเอาตายด้วยการอดอาหาร กินยาลดความอ้วน หรือออกกำลังอย่างหนักหน่วงจนทำให้น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายเข้าใจผิดคิดว่าร่างกายกำลังจะตาย เมื่อร่างกายรู้สึกว่าจะต้องตาย ร่างกายก็จะทำการส่งสัญญาณไปยังทุกระบบของร่างกายให้ลดการใช้พลังงานอย่างเร่งด่วน เพื่อที่ร่างกายจะได้มีพลังงานเก็บไว้ใช้ได้นานขึ้นจะได้มีชีวิตรอดยาวนานขึ้นนั่นเอง
เมื่อร่างกายมีสัญญาณดังกล่าวออกมาจะทำให้ระบบการเผาผลาญและระบบการสลายไขมันเกิดน้อยลงตามไปด้วย ส่งผลให้น้ำหนักตัวที่เคยลดลงอย่างรวดเร็วหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อน้ำหนักไม่ลดตามที่ต้องการก็จะก่อให้ความเครียด ความเครียดที่ก่อตัวขึ้นในร่างกายจะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเกรลิน ( Grelin Hormone ) ที่เป็นฮอร์โมนแห่งความหิวออกมามากขึ้นและถ้าร่างกายมี
ฮอร์โมนเกรลินมาก ๆ จะทำให้เราหิวจนตาลาย ส่งผลให้เรากินมากกว่าปกติโดยที่เราไม่รู้ตัว เป็นเหตุให้เราได้รับพลังงานมากกว่าที่เราใช้ไป แบบนี้เราจึงอ้วนมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง นี่คือกระบวนการที่ทำให้เกิด “ โยโย่เอฟเฟค ” ที่หลายคนรู้จักกัน
เรารู้จักกับการเกิดโยโย่เอฟเฟคกันแล้ว ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าเราจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอาการโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect )
โดยปกติแล้วผู้ชายจะมีการเผาผลาญพลังงานวันละประมาณ 2,000 Kcal ส่วนผู้หญิงจะมีการเผาผลาญพลังงานน้อยกว่าผู้ชายโดยผู้หญิงจะมีการเผาผลาญพลังงานวันละ 1,800 Kcal ถ้าเราได้รับพลังงานมากกว่าที่เราใช้ไปต่อวัน
พลังงานส่วนที่เหลือก็จะเข้าไปสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกายทำให้น้ำหนักตัวของเราเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันถ้าเราได้พลังงานน้อยกว่าที่ใช้ไปในแต่ละวัน ร่างกายก็จะทำการดึงไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายมาใช้ โดยการเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานกับร่างกายทำให้น้ำหนักตัวของเราลดลง
เชื่อหรือไม่ว่าถ้าเราสามารถลดพลังงานที่รับเข้าสู่ร่างกายได้ 7,000 Kcal เราจะสามารถลดไขมันไปได้ถึง 1 กิโลกรัมเลยทีเดียว นั่นหมายถึงว่าน้ำหนักของเราก็จะลดลง 1 กิโลกรัม
แสดงว่าถ้าในผู้หญิงได้รับพลังงานเข้าไปวันละ 800 Kcal เราก็จะต้องดึงพลังงานจากไขมันภายในร่างกายมาใช้ 1,000 Kcal ต่อวัน นั่นหมายถึงว่าใน 1 สัปดาห์เราจะสามารถดึงพลังงานในร่างกายมาใช้ 7,000 Kcal
นั่นหมายความว่าเราจะสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 1 กิโลกรัมเชียวนะ แบบนี้ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ภายใน 1 เดือนเราก็จะลดน้ำหนักได้ 4 กิโลกรัม และถ้าลดต่อไปจนครบ 1 ปี ก็จะสามารถน้ำหนักได้มากถึง 48 กิโลกรัมเลยทีเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นร่างกายของคนเราก็คงจะเหลือแต่กระดูกแน่ ๆ
แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เราคิดช่างตรงข้ามกับความเป็นจริงเสียเหลือเกิน เพราะว่าถ้าเรามีการลดน้ำหนักที่รวดเร็วเกินไปร่างกายของเราก็จะเข้าสูโหมดการเอาชีวิตรอดหรือโยโย่ เอฟเฟค ส่งผลให้การลดของน้ำหนักจะหยุดลงอย่างกะทันหันและยังทำให้ร่างกายรู้สึกหิวต้องการพลังงานมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้มีชิวิตอยู่ต่อไป บางคนกินมากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่าอิ่มเสียที มารู้สึกตัวอีกทีน้ำหนักตัวก็ขึ้นเป็นทวีคูณเสียแล้ว
วิธีลดน้ำหนักโดยไม่ทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟค
การเกิดโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect ) เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะว่านอกจากจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้วยังส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมในอนาคตอีกด้วย ซึ่งการลดน้ำหนักโดยที่จะไม่ทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟคในภายหลังสามารถทำได้ดังนี้
1.กินให้เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายกันโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect )
การอดอาหารสามารถช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ก็จริงอยู่ แต่การลดน้ำหนักด้วยวิธีจะส่งผลน้ำหนักลดลงในช่วงแรกเท่านั้นและจะทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมดกลัวตายหรือโยโย่เอฟเฟคได้ง่าย ดังนั้นถ้าเราต้องการลดน้ำหนักอย่างได้ผลและไม่มีโยโย่เอฟเฟคเกิดขึ้น เราต้องกินอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เน้นการกินอาหารประเภทโปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์และเกลือแร่ ลดการกินอาหารที่เป็นแป้ง ไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง เพราะเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอในปริมาณที่เหมาะสมจะส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายจะอยู่ในสภาวะสมดุล การลดน้ำหนักที่เกิดขึ้นก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องและได้ผลในระยะยาว
2.ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับร่างกาย
การออกกำลังเพื่อลดน้ำหนักไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างหักโหมเท่านั้นจึงจะสามารถลดน้ำหนักได้เท่านั้น เพราะเพียงแค่เราขยับร่างกายให้มากขึ้นกว่าปกติก็จะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้เพิ่มสูงขึ้นได้แล้ว ซึ่งการออกกำลังกายที่ดีควรเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับอายุ เพศและสุขภาพของผู้ออกด้วย เพราะว่าร่างกายของแต่ละคนนั้นจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ทั้งรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ รวมถึงระบบการเผาผลาญพลังงานด้วย บางคนเผาผลาญพลังงานได้ดี บางคนเผาผลาญพลังงานได้น้อยแม้ว่าจะทำกิจกรรมที่เหมือนกัน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้การเผาผลาญพลังงานของแต่ละคนต่างกัน คือ เพศ อายุ มวลกล้ามเนื้อในร่างกาย และลักษณะทางพันธุกรรมที่ได้รับถ่ายทอด ซึ่งเราสามารถหาค่าการเผาผลาญพลังงานของตัวเองได้ดังนี้
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง เดนิมพลัส วันละเม็ด เผาผลาญไขมันสะสม ดักจับไขมัน บล็อคแป้ง ไม่ต้องอดอาหาร ไม่โย่ ไม่โทรม ปลอดภัย GMP ฮาลาล อย.