?? ? อุจจาระบอกสุขภาพ
? ✺อุจจาระเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะอุจจาระสามารถบอกความผิดปกติของร่างกายได้ ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลไปตรวจเลือด ก็สามารถรู้ได้ว่าสุขภาพของเราดีหรือไม่ ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงแค่สังเกตสีและลักษณะของอุจจาระก่อนที่จะกดชักโครก
?✺การสังเกตสีอุจจาระ?
? ✺อุจจาระที่อันตราย อุจจาระมักมีสีดำ บ่งบอกว่าอาจมีเลือดออกในกระเพาะหรือลำไส้
? ✺อุจจาระควรปรับปรุง อุจจาระมักมีสีน้ำตาล บ่งบอกว่ากินเนื้อมากกว่าการกินผักและผลไม้
? ✺อุจจาระปลอดภัยไม่มีพิษสะสม อุจจาระมักมีสีเขียว บ่งบอกว่ากินผักผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์ และอุจจาระสีน้ำตาลอมเหลือง แสดงว่ากินเนื้อในอัตราที่สมดุลกับผักผลไม้
?✺การสังเกตลักษณะอุจจาระ??
?1. ✺อุจจาระแบบกล้วย มีสีเหลือง มีกลิ่นแบบพอรับได้ ไม่แข็งและไม่นิ่มจนเกินไป เมื่อตกลงน้ำจะลอยตัว อุจจาระแบบนี้เป็นอุจจาระที่มีสุขภาพดีมาก และอาหารที่รับประทานมีความสมดุลต่อร่างกาย ควรรักษาให้มีอุจจาระแบบนี้ตลอดไปจะดีต่อสุขภาพของคุณ
?2. ✺อุจจาระแบบผอมเรียว มีสีน้ำตาลแดงปนดำ เวลาปล่อยจะมีลักษณะขาดเป็นช่วงๆ รูปร่างผอมลีบ เหลวข้น และมีกลิ่น เหม็นเปรี้ยว เกิดจากคนที่กล้ามเนื้อท้องมีปัญหา อาจเกิดจากการขาดสารอาหาร หรือกำลังอยู่ในช่วงที่ลดน้ำหนักมากเกินไป อุจจาระแบบนี้ไม่ดีนัก ควรปรับปรุงด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น
?3. ✺อุจจาระแบบดินโคลน มีสีน้ำตาลแดงเข้มค่อนไปทางดำ มีกลิ่นแรง ลักษณะคล้ายดินโคลน ถ่ายครั้งละมากๆ คล้ายคนท้องเสีย ควรพักผ่อนเยอะๆ เพราะเป็นสัญญาณของการอดนอน ควรกินอาหารที่มีไฟเบอร์เยอะๆ งดอาหารเผ็ด หรือชา กาแฟ ถ้าอุจจาระแบบนี้นานๆ ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพ
?4. ✺อุจจาระแบบน้ำ มีโอกาสเป็นได้หลายสี ยกเว้นสีน้ำตาล ลักษณะเป็นน้ำมีกลิ่นเหม็นมาก สาเหตุมาจากเรื่องความเครียด พักผ่อนน้อย กินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นควรพักผ่อนเยอะๆ ทำจิตใจให้สบาย งดอาหารที่มีไขมันและโปรตีนสูง ควรกินผักผลไม้เยอะๆ ถ้าอุจจาระแบบนี้นานๆ ควรไปปรึกษาแพทย์โดยด่วน
?5. ✺อุจจาระแบบแข็งปนน้ำ มีโอกาสเป็นได้หลายสี อาจเหม็นบ้างไม่เหม็นบ้าง อุจจาระแบบนี้บ่งบอกได้ว่าลำไส้ขาดความแข็งแรง ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพ
?6. ✺อุจจาระแบบแข็ง มีสีน้ำตาล น้ำตาลแดง หรือดำ มีลักษณะคล้ายก้อนหินเม็ดเล็กๆ หรือเหมือนขี้กระต่าย มีกลิ่นเหม็นมาก และทุกเม็ดแข็งมาก นั่นเพราะในลำไส้ขาดน้ำ จึงส่งผลทำให้เกิด โรคท้องผูก ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำเยอะๆ และทานอาหารที่มีไฟเบอร์ เพื่อให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น
?7. ✺อุจจาระแบบดีที่สุด มีสีเหลืองทอง กลิ่นไม่แรงมาก ลักษณะขดเป็นวง (เหมือนในการ์ตูน) เจ้าของอุจจาระแบบนี้ ต้องบอกว่ามีสุขภาพที่ดีเยี่ยม และยังมีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย
➰ถึงอุจจาระจะเป็นของเสียที่ร่างกายของเราขับออกมา แต่อุจจาระก็ยังพอมีประโยชน์ สามารถช่วยเป็นคุณหมอประจำตัวประเมินโรคได้ด้วย เมื่อฟังบทความนี้แล้วก่อนกดชักโครก
✺ลองสังเกตอุจจาระของคุณดู จะได้ทราบว่าสุขภาพของคุณตอนนี้เป็นอย่างไร จะได้ป้องกันแก้ไขได้ตรงเวลาก่อนเกิดโรค
❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก
ปลาแซลมอนดิบ หรือสเต็กปลาแซลมอนคงจะเรื่องเก่าและไม่น่าตื่นเต้นไปแล้ว เมื่อเจอสูตร แซลมอนทอดราดน้ำปลา สูตรเด็ดจากแฟนเพจ Coe’s Kitchen เมนูไทยๆ แต่ใช้เนื้อปลาที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยจากแดนอาทิตย์อุทัย เนื้อหวานฉ่ำ นำไปทอดจนเนื้อแซลมอนเป็นสีส้มอมชมพู บวกกับความเด็ดดวงของน้ำจิ้มซีฟู้ด เราไปดูส่วนผสมและวิธีทำกันเลยค่ะ
สูตร แซลมอนทอดราดน้ำปลา
ส่วนผสมแซลมอนทอดราดน้ำปลา
• เนื้อปลาแซลมอน 400-500 กรัม
• น้ำตาลทรายประมาณ 1 1/2 ชต.
• น้ำปลาดีประมาณ 4-5 ชต.
• น้ำมันงา 1 ชช.
• น้ำเปล่าประมาณ 2 ชต.
• น้ำมันพืช สำหรับทอด
น้ำจิ้มซีฟู้ดแซลมอนทอดราดน้ำปลา
• กระเทียมไทยแกะเปลือกประมาณ 2 ชต.
• รากผักชีหั่น 5 ราก
• พริกขี้หนูสวนสีเขียว 20 เม็ด (หรือตามชอบ)
• น้ำตาลทรายประมาณ 2 ชต.
• น้ำมะนาวประมาณ 5-6 ชต.
• น้ำปลาดีประมาณ 4 ชต.
วิธีทำแซลมอนทอดราดน้ำปลา
1 ผสมน้ำตาลทราย น้ำปลาดี น้ำมันงาและน้ำเปล่าเข้าด้วยกัน คนให้เข้ากันดี ชิมรสเพิ่มเติมตามชอบ พักไว้
2 ล้างเนื้อปลาแซลมอนแล้วซับให้แห้ง จากนั้นหั่นเป็นชิ้นๆ ใหญ่และหนาพอประมาณ พักไว้
3 ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไป พอร้อนได้ที่ นำเนื้อปลาแซลมอนลงทอดจนสุก มีสีเหลืองสวยทั้งสองด้าน (ปลาแซลมอนไม่ต้องทอดนานนะคะ ไม่งั้นเนื้อปลาจะแข็ง) ตักขึ้นใส่จาน พักไว้
4 เทน้ำมันในกระทะออกให้เหลือประมาณ 1 ชต. จากนั้นใส่ส่วนผสมในข้อที่ 1 ลงไป ผัดจนเดือดและน้ำตาลละลายดี ปิดไฟ ตักราดลงบนเนื้อปลา เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดค่ะ
5 น้ำจิ้มซีฟู้ด:ปั่นทุกอย่างเข้าด้วยกัน ชิมรสเพิ่มเติมตามชอบค่ะ
#mthai
❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก
‼️ ✺สัญญาณต่อไปนี้ แสดงให้รู้ว่า ร่างกายกำลังขาดสารอาหารบางอย่าง
ซึ่ง ✺ไม่ควรชะล่าใจ เพราะอาจลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่โตสุขภาพในภายหลังได้
►ผิวแห้ง ►ผมแห้ง ►ผิวหนังอักเสบ ►เล็บเปราะบาง
✺ปัญหา : ขาดโอเมก้า3
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น :
ปลาไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาสวาย ผักใบเขียวเข้ม ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง ธัญพืช ถั่ว สาหร่าย ถั่ วเหลือง
►จุดสีขาวบนเล็บ ►ผมร่วงแผลหายยาก
✺ปัญหา : ขาดธาตุสังกะสี
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น :
ถั่วเหลือง ถั่ว ธัญพืช เมล็ดฟักทอง
เมล็ดทานตะวัน เนื้อไร้ไขมัน ปลา ไก่ นม ชีส ไข่แดง
►อ่อนเพลีย ►ลิ้นเลี่ยนแดงเป็นมัน
✺ปัญหา : ขาดธาตุเหล็ก
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
ตับ เนื้อ ไก่ ปลา ธัญพืช ผักโขม ถั่ว รวมถึงอาหารที่มีวิตามินซีสูง
เช่นผลไม้รสเปรี้ยว เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
►เล็บแยกปวดกล้ามเนื้อ
✺ปัญหา: ขาดแคลเซียม
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
นม โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว ถั่วเหลืองเต้าหู้ ปลาแซลมอน อัลมอนด์
►เป็นตะคริว
✺ปัญหา : ขาดแมกนีเซียม
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียว
►เล็บนิ่มและเป็นรอน เหงือกร่น
✺ปัญหา : ขาดโปรตีน
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จาก นมถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้
น้ำถั่วเหลือง ธัญพืช ถั่ว
►เปลือกตาด้านล่างเป็นสีขาวหรือชมพูอ่อน
✺ปัญหา : ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
แครอท ผักโขม บีตรู้ต ถั่วเหลือง อัลมอนด์
►ปากเปื่อย ►ตาแห้ง
✺ปัญหา : ขาดวิตามินเอ
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น :
นม ไข่แดง ผักโขม แครอท มะม่วงฟักทอง มันเทศ
ส่งต่อความปรารถนาดี by Ammie @club.agirl สวยทั้งภายในและภายนอก
#789beauty สวยครบ จบที่นี่
❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก
เพื่อคุณภาพและสิ่งที่ดีที่สุด
❥เมนูอาหารแคลอรี่ต่ำ เพื่อสุขภาพที่ดี มีมาให้พี่ๆเพื่อนๆ เลือกรับประทานกันหลากหลาย มากมาย กันไปเร้ยย
789beauty ส่งต่อความปรารถนาดี
ขอบคุณภาพสวย.. จาก ครัวของแม่
หลายคนที่อยากลดน้ำหนัก อาจจะเคยได้ยินถึงวิธีลดน้ำหนักด้วยการอดหรืองดอาหารมื้อเย็น ซึ่งโดยความเชื่อนี้ก็คือ หากเราไม่กินอาหารเลยในมื้อเย็นจะทำให้ผอมลงเร็วกว่า ความเชื่อนี้ถูกต้องจริงเหรอ และผลจากการอดอาหารมื้อเย็นจะทำให้ลดน้ำหนักได้ผลจริงๆ หรือเปล่าวันนี้เรามาทำความเข้าใจกันค่ะ
ทำไมต้องอดอาหารถึงจะทำให้เราผอมได้?
โดยพื้นฐานวิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้องนั้น เราต้องกินอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ในขณะเดียวกันพลังงานที่ได้จากอาหารในแต่ละวันนั้นหากเราได้รับมากกว่าพลังงานที่เราใช้ไปในแต่ละวัน พลังงานที่เหลือก็จะสะสมกลายเป็นไขมัน แต่หากวันไหนที่เราใช้พลังงานมากกว่าพลังงานที่ได้รับจากอาหาร ร่างกายก็จะนำเอาไขมันสะสมมาใช้งานเพื่อเป็นพลังงานทดแทน
ด้วยพื้นฐานเหล่านี้ทำให้หลายคนคิด (เอาเอง) ว่าการที่ร่างกายไม่รับพลังงานอะไรเลยจากอาหารในมื้อเย็น น่าจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานรวมในแต่ละวันน้อยลงอีก นอกจากนั้นก็คิดเองอีกว่าไม่กี่ชั่วโมงก็เข้านอนแล้วไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร ไม่ต้องกินอะไรก็ได้ ทนหิวนิดหน่อยกินน้ำเปล่าอย่างเดียวก็น่าจะผอมได้เร็วกว่า
แต่หลายคนคงลืมไปว่า หลักการคิดแบบนี้อาจจะนำไปใช้ได้กับบุคคลบางกลุ่ม เช่น คนที่ไม่ต้องมีกิจกรรมมากมายในช่วงเย็นถึงดึกและนอนหลับแต่หัวค่ำ นอกจากนั้นเขาจะต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอตั้งแต่มื้อเช้าและมื้ออาหารกลางวันแล้ว
ในขณะที่คนในเมือง นักเรียน คนทำงาน ในยุคปัจจุบันที่กว่าจะเลิกงาน เลิกเรียน กว่าจะห้อยโหนฝ่าการจราจรเดินทางถึงบ้านก็เลยเวลามื้ออาหารเย็นแล้ว ทำให้มื้อเย็นกลายเป็นมื้อดึก ประกอบกับกิจกรรมในช่วงเดินทางกลับบ้านหรือช่วงเย็นนั้นต้องใช้พลังงานไปไม่ใช่น้อย เมื่อร่างกายใช้พลังงานมากร่างกายจึงต้องการพลังงานและสารอาหารเข้ามาทดแทนและซ่อมแซม แต่การอดอาหารคิดแต่ลดจำนวนพลังงานโดยไม่สนใจสารอาหารที่ร่างกายต้องการในการซ่อมแซมร่างกายนั้นกลับเป็นผลร้ายในอนาคต
นอกจากนั้นพฤติกรรมการสังสรรค์หลังเลิกงาน ฉลองวันเกิด ฉลองงานแต่งงานของเพื่อน ฯลฯ รวมถึงพฤติกรรมการกินอาหานแบบบุฟเฟ่ห์ที่กลายเป็นค่านิยมไปแล้วสำหรับวัยรุ่น ซึ่งโดยมากคนไทยมักจะสังสรรค์กันตอนมื้อเย็น ทำให้เราบริโภคอาหารในปริมาณที่มากและได้พลังงานเกินความจำเป็น
ด้วยเหตุนี้เมื่อใครที่อยากลดน้ำหนัก สิ่งแรกที่พวกเขาคิด (เอาเอง) ก็คือ งั้นเราอดอาหารมื้อเย็นดีกว่าเพราะจะได้ไม่ต้องกินเยอะแบบแต่ก่อน
การอดอาหารทำให้เราลดน้ำหนักได้จริงเหรอ
หากคุณใช้การอดมื้ออาหารใดมื้อหนึ่งแทนที่จะใช้การลดปริมาณการกินอาหารบางชนิดละก็ คุณอาจจะดีใจที่เห็นว่าตัวเลขน้ำหนักตัวบนตราชั่งลดลงในช่วงแรก แต่ในระยะยาวคุณจะพบว่าน้ำหนักตัวของคุณ รวมถึงสัดส่วนต่างๆ จะดีดกลับเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักนั้นจะทำให้กล้ามเนื้อของคุณถูกทำลายไปด้วย
เนื่องจากว่าร่างกายทำงานตลอดเวลา แม้คุณจะนั่ง เดิน นอน ฯลฯ แม้กระทั่งการใช้ความคิดร่างกายก็ต้องใช้พลังงานและเซลแต่ละเซลก็ทำงานและเสื่อมลง เซลล์เหล่านี้ต้องการพลังงานและสารอาหารเพื่อให้มันกลับมาทำงานได้ดีเหมือนเดิม
แต่เมื่อเราอดอาหารเพราะอยากลดจำนวนพลังงานที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน แต่ลืมคิดไปว่าร่างกายยังต้องการสารอาหารด้วย เมื่อร่างกายขาดสารอาหารร่างกายจะไปดึงเอากล้ามเนื้อ (ซึ่งเป็นโปรตีน) มาใช้งานทดแทนก่อน เนื่องจากเซลต้องใช้โปรตีนในการซ่อมแซมตัวเอง
ดังนั้นเมื่อเราอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งเป็นเวลานานๆ กล้ามเนื้อของคุณจะเริ่มลดลง โดยถูกแทนที่ด้วยไขมันแทน นี่คือสิ่งที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน!
แล้วต้องอดอาหารยังไงถึงจะลดน้ำหนักได้
เราไม่สนับสนุนให้คุณอดอาหารมื้อใดเลยสักมื้อเดียว!!
โปรดจำไว้ว่า ร่างกายคุณเสื่อมและถูกใช้ตลอดเวลาแม้กระทั่งการนั่งหายใจทิ้งไปวันๆ ก็ตาม!!!
ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องอดอาหารในมื้อเย็นหรือมื้อใดเลย แต่การลดจำนวนพลังงานที่ได้รับจากอาหารต่างหากที่คุณแค่ลด ขอให้คำนึงถึงสารอาหารมากกว่า ขอให้คุณได้รับสารอาหารในทุกๆ มื้อ โดยผ่านอาหารที่ให้พลังงานต่ำ แค่นี้คุณก็สามารถลดน้ำหนักได้แบบง่ายๆ โดยไม่มีผลกระทบอะไรกับร่างกายมากแล้วละค่ะ
ข้อแนะนำอีกอย่างคือ ขอให้คุณเลือกทานบางอย่างและลดอาหารบางอย่างลงในมื้อเย็นหรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนจะนอน
อาหารที่คุณควรหลีกหนีให้ไกลจากมื้อเย็นหรือก่อนนอนได้แก่ เมนูอาหารที่เน้นแป้ง น้ำตาล ชีส เนย
อาหารที่เราแนะนำให้คุณกินได้ในช่วงมื้อเย็นได้แก่ โปรตีน (ปลา, ถั่ว, ธัญพืชอื่นๆ), ผักและผลไม้
แต่ก็ไม่ใช่ว่ามื้อเย็นคุณจัดข้าวเหนียวทุเรียน, ข้าวเหนียวมะม่วง อันนี้ก็ตัวใครตัวมันนะคะ?
เมนูยอดนิยมที่มักจะแนะนำก็คือ การกินอาหารที่ให้โปรตีนที่มีกากใย ได้เคี้ยวมากหน่อย กินแล้วรู้สึกอิ่มท้อง
โปรดอย่าลืมว่าการได้เคี้ยวอาหารพร้อมกับการลิ้มรสต่างๆ ก็เป็นความสุขพื้นฐานของการกินของมนุษย์ทั่วๆ ไปเช่นกัน ดังนั้นจึงขอแนะนำเมนูเช่น ถั่วเขียว ถั่วแดงต้ม (ใส่น้ำตาลทรายแดงได้นิดหน่อย) หรือจะทานควบคู่กับผักสลัด หรือผลไม้ที่ให้กากใยมาก เช่น ส้ม กล้วย ส้มโอ แอ๊ปเปิ้ล หรือหากคุณต้องการทานเนื้อสัตว์ แนะนำปลานึ่งทานคู่กับผักลวกจิ้มน้ำพริกก็ได้เช่นกัน
แล้วถ้าอดใจกินอาหารจานโปรดไม่ได้… จะทำยังไงดี
การอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งทันทีเป็นเรื่องยาก การเปลี่ยนอาหารที่ทานในแต่ละมื้อก็ยากเช่นกัน และแน่นอนว่าหากคุณต้องหักดิบเหมือนเลิกยาที่ถ้ำกระบอกละก็ คนที่มีกำลังใจที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำได้ ส่วนคนที่ไม่ไหวก็ต้องล้มเลิกและกลับไปอ้วนเหมือนเดิม
ดังนั้น มีเทคนิคง่ายๆ สำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นลดน้ำหนักดังนี้
ถ้าคุณเป็นมือใหม่ ใจไม่แข็งพอ ให้ใช้การขยับมื้ออาหารเย็นให้เร็วขึ้น (ทานให้เสร็จก่อน 6 โมงเย็น หรือช้าสุดไม่ควรเกิน 6 โมงครึ่ง) ช่วงนี้อาจจะมีปัญหาทางสังคมบ้าง เพราะเพื่อนเราอาจจะชวนไปกินกันดึกกว่านั้น ก็จงทำใจแข็งซะ แต่ถ้าปลีกตัวออกจากสังคมไม่ได้ งั้นต้องใช้เทคนิคข้อต่อไปนะคะ
เปลี่ยนเมนูและปริมาณอาหารที่กินในมื้อเย็น จากเดิมที่เคยฟาดเรียบในมื้อเย็น ก็ขอให้ลดลงเหลือเพียงจานเดียวไม่มีการเติมหรือเบิ้ลครั้งที่สอง การเปลี่ยนเมนูจากเดิมที่เน้นของทอด ของมัน ชีส เนย กะทิ ต่างๆ ก็เปลี่ยนเป็นปลา, อาหารจืดๆ โดยเปลี่ยนทีละน้อยเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว ที่สำคัญคืออย่าเสียดายอาหารนะคะ อย่าห่วงงกกินกลัวไม่คุ้มเด็ดขาดหากคุณกำลังต้องการลดน้ำหนัก เพราะทุกคำที่คุณกินนั้นหมายถึงพลังงานที่ร่างกายต้องรับเข้าไป ซึ่งยิ่งกินมื้อดึกมากแค่ไหน มันก็เป็นภาระต่อร่างกายของคุณในวันต่อไปนั้นเอง
สรุปแล้วถ้าอดอาหารมื้อเย็น จะทำให้ผอมได้ไหม?
ถ้าคุณอด ไม่ยอมทานอะไรเลย ใช้น้ำเปล่าลูบท้องแล้วหวังว่าจะผอมละก็ ยินดีด้วยค่ะ เพราะคุณลดน้ำหนักได้จริงในช่วงแรก แต่ในระยะกลางและระยะยาวคุณจะกลับมามีน้ำหนักตัวและสัดส่วนที่อวบอ้วนกว่าเดิมแน่นอน
กล้าท้าคุณเลย!
เพราะความอยากอาหารนั้น หากคุณกดมันไปนานๆ สุดท้ายมันก็ต้องระเบิด (ที่เรียกว่า ตบะแตก) สักวันอยู่ดี ดีไม่ดีในมื้อถัดไปคุณก็กินแบบลืมตัวแล้วละค่ะ
นอกจากนั้นยิ่งอายุคุณมากเท่าไรการอดอาหารมื้อเย็นยิ่งส่งผลร้ายกับตัวคุณเองในระยะยาวมากขึ้น เพราะร่างกายคุณต้องซ่อมแซมและต้องการสารอาหารมากกว่าตอนสมัยวัยรุ่น คุณจะรู้สึกว่าคุณเพลีย และหน้าเหี่ยวๆ ร่างกายจะดูย้วยๆ ไม่สดชื่นเหมือนสมัยตอนอายุ 17-18 อีกต่อไป!
ดังนั้นขอสรุปเลยว่า หากคุณต้องการลดน้ำหนักด้วยวิธีอดอาหาร ไม่ว่าจะมื้อใดก็ตาม มันอาจจะช่วยให้คุณรู้สึกผอมได้ในช่วงแรกเท่านั้น แต่ในอีก 3 เดือน หรือ 1 ปีข้างหน้ามันไม่ดีต่อร่างกายคุณเลยสักนิดเดียว
เราขอแนะนำว่า ให้ใช้การปรับเวลาการกิน, เปลี่ยนเมนูอาหาร และปริมาณที่กินจะดีกว่า นอกจากจะได้ผลในระยะยาวแล้ว คุณยังมีสุขภาพใจ อารมณ์ดีอีกด้วย ไม่ต้องหงุดหงิด เพราะคุณยังคงได้กิน ได้เคี้ยวเหมือนเดิม เพียงแต่เลือกกินสักหน่อยแค่นี้ก็ลดความอ้วนได้แล้วค่ะ
❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก
ประโยชน์ในการหัวเราะ
เสียงหัวเราะถือเป็นยาขนานเอก ที่ทุกคนมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซึ่งก็แล้วแต่ว่าเราจะหยิบออกมาใช้หรือไม่ หรือบ่อยแค่ไหน ยิ่งในสังคมปัจจุบันที่ต้องเร่งรีบ พบเจอกับความเครียดเป็นประจำความวิตกกังวลต่างๆ อาจทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง ขาดชีวิตชีวาในการดำเนินชีวิต บทความนี้มีสาระดีๆ เกี่ยวกับประโยชน์จากการหัวเราะ มาฝากกันจ้า
1.การหัวเราะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ คนเราเมื่ออารมณ์ดีจะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ ในงานวิจัยจากคณะจิตวิทยามหาวิทยาลัยโตรอนโตแคนาดา บอกว่า อารมณ์ของเราน่าจะมีผลต่อการประมวลผลข้อมูลของสมอง ถ้าอารมณ์ดี จะช่วยขยายความคิดสร้างสรรให้กว้างขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าอยู่ในอารมณ์หวาดวิตก ถึงเครียดหรือ แม้แต่ความมุ่งมั่นมากเกินไป จะมีผลต่อความคิด จะมีผลต่อความคิด จะหดเข้ามา อารมณ์ดีหรือไม่ดี มีผลต่อกระบวนการคิด และแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ของคนเรา
2.การหัวเราะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เมื่อหัวเราะร่างกาย จะหลั่งสารชีวเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า ❝endorphin ❞ หรือเรียกว่า “เพชฌฆาตความเจ็บปวด ” หรือสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสุข ส่งผลทำให้อารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน สมองก็จะมีการถูกกระตุ้น ให้เพิ่มพื้นที่การประมวลผลความคิดในเชิงบวก และสร้างสรรค์ มีผลทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการบำบัด และฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว คนป่วยที่อารมณ์ดีจะหายป่วย ได้เร็วกว่า คนป่วยที่อารมณ์ไม่ดี
3.การหัวเราะแก้โรคซึมเศร้า การหัวเราะจะช่วยทำให้ร่างกายหลั่งสารสื่อประสาทชื่อว่า ซีโรโทนิน (Serotonin) และ ดูพามีน (Dopamine) เพิ่มมากขึ้นทำให้จิตใจสงบเยือกเย็นผ่อนคลาย
4.การหัวเราะเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค เมื่อหัวเราะร่างกายมีการหายใจเข้า การหายใจออก และหัวเราะหายใจออกยาวๆ ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนถ่ายออกซิเจน ฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดง จะทำให้เซลล์ประสาท หัวใจปอด คอ แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยบริหารร่างกาย ให้เกิดความร้อนและการเผาผลาญ พลังงานสูง ช่วยฆ่าเชื้อโรค และป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัดภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส กรน ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคปอด
5.การหัวเราะช่วยลดน้ำหนักและลดโรคทางเดินอาหาร เวลาเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า ❝คอร์ติซอล ❞(coltisol) ออกมา ทำให้เกิดความรู้สึกอยากอาหาร และกินมากขึ้น การหัวเราะ 30 วินาที ถึง 5 นาที 10 ครั้งต่อวัน จะช่วยให้ความอยากอาหารลดลง การหัวเราะช่วยให้อวัยวะส่วนท้อง อาทิ ลำไส้ใหญ่ ตับ ไต ไส้ กระเพาะ มีการเคลื่อนไหว เกิดการบริหารกระเพาะและลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหาร และการขับถ่ายดีขึ้น ป้องกันโรคอ้วนท้องผูก ท้องเสีย โรคกระเพาะโรคลำไส้ เป็นต้น
6. การหัวเราะบริหารหัวใจ การหัวเราะเป็นการออกกำลังทุกส่วน ของร่างกาย ทำให้อวัยวะต่างๆได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะ เร็วบ้างช้าบ้าง หัวใจสามารถสูบฉีดเลือด ไปเลี้ยงส่วนต่างๆมากขึ้น หัวใจทำงานเป็นระบบขึ้น ป้องกันอาการเวียนศรีษะ ปวดศีรษะ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็วเจ็บแน่นหน้าอก โรคขาดเลือด เส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคหัวใจการหัวเราะเพียง 15-20 นาที ในแต่ละวัน ช่วยทำให้หัวใจได้ออกกำลังกาย 3- 5 นาทีถือเป็นการบริหารหัวใจง่ายๆ ที่เหมาะกับผู้สูงอายุ ที่นอนอยู่บนเตียง และเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้
ประโยชน์ของการหัวเราะมีมากมายขนาดนี้ เรามาลองเปลี่ยนตัวเอง เป็นคนยิ้มง่าย หัวเราะง่าย ไม่เครียดกันดีกว่านะคร้า เริ่มที่ตัวเรา ขยายไปคนใกล้ชิด คนในครอบครัว เพื่อนร่วมงานสังคมของเราก็จะน่าอยู่มากขึ้นนะจ้า
ปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเกิน หรืออ้วนนั้นยิ่งอายุมากก็ยิ่งอ้วนขึ้นเป็นความจริงหรือเป็นไปได้ทั้งสองประการ
คนเราเมื่ออายุมากขึ้นอวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะเริ่มเสื่อมถอยระบบ การเผาผผลาญ จะน้อยลง แต่จะขึ้นอยู่กับอาหารการกิน ของแต่ละคนมากกว่า
หากไม่อยากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก
ควรควบคุมอาหาร ประเภท แป้ง ไขมันและน้ำตาล ให้พอดี
การนอนน้อยก็มีผลทำให้ อ้วนขึ้น
โดยทางด้านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า การนอนดึกหรือการนอนไม่พอ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายหลายด้าน ส่วนใหญ่จะอ้วนขึ้นเพราะ การนอนน้อยส่งผลให้ฮอร์โมนเครียดที่มีชื่อว่า ❝ คอร์ติซอล ❞ หลั่งมากขึ้นจนกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากอาหารหวานๆ หรือน้ำตาลมากกว่าเดิม
นอกจากฮอร์โมนเครียดแล้วฮอร์โมนหิวหรือ ❝ เกรลิน ❞ ก็จะหลั่งเพิ่มขึ้นด้วยส่งผลให้หิวเป็นสองเท่า
และทำให้ ฮอร์โมนความอิ่ม หรือ ❝ เลปติน ❞ จะหลั่ง ลดลง แม้ว่าจะรับประทานแล้วแต่ก็รู้สึกไม่ค่อยอิ่ม ทำให้ต้องหาอะไรรับประทานอยู่ตลอดจนกลายเป็นกินมากเกินไป
นอกจากนอนดึก ทำให้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงจนทำให้อ้วนขึ้นแล้วในบางคนอาจหิวจนนอนไม่หลับ ทำอย่างไรดีถ้าหันไปหาอาหารมาทานก็จะอ้วนขึ้นอีก หรือทานมาก บางท่านนอนแน่นท้องไม่สามารถหลับได้เลย
มีข้อแนะนำให้คุณเลือกอาหารที่ทานแล้วหลับสบาย และไม่หนักท้องจนเกินไปคุณควรทานอาหารก่อนเวลาเข้านอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง จะช่วยให้หลับสบายขึ้นและยังป้องกันน้ำหนักส่วนเกินป้องกันโรคกดไหลย้อน
อาหารเบาๆ ที่ควรเลือกทาน เช่นโยเกิร์ตไขมันต่ำ นมพร่องมันเนย ผลไม้ ประเภท แอปเปิ้ล หรือผลไม้รสไม่หวานหรือของว่าง ประเภทหัวไม่เกิน 15 เม็ด ก็จะช่วยบรรเทาอาการหิวได้ และไม่ทำให้น้ำหนักตัวขึ้นมาก
นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ช่วยให้หลับสบายด้วยแนะนำให้ทานกล้วย นม
นมถั่วเหลือง ถั่วลิสง เมล็ดงา ปลา และอาหารที่มีโปรตีนสูงอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะอาหารเหล่านี้มี
❝ สารทริปโตแฟน ❞ ซึ่งเป็นกรดอะมิโนจำเป็นธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นเพื่อให้สมองสร้างฮอร์โมน
❝ เมลาโธนิน ❞ ที่ช่วยให้เราหลับสบาย
นอนน้อยทำให้อ้วนในวัยผู้ใหญ่แล้ว น้องน้องเด็กวัยรุ่นถ้านอนดึกก็จะไม่ค่อยสูง ดังนั้นควรเข้านอนก่อนเวลา 23.00 น. และหากอยากหลับให้สบายก่อนนอน ไม่ควรทำให้ร่างกายตื่นตัวเช่นนอนเล่นมือถือ หรือเล่นคอมพิวเตอร์ หรือดูทีวีช่วง 30- 60 นาที ก่อนนอนแสงสว่างจากเครื่องไฟฟ้าเหล่านี้ อาจส่งผลให้นอนไม่หลับ การปรับสภาพแวดล้อม ในห้องนอนก็สำคัญควรปิดไฟให้มืดสนิท เงียบ อุณหภูมิพอเหมาะ และจะให้ดีมากขึ้น ควรสวดมนต์ และนั่งสมาธิก่อนนอน จะช่วยให้จิตใจสงบ หลับได้สบายขึ้นและตื่นมาในเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน จะช่วยให้ร่างกายของคุณ สดชื่น ร่างกายมีฮอร์โมนสมดุล หน้าตาสดใส
เพราะฉะนั้นแล้ว หากคุณกำลังลดน้ำหนักอย่างจริงจัง นอกจากการควบคุมการทานอาหารให้ถูกต้อง และออกกำลังกายอย่างเพียงพอแล้ว การนอนหลับพักผ่อนโดยรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อน้ำหนักตัวของคุณได้อย่างแท้จริง แถมยังช่วยลดความเสี่ยงโรคอ้วน ทำให้โรคอื่นๆ ก็ไม่ถามด้วยเช่นกัน ที่สำคัญยังทำให้สาวๆ มีหุ่นดีสมใจอีกด้วยค่ะ
การบริโภคอาหาร ในแต่ละมื้อ เราเลือกรับประทาน อาหารที่เราชอบ ที่มีรสชาติอร่อย หอม หวาน แต่เราก็ลืมคำนวณปริมาณแคลอรี่ ที่เรากินเข้าไปในร่างกาย
✦ สำหรับร่างกายคนเรานั้น ต้องการปริมาณแคลอรี่ประมาณ 1,500 – 2,000 แคลอรี่เท่านั้น
✦ ชายต้องการแคลอรี่ ประมาณ 2,000 แคลอรี่
✦ หญิงต้องการแคลอรี่ ประมาณ 1,500 แคลอรี่
การที่เราเลือกรับประทาน แต่อาหารที่เราชอบ มักจะทำให้เราได้รับแคลอรี่
ที่มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ
จึงทำให้เกิดการสะสมไขมัน แป้งตามร่างกาย หรือที่เราเรียกว่า ❝ส่วนเกินในร่างกาย ❞ เช่นพุง ต้นแขน ต้นขา ก้น นั้นเอง
เห็นไหมละคะ ว่าการเลือกรับประทานทานนั้น สำคัญต่อการลดน้ำหนักของเราจริงๆ ฉะนั้นเราลองเลือกทางอาหารเพื่อกำหนดปริมาณแคลอรี่ ที่จะเข้าสู่ร่างกายของเรากันนะคะ
วันนี้เรามีการคำนวณปริมาณแคลอรี่ในอาหาร ผัก ผลไม้แต่ละชนิดไว้ให้สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักได้เลือกทาน…. อยากสวย อยากผอม อยากหุ่นดี อยากดูดี อยากเป็นคนใหม่ อย่าลืมกำหนดปริมาณแคลอรี่ในอาหารให้ตัวเองนะค่ะ
ปริมาณแคลอรี่ในอาหารเป็นกิโลแคลอรี่ ต่ออาหาร 100 กรัม
แป้ง – น้ำตาล
ขนมปัง 328 แคลอรี่
เส้นก๋วยเตี๋ยว 88 แคลอรี่
บะหมี่สำเร็จรูป 382 แคลอรี่
วุ้นเส้น 72 แคลอรี่
ข้าวเจ้าสุก 140 แคลอรี่
ข้าวเหนียวสุก 230 แคลอรี่
มันแกว 35 แคลอรี่
มันเทศ 126 แคลอรี่
เผือก 124 แคลอรี่
น้ำตาลทราย 385 แคลอรี่
น้ำผึ้ง 297 แคลอรี่
แยมสตรอเบอร์รี่ 264 แคลอรี่
แยมผิวส้ม 257 แคลอรี่
แยมสับปะรด 198 แคลอรี่
ไขมัน
น้ำมันงา 881 แคลอรี่
น้ำมันพืช – ถั่วเหลือง 884 แคลอรี่
น้ำมันหมู 902 แคลอรี่
เนย 729 แคลอรี่
มาการีน 723 แคลอรี่
น้ำสลัดมายองเนส 718 แคลอรี่
มัสตาร์ค 541 แคลอรี่
ครีมเทียม 600 แคลอรี่
เนื้อสัตว์
เนื้อปูม้า,ปูทะเล(ต้ม) 87 แคลอรี่
หอยเชลล์ 106 แคลอรี่
หอยนางรม 71 แคลอรี่
หอยแครง 68 แคลอรี่
หอยลาย,แมลงภู่ 59 แคลอรี่
เนื้อวัวไม่ติดมัน(ย่าง) 190 แคลอรี่
เนื้อวัวไม่ติดมัน(ต้ม) 187 แคลอรี่
เนื้อวัวไม่ติดมัน(ทอด) 250 แคลอรี่
เนื้อไก่ 302 แคลอรี่
เป็ด 183 แคลอรี่
หมูไม่ติดมัน 376 แคลอรี่
หมูแผ่น 615 แคลอรี่
หมู(ไส้กรอก) 590 แคลอรี่
แฮม 389 แคลอรี่
เบคอน 451 แคลอรี่
กุ้ง(น้ำจืด,ทะเล) 87 แคลอรี่
ลูกชิ้นเนื้อวัว 84 แคลอรี่
ลูกชิ้นปลา 56 แคลอรี่
ปลากระบอกทอด 538 แคลอรี่
ปลาซาตีน(กระป๋อง) 126 แคลอรี่
ปลาทูน่า 151 แคลอรี่
ปลาหมึก 115 แคลอรี่
ปลาหมึก(แห้ง) 328 แคลอรี่
ปลาอินทรีย์ 103 แคลอรี่
หมูหยอง 353 แคลอรี่
กุนเชียง 355 แคลอรี่
แคปหมู 619 แคลอรี่
แหนม 185 แคลอรี่
ไข่ไก่ 160 แคลอรี่
ไข่เป็ด 186 แคลอรี่
ผัก
มะเขือเทศ 22 แคลอรี่
แครอท 37 แคลอรี่
ยอดกระถิ่น 62 แคลอรี่
ใบขี้เหล็ก 139 แคลอรี่
ชะอม 57 แคลอรี่
คื่นช่าย 13 แคลอรี่
ดอกโสน 40 แคลอรี่
แตงกวา 12 แคลอรี่
ตำลึง 35 แคลอรี่
ต้นหอม 30 แคลอรี่
ถั่วงอก 36 แคลอรี่
ผักกวางตุ้ง 8 แคลอรี่
ผักกระเฉด 29 แคลอรี่
ใบตั้งโอ๋ 17 แคลอรี่
บร็อคโคลี่ 2 แคลอรี่
ผลไม้
กล้วยไข่ 145 แคลอรี่
กล้วยหอม 131 แคลอรี่
ขนุน 122 แคลอรี่
ทุเรียน(หมอนทอง-ชะนี) 156 แคลอรี่
แคนตาลูป 30 แคลอรี่
เงาะ 62 แคลอรี่
ชมพู่(มะเหมี่ยว,สาแหรก) 30 แคลอรี่
เชอร์รี่ 31 แคลอรี่
แตงไทย 16 แคลอรี่
น้อยหน่า 78 แคลอรี่
ฝรั่ง 51 แคลอรี่
พุทรา 82 แคลอรี่
มะขามหวาน 314 แคลอรี่
มะขามเทศ 78 แคลอรี่
มะขามป้อม 58 แคลอรี่
มะปรางสุก 60 แคลอรี่
มะไฟ 66 แคลอรี่
มะม่วงดิบ 86 แคลอรี่
มะม่วงสุก 114 แคลอรี่
มะยม 28 แคลอรี่
มะละกอสุก 45 แคลอรี่
มังคุด 57 แคลอรี่
ละมุด 94 แคลอรี่
ลางสาด 55 แคลอรี่
ลำไย 71 แคลอรี่
ลิ้นจี่ 65 แคลอรี่
กระท้อน 57 แคลอรี่
สับปะรด 47 แคลอรี่
ส้มเขียวหวาน 44 แคลอรี่
ส้มโอ 39 แคลอรี่
สตรอเบอร์รี่ 34 แคลอรี่
แอปเปิ้ล 58 แคลอรี่
องุ่น 60 แคลอรี่
อ้อยควั่น 67 แคลอรี่
ระกำ 51 แคลอรี่
ทับทิม 72 แคลอรี่
เนื้อมะพร้าวอ่อน 55 แคลอรี่
⁉️ อย่าลืมกำหนดปริมาณแคลอรี่ในอาหารต่อวัน ให้ตัวเองนะคะ^^
สูตรเด็ด น้ำจิ้มปลาหมึกแห้งบดย่าง
หากลงทุนซื้อเครื่องบดปลาหมึกได้ เมนูนี้ก็ไม่มีอะไรยากเลยค่ะ เน้นที่น้ำจิ้มอย่างเดียว สำหรับ ปลาหมึกแห้งบดย่าง ที่ใครๆ ก็ต่างพากันนึกถึงสตรีทฟู้ด ตลาดนัดยามค่ำคืน เชื่อว่าหลายๆ คนตอนเป็นเด็กต้องชอบกิน แล้วต้องไปยืนมุ่งดูพ่อค้าบดปลาหมึก จนอยากช่วยเขาบดเพราะเห็นแล้วมันน่าสนุกจริงๆ
สูตรเด็ด น้ำจิ้มปลาหมึกแห้งบดย่าง
ส่วนผสม
• ปลาหมึกแห้ง
• น้ำตาลทราย 2 ถ้วย
• น้ำเปล่า 3/4 ถ้วย
• น้ำมะขามเปียก 1/4 ถ้วย
• น้ำกระเทียมดอง 1/4 ถ้วย
• เกลือป่น 1 1/2 ช้อนชา
• น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
• ถั่วลิสงคั่วบด
• พริกป่น
วิธีทำ
1 นำปลาหมึกแห้งมาย่างจนหอม จากนั้นก็นำไปบดด้วยเครื่องจนตัวปลาหมึกบาง
2 จากนั้นก็มาทำน้ำจิ้ม โดยตั้งหม้อใส่น้ำและน้ำตาลทรายลงไป ตามด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำกระเทียมดอง เกลือป่น และน้ำส้มสายชู คนจนทุกอย่างเข้ากันดี
3 นำน้ำจิ้มใส่ถ้วย แล้วโรยด้วยถั่วลิสงคั่วบดและพริกป่น เสิร์ฟพร้อมกับปลาหมึกได้เลยค่ะ
เรียบเรียงโดย Food MThai
?✦ทานคาร์โบไฮเดรตอย่างฉลาด ❝ไม่มีอ้วน ❞
อย่างที่เราเคยเรียนกันมาสมัยเด็กๆ อาหารหมู่สองจากอาหาร 5 หมู่ที่จำเป็นต่อร่างกายคือ คาร์โบไฮเดรต หรือเรียกสั้นๆย่อๆว่า “คาร์บ”
คาร์บเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย มีอยู่ในอาหารจำพวก ข้าว เมล็ดพืช ผลไม้ ผัก พืชหัว เครื่องปรุงที่มีรสหวาน นอกจากนี้การการผลิตอาหารเกือบทุกชนิด จะมีน้ำตาลอยู่ ซึ่งน้ำตาลก็มากจากอ้อย หรือ น้ำหวานของพืชนั่นเอง เรียกได้ว่าเราทานคาร์บกันตลอดแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมจะให้พลังงานแก่ร่างกายประมาณ 4 kcal
?✦ทำไมร่างกายของเราจึงต้องการคาร์โบไฮเดรต
ร่างกายคนเราใช้พลังงานจากสองแหล่งใหญ่คือ พลังงานจากไขมัน และ พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ซึ่งคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญแหล่งใหญ่ของร่ายกายเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นพลังงานที่ใช้ในการทำกิจกรรมและการขับเคลื่อนระบบอวัยวะต่างๆ สมอง หัวใจ ระบบการหายใจ ให้ทำงานและดำรงค์ชีวิตอยู่ได้นั่นเอง
?✦กินคาร์โบไฮเดรตเยอะๆแล้วทำให้อ้วนจริงเหรอ?
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจหลักการของการย่อยคาร์บมาเป็นพลังงานเสียก่อน เมื่อร่างกายได้คาร์บเข้าไปไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด จะข้าว น้ำตาล แป้ง ขนมปัง ผลไม้ ผัก คาร์บเหล่านี้จะถูกย่อยเป็นโมเลกุลที่เล็กลง คือกลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวหรือที่เรียกว่า กรูโคส และจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด กระจายไปตามเซลต่างๆและนำไปใช้เป็นพลังงานของระบบอวัยวะต่างๆในร่างกาย
จากนั้นส่วนที่เหลือจะถูกลำเลียงนำไปเก็บเอาไว้ในตับและกล้ามเนื้อ หรือ ที่เรียกว่า “ไกลโคเจน” ส่วนที่เหลือจากเก็บในกล้ามเนื้อและตับ (ไกลโคเจน) อีกส่วนที่เหลือจากเก็บจะถูกตับแปรสภาพกักเก็บไว้เป็นพลังงานสำรองในรูปแบบของไขมัน ซึ่งไขมันเหล่านี้จะค่อยๆสะสมพอกพูนขึ้นใต้ชั้นผิวหนังและตามอวัยวะภายในต่างๆ เราจึงค่อยๆอ้วนขึ้น เพราะอย่าลืมว่าทุกครั้งที่ร่างกายใช้พลังงาน ร่างกายจะใช้พลังงานจากอาหารที่ทานเข้าไปก่อน จากนั้น มาใช้พลังงานไกลโคเจน เมื่อทั้งสองแหล่งนี้หมดลงจึงจะดึงไขมันสะสมมาใช้ ตามลำดับ
?✦นอกจากนี้อีกเหตุผลนึงที่ทำให้คาร์บเป็นตัวการของความอ้วน..คือ**การทานคาร์บที่ย่อยไว อย่างแป้งขาว ขนมปัง น้ำตาล ขนมหวาน น้ำอัดลมใน**ปริมาณมากเกินไป คาร์บเหล่านี้เป็นคาร์บที่ร่างกาย**ดูดซึมได้ง่ายเมื่อดูดซึมง่ายก็จะทำให้มีน้ำตาล(กลูโคส)อยู่ในกระแสเลือดมาก
เมื่อมีน้ำตาลมากขนาดนั้น ร่างกายจะส่งสัญญาณไปที่ตับอ่อนให้เพิ่มระดับอินซูลินขึ้นเพื่อลดระดับน้ำตาลเลือด โดยการเร่งนำพลังงานไปใช้ในระบบ เก็บเป็นไกลโคเจน แต่ด้วยกลูโคสมีจำนวนมากและปริมาณกล้ามเนื้อมีจำนวนจำกัดหรือไม่สามารถกักเก็บได้ทัน จึงนำไปเก็บไว้ในรูปไขมันสะสมที่ทำได้ง่ายและไม่มีพื้นที่จำกัดแทนกรณีที่จะทำให้ได้รับคาร์บมากเกินไปทานคาร์บรวมต่อวันมากเกินไป
?✦การทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต
❝มากเกิน ❞ กว่า ❝ การนำไปใช้ ❞
และการเก็บในแต่ละวัน ทำให้มีส่วนของพลังงานเหลืออยู่มาก พื้นที่ในการจัดเก็บไกลโคเจนก็มีจำนวนจำกัด เมื่อเป็นเช่นนี้พลังงานส่วนที่เหลือจึงแปรสภาพเป็น>>>ไขมันสะสม ทานเยอะเกินไปในคราวเดียว
การทานมื้อหนัก หรือการทานคาร์บที่ย่อยเร็วครั้งละมากๆจะทำให้ร่างกายไม่สามารถกักเก็บพลังงานได้ทัน ทั้งที่ยังมีพื้นที่ในกล้ามเนื้อว่างอยู่ ร่างกายจึงเลือกที่
่ลดปริมาณน้ำตาลโดยการจัดเก็บในรูปแบบของไขมันที่ง่ายและเร็วกว่า ไม่ทานคาร์โบไฮเดรตเลยได้ไหม
เมื่อมาถึงตรงนี้หลายคนคงขยาดกลัวกับการทานแป้งไปเลย พาลจะบอกเลิกตัดขาดการทานคาร์บไป ซึ่งมีหลายทฤษฎีลดน้ำหนักที่ใช้วิธีการพร่องแป้ง หรือการจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้อยู่ในระดับต่ำ อย่าง ทฤษฎี Atkins และ Ketogenic (จะมานำเสนอในคราวต่อไป)
ซึ่งสามารถลดปริมาณไขมันได้จริง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
?✦เพราะการที่ลดปริมาณคาร์บให้ต่ำมากๆ จะทำให้✦ร่างกายขาดสารอาหาร กลุ่ม วิตามินบี และด้วยที่คาร์บเป็นพลังงานหลักในการดำรงค์ชีวิต การลดคาร์บให้ต่ำจำเป็นจะต้องเพิ่มพลังงานให้ร่างกายจากส่วนอื่นแทนโดยการเพิ่มปริมาณการทานไขมันและเนื้อสัตว์ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับไขมันไขมันอิ่มตัวและคอเรสเตอรอล ที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตได้ ***
***นอกจากนี้เมื่อเราตัดคาร์บปริมาณน้ำตาลในเลือดของเราจะต่ำลง ***
?✦ปริมาณพลังงานคาร์บไม่เพียงพอ✦ทำให้การเผาผลาญไขมัน..✦ไม่สมบูรณ์ ทำให้ไขมันก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารประเภท ketone ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ตับ มีผลทำให้ร่างกาย>>อ่อนเพลีย >>วิงเวียน >>หน้ามืด >>หงุดหงิด >>อารมณ์แปรปรวน
ในกรณีที่อดอาหารอย่างอื่นร่วมด้วยร่างกายจะลดการเผาผลาญไขมันลง พร้อมกลับค่อยๆย่อยสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาแทน เมื่อกล้ามเนื้อน้อยจะทำให้เมื่อกลับมาทานคาร์โบไฮเดรตเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้เกิดไขมันสะสมได้ไวกว่าปรกติ หรือเกิดภาวะโยโย่เอฟเฟกนั่นเอง
ทานคาร์โบไฮเดรตอย่างฉลาดไม่มีอ้วน
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้
?✦เราต้องเลือกวิธีการทานคาร์บอย่างฉลาด คือในแต่ละวันจะต้องกำหนดปริมาณการทานคาร์บให้พอเหมาะกับความต้องการ คือประมาณ 40% ของปริมาณพลังงานรวมที่ต้องใช้ต่อวัน และควรเลือกทานคาร์บเชิงซ้อนจำพวก #ข้าวแป้งไม่ขัดสี #ธัญพืช #ที่ย่อยและดูดซึมได้ช้า #ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อยๆขึ้นอย่างช้าๆ #มีเวลาในการจัดเก็บพลังงานไกลโคเจนได้ทัน
นอกจากนี้การเลือกเวลาในการทานคาร์บก็สำคัญ ควรเลือกทานคาร์บในมื้อก่อนที่จะต้องใช้พลังงาน เช่นมื้อเช้า หรือมื้อก่อนออกกำลังกาย และลดปริมาณการทานคาร์บในมื้อ…ดึก หรือ ช่วงก่อนเข้านอน เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานไกลโคเจน และลดการสะสมคาร์บเป็นไขมัน
สิ่งสำคัญอีกสิ่งคือ การเพิ่มพื้นที่การกักเก็บคาร์บ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยระบายไกลโคเจน ทำให้มีพื้นที่ในกล้ามเนื้อเหลือพอที่จะกักเก็บ และการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ เมื่อมีกล้ามเนื้อมากก็สามารถเก็บไกลโคเจนได้มาก คนที่ออกกำลังกายจึงอ้วนยากกว่าคนที่คุมอาหารเพียงอย่างเดียว
ส่งต่อความปราราถนาดี by Ammie @club.agirl
error: Content is protected !!