Posted on

5 ผลเสียจากการอั้นปัสสาวะ

พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันที่นั่งทำงานทั้งวันโดยไม่ลุกเข้าห้องน้ำเดินทางไกลอยู่บนรถติดนานๆ ห้องน้ำสกปรกไม่ถูกใจ ก็เลยต้องอั้นปัสสาวะนานๆเข้า โรคภัยก็ถามหา

1.โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
การอั้นปัสสาวะนานๆ ทำให้แบคทีเรียเข้าไปทางท่อปัสสาวะทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ ซึ่งโรคนี้จะมีอาการ ฉี่กระปิดกระปอย เหมือนฉี่ไม่สุด ปวดขัด รู้สึกแสบร้อน เวลาปัสสาวะ ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น บางรายมีเลือดปน

2.กรวยไตอักเสบ
คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ อาการจะมีไข่สูง หนาวสั่น ปวดสีข้าง หรือเอว ปัสสาวะลำบาก แสบขัด และปัสสาวะมีสีขุ่น บางคนมีอาการ เบื่ออาหารอ่อนเพลียร่วมด้วย

3.กลิ่นตัวแรง
เมื่ออั้นปัสสาวะนานๆของเสียในร่างกายก็จะถูกดูดซึมย้อนกลับไปในเส้นเลือดซึ่งร่างกายก็จะหาวิธีขับออกโดยจะระบายออกทางเหงื่อหรือรูขุมขนทำให้เกิดกินตัวแรงพูดง่ายๆ คือกลิ่นตัวเป็นกลิ่นฉี่

4.โรคนิ่ว
การอั้นปัสสาวะนานๆแคลเซียมซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของปัสสาวะ จะเกิดการตกตะกอนและตกค้างจนเกาะตัวกันเป็นก้อนนิ่ว ซึ่งมีอยู่ที่เกิดจากการอั้นฉี่จะเกิดในกระเพาะปัสสาวะหรือในไต
อาการจะ มีการปวดบริเวณท้องน้อยเรื้อรังปัสสาวะ มีสีผิดปกติอาจมีความขุ่น ซึ่งบางครั้งมีก้อนนิ่วหลุดออกมาด้วยปัสสาวะบ่อย กระปิดกระปอยอาจมีไข้ร่วมด้วย

5.ทำให้เกิดสิว
การกลั้นฉี่นานๆก็เหมือนการกักเก็บสิ่งสกปรกแบคทีเรียและเชื้อราต่างๆไว้ในร่างกายเมื่อร่างกายดูดซึมย้อนกลับก็จะส่งผลเสียต่อผิวพรรณทำให้เกิดสิวบริเวณ U ZONE เช่นคาง และกราม เป็นต้น

 

น่ากลัวทุกข้อ ทุกอาการเลยค่ะ
ดื่มน้ำบ่อยๆ ดีต่อสุขภาพ ถึงเวลาขับปัสสาวะออกเราก็ต้องดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บตามมา.. กันไว้ดีกว่าแก้แน่นอนค่ะ

Posted on Leave a comment

นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

นิ่วในไต, ธนทร,สมุนไพร, นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ, นิ่ว, ไม่ต้องผ่า, นิ่วในถุงน้ำดี, นิ่วหายได้

อาการนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะมักแสดงอาการเมื่อก้อนนิ่วทำให้ผนังของกระเพาะปัสสาวะเกิดการระคายเคืองหรือไปปิดกั้นการไหลของปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้มีอาการ ดังนี้

ปวดท้องส่วนล่าง
มีอาการปวดหรือรู้สึกไม่สบายที่อวัยวะเพศหรืออัณฑะ
มีอาการแสบขณะปัสสาวะ
ปัสสาวะบ่อย
ปัสสาวะลำบากหรือปัสสาวะติดขัด
ปัสสาวะเป็นเลือด
ปัสสาวะขุ่นหรือปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ

สาเหตุของนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ สาเหตุของนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ มักจะเกิดขึ้นเมื่อมีปัสสาวะตกค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะและมีการตกตะกอน หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อบางประเภท และภาวะบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ รวมไปถึงสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะก็ทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้เช่นกัน ภาวะที่ทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะบ่อยที่สุด ได้แก่
ต่อมลูกหมากโต เพราะไปขวางกั้นการไหลของปัสสาวะทำให้ปัสสาวะออกมาได้ไม่หมดและตกค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
ภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติจากระบบประสาท (Neurogenic Bladder) เพราะโดยทั่วไปสมองจะทำหน้าที่สั่งการกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะให้รัดหรือปล่อย ซึ่งหากเส้นประสาทสมองเกิดความเสียหายจากโรคหลอดเลือดสมอง การบาดเจ็บของไขสันหลัง หรือปัญสุขภาพอื่น ๆ อาจทำให้ปัสสาวะได้ไม่สุด
สาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ได้แก่

การอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือการบำบัดด้วยรังสีในบริเวณเชิงกราน
เกิดจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น การสวนปัสสาวะ เพราะอาจมีวัตถุที่อาจหลุดเข้าไปอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจะทำให้ตะกอนก่อตัวบนวัตถุนั้น ๆ จนเกิดเป็นนิ่วได้
นิ่วไนไต ก้อนนิ่วที่ก่อตัวในไตอาจเคลื่อนลงมาทางท่อปัสสาวะและลงมาอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ หากไม่ถูกขับออกอาจก่อตัวจนเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้

ภาวะกระเพาะปัสสาวะหย่อน (Cystocele) คือภาวะที่เกิดขึ้นกับเพศหญิงและจะเกิดขึ้นเมื่อผนังของผนังกระเพาะปัสสาวะอ่อนแอและหย่อนลงสู่อวัยวะเพศ อาจไปปิดกั้นปัสสาวะไม่ให้ไหลออกจากกระเพาะปัสสาวะได้
โรค Bladder Diverticula เป็นถุงน้ำที่ออกมาทางผนังกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งหากถุงน้ำมีขนาดใหญ่เกินไปก็อาจทำให้ปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะได้
การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาล เกลือ รวมทั้งได้รับอาหารที่มีวิตามิน เอ และวิตามิน บีต่ำ อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มน้ำน้อย

การวินิจฉัยนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ การวินิจฉัยนิ่วในกระเพาะปัสสาวะนั้นมีหลายวิธี ได้แก่
ตรวจร่างกาย แพทย์อาจตรวจดูบริเวณท้องส่วนล่าง คลำดูว่ากระเพาะปัสสาวะขยายใหญ่ขึ้นหรือไม่ หรืออาจตรวจทางทวารหนักเพื่อดูว่าต่อมลูกหมากขยายใหญ่ขึ้นหรือไม่ รวมไปถึงสอบถามเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย
ตรวจปัสสาวะ นำตัวอย่างปัสสาวะไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อตรวจหาเลือด แบคทีเรีย หรือผลึกของแร่ธาตุ ซึ่งจะช่วยให้พิจารณาได้ว่ามีการติดเชื้อทางเดินปัสสาววะหรือไม่ เพราะอาจเกิดจากนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกน (Computerized Tomography: CT) เป็นการเอกซเรย์ที่จะช่วยให้ได้ภาพของอวัยวะภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว เพื่อตรวจจับก้อนนิ่วที่มีขนาดเล็กได้ และเป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการช่วยวินิจฉัยนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้หลายประเภท
อัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อตรวจอวัยวะและโครงสร้างส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ช่วยตรวจจับนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

เอกซเรย์ (X-ray) การเอกซเรย์ไต ท่อไตและกระเพาะปัสสาะวะ ช่วยให้แพทย์สามารถพิจารณาได้ว่ามีนิ่วอยู่ในระบบทางเดินปัสสาวะหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การเอกซเรย์อาจไม่สามารถทำให้เห็นนิ่วบางประเภทได้
การรักษานิ่วในกระเพาะปัสสาวะ การรักษานิ่วในกระเพาะปัสสาวะ โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้นำออก เบื้องต้นอาจใช้วิธีดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้นิ่วที่มีขนาดเล็กออกมาตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม นิ่วในกระเพาะปัสสาวะมักเกิดจากกระเพาะปัสสาวะไม่สามารถปัสสาวะออกไปจนหมดได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการทางการแพทย์เพื่อช่วยในการนำนิ่วออกจากระเพาะปัสสาวะ
วิธีที่มักใช้ในการนำนิ่วออกจากกระเพาะปัสสาวะเรียกว่าการขบนิ่ว (Cystolitholapaxy)เป็นการนำท่อขนาดเล็กที่มีกล้องตรงส่วนปลาย สอดเข้าไปทางท่อปัสสาวะเพื่อส่องดูนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ จากนั้นแพทย์จะใช้เลเซอร์ อัลตราซาวด์ หรือเครื่องมือบางอย่างเข้าไปสลายนิ่วให้แตกเล็กลงและล้างออกจากกระเพาะปัสสาวะ โดยวิธีนี้มักไม่ค่อยพบภาวะแทรกซ้อน แต่อาจเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ มีไข้ หรืออาจเกิดการฉีกขาดและมีเลือดออกในกระเพาะปัสสาวะได้ ซึ่งก่อนและหลังขั้นตอนดังกล่าวแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดโอกาสติดเชื้อ

นอกจากนั้น ในกรณีที่ก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่หรือแข็งเกินกว่าที่จะทำให้แตกและกำจัดออกได้แพทย์จะผ่าตัดและนำนิ่วออกมาโดยตรง

ภาวะแทรกซ้อนของนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ภาวะแทรกซ้อนของนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ อาจเกิดจากการที่ก้อนนิ่วไม่ได้ถูกขับออก ถึงแม้จะไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ ก็อาจเป็นสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น

กระเพาะปัสสาวะทำหน้าที่ผิดปกติเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการเป็นก้อนนิ่วในกระเพาะปัสสาวะและไม่ได้รับการรักษา จนเกิดปัญหาตามมา เช่น มีอาการปวดหรือปัสสาวะบ่อยครั้งผิดปกติ นอกจากนั้น ก้อนนิ่วอาจค้างอยู่บริเวณทางเปิดที่ปัสสาวะจะผ่านเข้าสู่ท่อปัสสาวะและปิดกั้นการผ่านของปัสสาวะ
ทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ เนื่องจากการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะหรือจากการผ่าตัด
การป้องกันนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
การป้องกันนิ่วในกระเพาะปัสสาวะนั้นค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เพราะมักจะเกิดจากสาเหตุอื่นนำมาก่อน เช่น การมีปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะ การติดเชื้อหรือมีสิ่งแปลกปลอมในระบบทางเดินปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม อาจลดโอกาสการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ โดยปฏิบัติดังนี้

สังเกตความผิดปกติหรืออาการที่เกิดขึ้น เช่น ต่อมลูกหมากโต การมีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะจากโรคทางระบบประสาท หรือภาวะอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับระบบปัสสาวะ ซึ่งหากได้รับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงที ก็อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้
ดื่มน้ำให้มาก เพราะน้ำจะช่วยเจือจางแร่ธาตุหรือสารที่เข้มข้นในกระเพาะปัสสาวะได้ โดยปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวันนั้นขึ้นอยู่กับอายุ ขนาดตัว สุขภาพ หรือกิจกรรมในแต่ละวัน อาจปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณการดื่มน้ำที่เหมาะสมสำหรับตนเองได้

Posted on

ประโยชน์และโทษ กาแฟดำ

กาแฟดำ,ลดน้ำหนัก,เดนิมพลัส,denimplus

ประโยชน์และโทษ กาแฟดำ

ประโยชน์และโทษของกาแฟดำ
ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมและเติมโตมากทั้งในไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทั้งแบรนด์ไทย และต่างประเทศ ซึ่งกาแฟจะมีหลากหลายแบบมากๆ หลากหลายสายพันธุ์ วันนี้จะมาแนะนำเกี่ยวกับ กาแฟดำ กาแฟที่ถือว่าดูแลสุขภาพดีมากกว่า กาแฟผสมนม ผสมช็อคโกแลต ที่กินแล้วจะเสี่ยงต่อเบาหวาน หรือ อ้วนมากขึ้นอย่างแน่นอน แล้วประโยชน์ของกาแฟดำคืออะไร เรามาดูกันเลย

ประโยชน์ของกาแฟดำคือ
1. ป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซี
ไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคที่มีความอันตรายเป็นอย่างมาก แต่จากการวิจัยพบว่าการดื่มกาแฟดำเป็นประจำทุกวัน จะสามารถบรรเทาและป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซีได้
2. ช่วยลดความอ้วนหลายคนอาจจะเข้าใจว่าการดื่มกาแฟ เป็นสาเหตุที่ทำให้อ้วน แต่ความจริงแล้วกลับตรงกันข้าม เพราะกาแฟดำมีส่วนช่วยในการละลายไขมันได้ดี และสามารถให้พลังงานทดแทนได้ ซึ่งการดื่มกาแฟเป็นประจำหลังมื้ออาหาร ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากกาแฟจะเข้าไปทำให้ไขมันที่ทานเข้าไปแตกตัวและสลายไปอย่างง่ายดายโดยไม่จับเป็นก้อนนั่นเอง ไม่ต้องใส่นม ครีมเทียม น้ำตาลลงไปก็ช่วยได้เยอะมากๆ ครับ แต่ว่ารสชาติจะไม่ค่อยถูกปากหลายๆ ท่านอย่างแน่นอน
3. ป้องกันโรคหอบ
กาแฟสามารถป้องกันอาการหอบหืดได้ นั่นก็เพราะโรคหอบเกิดจากการที่ประสาทสำรองถูกกระตุ้น จึงแสดงอาการหอบออกมา แต่เมื่อดื่มกาแฟดำเป็นประจำ ฤทธิ์ของกาแฟดำจะเข้าไปช่วยระงับความตึงเครียดของประสาทสัมผัสสำรอง และไม่ทำให้เกิดอาการหอบนั่นเอง
4. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
ดื่มกาแฟแล้วใจสั่น นอนไม่หลับ แถมเสี่ยงโรคหัวใจเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนผมก็เป็นแต่หลังๆเหมือนเริ่มชิน เพราะกาแฟดำเมื่อดื่มบ่อยๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้ดี เนื่องจากในกาแฟดำมีวิตามินบีรวมชนิดหนึ่ง ชื่อว่านิโคติน ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดและป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว จึงไม่ทำให้เป็นโรคหัวใจ แถมลดความเสี่ยงภาวะไขมันในเลือดสูงอีกด้วย
5. ป้องกันโรคมะเร็ง
มะเร็งร้าย ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการดื่มกาแฟดำ เพราะในกาแฟดำมีกรดอะซิติก ที่จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนเนื้อร้าย และทำลายเซลล์ผิดปกติ ที่อาจกลายเป็นมะเร็งในวันหน้า เมื่อดื่มบ่อยๆ จึงหมดห่วงเรื่องมะเร็งร้ายมาเยือนไปได้เลย แต่กาแฟดำจะใช้สำหรับป้องกันโรคมะเร็งในขั้นต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้เพื่อรักษาโรคมะเร็งได้
6. บรรเทาอาการปวดศีรษะ
มักจะมีอาการปวดศีรษะบ่อยๆ การดื่มกาแฟดำก็ช่วยได้ดีเช่นกัน เพราะคาเฟอีนมีส่วนช่วยในการขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และระงับอาการปวดศีรษะได้ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะเนื่องจากอาการเมาค้างจากการดื่มสุราและของมึนเมาอีกด้วย แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรดื่มมากเกินไป เพราะอาจเกิดผลเสียได้เช่นกัน
7. ช่วยชะลอวัย
สำหรับคนที่ไม่อยากแก่เร็ว แค่ดื่มกาแฟดำบ่อยๆ ก็จะช่วยชะลอวัยได้ เพราะกาแฟดำจะทำให้ออกไซด์แตกตัว ลดการสะสมของออกซิเจนที่มีมากเกินไปจนอาจทำให้แก่เร็ว พร้อมทำให้ผิวพรรณเต่งตึง กระชับ ป้องกันการเกิดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นของผิวได้อย่างดีเยี่ยม แบบที่คุณเองก็แทบไม่ต้องซื้อครีมราคาแพงมาใช้เลยล่ะ

โทษของกาแฟดำคือ
1.เพิ่มระดับความดันโลหิตให้สูงมากขึ้น
การศึกษาวิจัยได้ค้นพบว่า การดื่มกาแฟจะทำให้ระดับความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นนานถึง 12 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในตอนเครียดๆ หรือช่วงที่ร่างกายมีภาวะความกดดันมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะจากการทำงานหรือเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการเกิดความดันโลหิตสูงมากขึ้นนั่นเอง
2.คาเฟอีนจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุ
คาเฟอีนจากในกาแฟจะมีผลขัดขวางการดูดซึมของแร่ธาตุบางชนิด เช่น แคลเซียม สังกะสีและเหล็ก ผู้ที่ต้องการให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีเพียงพอ จึงควรพยายามหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ โดยเฉพาะในเด็กซึ่งเป็นวัยที่ต้องเจริญเติบโต ควรงดดื่มกาแฟจะดีที่สุด
3.ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารหนักขึ้น
โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร ควรดื่มกาแฟอย่างระมัดระวังจะดีที่สุด เพราะกาแฟจะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำย่อยออกมามากขึ้น จึงเป็นผลทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารหนักขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ โดยเฉพาะเวลาท้องว่าง
4.เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน
เนื่องจากคาเฟอีนมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ หากดื่มกาแฟติดต่อกันเป็นเวลานาน ย่อมทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม ไปพร้อมกับการปัสสาวะได้อย่างมากขึ้นแน่นอน จนนำมาสู่ความเสี่ยงของภาวะการเกิดโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะกับผู้หญิงวัยทองที่ร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนง่ายอยู่แล้ว ยิ่งไม่ควรดื่มกาแฟมากเกินไปจะดีที่สุด
5.หญิงตั้งครรภ์เสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือร่างกายทารกไม่สมบูรณ์
หลายคนได้ยินข้อต้องห้ามเกี่ยวกับการดื่มกาแฟในคุณแม่ตั้งครรภ์อยู่แล้วแน่นอน ซึ่งโทษของการดื่มกาแฟสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ นั้น นับว่ามีผลกระทบรุนแรงเช่นกัน เพราะหากดื่มกาแฟมากจนเกินไปอาจส่งผลทำให้ทารกเจริญเติบโตแบบผิดปกติ หรือเพิ่มโอกาสในการแท้งได้สูงขึ้น เพราะคาเฟอีนจะก่อให้เกิดผลกระทบยังอวัยวะภายในของทารกที่กำลังบอบบางอยู่นั่นเอง
6.มีผลกระทบต่อการดูดซึมวิตามิน B1
วิตามิน B1 เป็นวิตามินที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาสมดุลและความมั่นคงเกี่ยวกับระบบประสาทภายในร่างกาย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ร่างกายขาดวิตามิน B1 อยู่แล้ว จึงควรงดดื่มกาแฟ ไม่เช่นนั้นคาเฟอีนจะยิ่งเข้าไปขัดขวางกระบวนการดูดซึมของวิตามินดังกล่าวให้ทำงานบกพร่องมากขึ้นได้
7.นอนหลับไม่เต็มที่
ขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายจะได้รับการแทรกแซงด้วยคลื่นรบกวนอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นผลมาจากคาเฟอีน จนทำให้ลึกๆ แล้ว ร่างกายก็ของเราก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แท้จริง

Posted on

นาฬิกาชีวิต

วัยทอง นาฬิกาชีวิต

นาฬิกาชีวิต เคล็ดลับสุขภาพดี 24 ชั่วโมง

“แม้ในเวลาที่คุณหลับพักผ่อน แต่ยังมีบางอย่างที่ยังทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง และพร้อมให้บริการคุณตลอดเวลา”

เดี๋ยวก่อน.. เราไม่ได้เป็นโฆษณาร้านสะดวกซื้อ แต่เรากำลังพูดถึงอวัยวะต่างๆในร่างกายของมนุษย์ที่ทำงานอย่างแข็งขันไม่มีวันหยุดแม้เสี้ยววินาทีต่างหาก

แล้วร่างกายของเรารู้เวลาได้ยังไง
ในร่างกายของเรา จะมีต่อมเหนือสมอง เป็นต่อมไร้ท่อที่มีชื่อว่า ต่อมไพเนียล (Pineal gland) ทำหน้าที่เป็นเหมือนตาที่สาม โดยเจ้าต่อมไพเนียล จะรับรู้และสร้างฮอร์โมนเซโรโทนินที่ทำให้เรารู้สึกเฟรช คึกคัก ตื่นตัว เมื่อเจอกับแสงสว่างในยามเช้า แม้ในยามที่เราหลับตาอยู่ และในความมืด ต่อมไพเนียลนี่ละที่สร้างฮอร์โมนเมลาโทนิน ที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและหลับสนิท และส่งผลต่อฮอร์โมนตัวอื่นๆในร่างกายด้วย

การเชื่อมโยงกับกลางวัน กลางคืน และฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายทำงานตามช่วงเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับเวลาในการดำเนินชีวิต ถ้ามีการกระตุ้นหรือส่งเสริมการทำงานของอวัยวะเหล่านั้นในเวลาที่ถูกต้อง ก็จะส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าช่วงเวลาอื่นๆ แต่หากไม่ทำตามเวลาของนาฬิกาชีวิตก็คือของเสียที่จะสะสมในร่างกาย รวมทั้งการเสื่อมของอวัยวะต่างๆก่อนเวลาอันควร ดังนั้นการทำความรู้จักกับนาฬิกาชีวิตและพยายามปรับไลฟ์สไตล์ของเราให้แมทช์กับการทำงานของอวัยวะต่างๆก็เป็นเคล็ดลับสุขภาพดีแบบง่ายๆ ที่ได้ประโยชน์มากเลยทีเดียว

นาฬิกาชีวิตทำงานอย่างไร

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
01.00-03.00 น ช่วงเวลาทำงานของตับ นอนหลับดีที่สุด
เพราะตับทำหน้าที่ ขจัดของเสียออกจากร่างกาย ผลิตอินซูลิน และ ผลิตน้ำดีไว้ย่อยไขมัน การส่งเสริมให้ตับทำงานได้ดีนั้นคือการนอนหลับสนิท ไม่ควรทานอาหารเวลานี้เพราะทำให้ตับทำงานหนักและเกิดสารพิษตกค้างในตับอีกด้วย

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
03.00-05.00 น. ช่วงเวลาทำงานของปอด ตื่นเช้าขึ้นมาสูดอากาศสดชื่น
ตื่นมาสูดอากาศยามเช้าให้ฟินเวอร์ พร้อมผิวเด้ง หน้าใส เพราะเป็นเวลาที่ปอดฟอกเลือดได้อย่างเต็มที่ คนเป็นหวัด หอบหืดต้องระวัง ช่วงนี้ปอดกำลังขับของเสียอาจจะมีอาการมากเป็นพิเศษ

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
05.00-07.00 น. ช่วงเวลาทำงานของลำไส้ใหญ่ ต้องไปขับถ่าย
ลำไส้ใหญ่จะทำงานได้ดีในเวลานี้ ทำให้ของเสียและกากอาหารถูกขับออกจากร่างกายได้ดีที่สุด แต่ถ้ายังมีปัญหาเรื่องขับถ่าย ลองดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว บีบมะนาวด้วยก็ยิ่งดีเลย

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
07.00-09.00 น. ช่วงเวลาทำงานของกระเพาะอาหาร ข้าวเช้าสำคัญตรงนี้
เป็นเวลาที่กระเพาะจะดูดซึมและย่อยสารอาหารต่างๆได้ดีที่สุด ไม่ทิ้งให้กลับมาเป็นภาระของพุง ต้นแขน ต้นขาอีกด้วย

09.00-11.00 น. ช่วงเวลาทำงานของม้าม ทำงานกันเถอะ

ซิกน่า แนะนำว่าเวลานี้ไม่ควรจะกินมากหรือพูดมากเพราะจะทำให้ม้ามชื้น ไม่แข็งแรง การกินอาหารในเวลานี้ทำให้อ้วนง่าย การนอนในเวลานี้จะทำให้ม้ามทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร และทำให้ม้ามอ่อนแอ

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า

11.00-13.00 น. ช่วงเวลาทำงานของหัวใจ เบาๆผ่อนคลาย
หัวใจทำงานหนักช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เที่ยงนั่งชิลล์ Enjoy Eating คุยเม้าท์เบาๆเพลินๆเก็บแรงไว้ทำงานตอนบ่ายดีกว่า

13.00-15.00 น. ช่วงเวลาทำงานของลำไส้เล็ก งดกินช่วงนี้ สมองแล่น
เวลานี้ควรละเว้นไม่กินอาหารทุกชนิด เพื่อให้ “ลำไส้เล็ก” ทำงานได้เต็มที่ ช่วงนี้สมองซีกขวาทำงานได้ดี

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า

17.00-19.00 ช่วงเวลาทำงานของไต สดชื่น แจ่มใส ไม่อยู่นิ่ง
เป็นเวลาที่ไม่ควรจะเข้านอน เพราะจะทำให้ไตทำงานหนัก ควรออกกำลังกายหรือทำงานไม่อยู่นิ่งๆ เช่นทำงานบ้านต่างๆเพื่อให้ร่างกายสดชื่น แอคทีฟ เพิ่มความดันเลือด จะช่วยให้ผิวสดใสแข็งแรง
ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
19.00-21.00 ช่วงเวลาทำงานของเยื่อหุ้มหัวใจ ทำสมาธิ ผ่อนคลาย
เป็นช่วงเวลาของการหยุดนิ่ง อาจจะทำโยคะ หรือทำสมาธิ ถ้ามีเวลาให้แช่น้ำอุ่นจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
21.00-23.00 น. ช่วงเวลาทำงานของอุณหภูมิในร่างกาย ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น
เป็นเวลาที่ร่างกายต้องการความอบอุ่น จึงไม่ควรอาบน้ำเย็นในช่วงนี้ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอได้ง่าย ถ้าเป็นคนเข้านอนเร็ว เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะกับการซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม หรือในอ้อมกอดของใครซักคนก็ได้นะ

ตื่นนอน,วัยทอง,ตกขาว,ปวดประจำเดือน,เดนิมพลัส,รีนูว่า
23.00-01.00 น. ช่วงเวลาทำงานของถุงน้ำดี ดื่มน้ำก่อนนอน
เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงน้ำดีข้น ส่งผลให้เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ดังนั้นจึงต้องอย่าลืมดื่มน้ำก่อนเข้านอน

พื่อสุขภาพที่ดี ตามนาฬิกาชีวิต สุขภาพดี ได้ 24 ชั่วโมง อีกหนึ่งเคล็ดลับ ตัวช่วยตอบโจทย์ สำหรับ ระบบเผาผลาญไม่สมดุลย์ สกัดจากธรรมชาติ ด้วยปริมาณที่มากพอ

เรามาทำความรู้จัก
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
เดนิมพลัส กันนะคะ 
ลดไขมัน ลดอ้วน ลดโรค

renuva

No posts found!

Posted on

6อาหารต้องกิน-ต้องห้าม ยามมีประจำเดือน

รีนูว่า

6อาหารต้องกิน-ต้องห้าม ยามมีประจำเดือน

ปวดท้อง ประจำเดือน ความทรมานรายเดือนที่ผู้หญิงหลายคนต้องเผชิญ ใครโชคดีหน่อยก็ปวดน้อย แค่ให้พอรู้สึก แต่สำหรับคนที่ปวดมาก ปวดระดับรุนแรงนั้น ก็แทบจะลงไปดิ้นทุรนทุรายกับพื้นเลยทีเดียว อาหารที่คุณกินเข้าไป ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลได้ว่า คุณจะ ปวดท้องประจำเดือน มากขึ้นหรือน้อยลง มาดูกันดีกว่า อาหารชนิดใดที่กินแล้วช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ และอะไร ที่กินแล้วทำให้ปวดท้องมากขึ้นกว่าเดิม!

ประจำเดือน (Menstruation หรือ Period) คืออะไร?

มาเกริ่นกันก่อนเข้าเรื่องอาหาร… ภาวะประจำเดือน คือ ภาวะที่เนื้อเยื่อภายในมดลูกหลุดลอกออกมาพร้อมกับเลือดบางส่วน เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง (โดยเป็นผลมาจากการเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ในทุก ๆ รอบเดือนของร่างกาย เมื่อไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ร่างกายจึงปรับสภาพกลับเข้าสู่ภาวะปกติ) ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นทุกเดือน จึงถูกเรียกว่า ประจำเดือนนั่นเอง

“อาหารต้องห้าม” ยามปวดท้องประจำเดือน
1. เนื้อสัตว์ติดมัน
ไขมัน เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดอาการปวดท้องประจำเดือน การทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ติดมัน อาจทำให้อาการปวดท้องของคุณรุนแรงขึ้นกว่าเดิมได้ นอกจากนี้ อาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง อย่างเช่น เนย หรือกะทิ ก็กระตุ้นให้อาการ ปวดท้อง กำเริบ ได้เช่นกัน ช่วงก่อน หรือช่วงมีประจำเดือน จึงควรงดทานอาหารประเภทนี้ไปก่อน
2. กาแฟ และเครื่องดื่มคาเฟอีนต่าง ๆ
คาเฟอีน ที่พบได้มากใน ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม เป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดท้องประจำเดือน มากขึ้น และยังทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ ทำให้อารมณ์แปรปรวนมากขึ้น รู้สึกหงุดหงิด โมโหง่าย กระวนกระวายใจ ดังนั้น ช่วงที่มีประจำเดือน จึงควรงดเครื่องดื่มคาเฟอีนทุกชนิด หรือหากจำเป็น ก็ควรดื่มให้น้อยที่สุด หรือเจือจางให้มากที่สุด
3. ไอศกรีม และของหวาน
ถึงแม้ว่า ช่วงมีประจำเดือน คุณอาจจะรู้สึกอยากทานของหวานมาก แต่น้ำตาล ก็จะทำให้อาการปวดท้องย่ำแย่ลงกว่าเดิมได้ ยิ่งเป็นไอศกรีมด้วยแล้ว ก็ลืมไปได้เลย เพราะนอกจากจะมีน้ำตาลแล้ว ไอศกรีมยังเต็มไปด้วยไขมันจากนมอีกด้วย แต่หากรู้สึกอยากทานของหวานจริง ๆ ให้เลือกทานของหวานจากผลไม้จะดีกว่า

“อาหารต้องกิน” เมื่อมี ประจำเดือน
1. น้ำเต้าหู้
ในน้ำเต้าหู้ มีฮอร์โมนเพศหญิง ที่สามารถบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ และช่วยลดการเกิดอาการปวดท้อง ประจำเดือน ได้เป็นอย่างดี หากต้องการให้เกิดผลดีที่สุด ควรกินก่อนประจำเดือนมาประมาณ 1 สัปดาห์
2. ผักผลไม้
ผักผลไม้ที่มีกากใยสูง มีส่วนช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ เพราะนอกจากกากใยในผักผลไม้ จะทำหน้าที่ดักจับฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกิน และกำจัดทิ้งไป ทำให้มดลูกไม่หดตัวมากเกินไปแล้ว ผักผลไม้ที่มีแมกนีเซียม และวิตามินซีสูง ยังช่วยบรรเทาอาการปวดเกร็งท้องได้ดีด้วย หรืออาจกินสมุนไพรอย่าง ตังกุย ที่มีสรรพคุณในการช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดลดการบีบตัว และลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อมดลูกได้เช่นกัน
ควรระวัง: ถั่วเหลือง และ สับปะรด มีสารที่กระตุ้นฮอร์โมนที่ให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และ เหมาะสำหรับทานช่วงก่อนเป็นประจำเดือน จะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ สำหรับผู้ที่ประจำเดือนมากระปริบกระปรอย หรือผู้ที่มีอาการปวดท้อง จากประจำเดือนมาน้อย ก็สามารถทานเพื่อกระตุ้นให้ประจำเดือนมามากขึ้นได้
3. ปลาทะเลน้ำลึก
ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลากระพง ปลาทู ปลาแซลมอน เป็นต้น เป็นปลาที่อุดมไปด้วยกรด EPA และ DHA ที่มีคุณสมบัติการในการ ช่วยลดอาการปวดเกร็งในช่องท้องได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก และยังช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรงได้

แม้ว่า อาการปวดประจำเดือน แทบจะเป็นสิ่งที่มาคู่กับผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ทุกคน แต่ช่วงที่มีประจำเดือน ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่ทั้งอึดอัด และทรมานร่างกาย และจิตใจสำหรับผู้หญิงไม่น้อยเลย นอกจาก ใช้อาหารเป็นตัวช่วยแล้ว การใช้ ยาแก้ปวดท้อง เพื่อระงับอาการปวด ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่สาว ๆ มักทำกัน

อีกหนึ่งตัวช่วยดีๆ อย่าง รีนูว่า อาหารเสริมสำหรับดูแลผู้หญิงโดยเฉพาะ เรื่องราวดีๆ คลิกที่นี่

RENUVA เพื่อนแท้ดูแลผู้หญิง

Posted on

มะเขือพวง  ช่วย4โรคร้าย

มะเขือพวง

มะเขือพวง  ช่วย4โรคร้าย

“มะเขือพวง” คงจะไม่มีใครที่บอกว่าไม่รู้จักผักพื้นบ้านของไทยชนิดนี้ เนื่องจากมะเขือพวงนั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นผักพื้นบ้านคู่ครัวไทยเลยก็ว่าได้ เพราะอาหารไทยหลายๆ ชนิด ไม่ว่าจะเป็น น้ำพริกกะปิ แกงป่า แกงเนื้อ แกงเขียวหวาน หรือแม้แต่ผัดเผ็ดบางอย่าง ก็ต้องมีมะเขือพวงเป็นส่วนประกอบ

ตามตำราแพทย์แผนโบราณ มะเขือพวงมีสรรพคุณหลายประการ เช่น บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนได้ดี แก้ปวด ฟกซ้ำ อาการบวม อักเสบ ปวดกระเพาะ แก้อาการฝีบวมหนอง ช่วยเจริญอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย ขับปัสสาวะ

ประโยชน์ของมะเขือพวงต่อสุขภาพร่างกาย เช่น ช่วยในเรื่องของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระบบขับถ่าย เนื่องจากในมะเขือพวงมีปริมาณเพ็กตินสูง ซึ่งสารชนิดนี้เป็นสารเส้นใยที่ละลายได้ในน้ำ เมื่อละลายแล้วจะเปลี่ยนรูปเป็นวุ้นเคลือบบริเวณผิวสำไส้ ทำให้ความสามารถในการดูดซึมสารเข้าสู่เซลล์ร่างกายของลำไส้น้อยลง
1. ช่วยในเรื่องของโรคเบาหวาน จากการที่เพ็กตินไปเคลือบบริเวณผิวลำไส้ มีผลให้ลำไส้
ดูดซึมสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตคือน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดน้อยลง ทำให้ในกระแสเลือดไม่มีน้ำตาลส่วนเกินจากที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ และจากการที่ในกระแสเลือดมีปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสม เลือดจึงไม่ข้นมาก ส่งผลให้ไตไม่ต้องทำงานหนักในการที่จะขับน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย จึงเป็นการลดสาเหตุการเกิดโรคไตได้อีกทางหนึ่งด้วย
2. ช่วยในเรื่องความดันโลหิตสูง เนื่องจากเพ็กตินมีคุณสมบัติดูดซับไขมันส่วนเกินจาก
อาหารและนำออกจากร่างกายทางระบบขับถ่าย และจากการที่เพ็กตินไปเคลือบบริเวณผิวลำไส้ มีผลให้ลำไส้ดูดซึมสาร อาหารจำพวกไขมันเข้าสู่กระแสเลือดน้อยลง ในกระแสเลือดจึงไม่มีไขมันส่วนเกินที่จะไปรวมตัวกันและเกาะติดที่ผนังเส้นเลือดที่เป็นบ่อเกิดของการทำให้หลอดเลือดตีบแคบลงหรือเส้นเลือดอุดตัน
3. ช่วยในเรื่องการต้านอนุมูลอิสระ จากงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากมะเขือพวงมีฤทธิ์ต้าน
อนุมูลอิสระสูง จึงช่วยลดภาวการณ์เกิดโรคมะเร็ง และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันความเสื่อมและแก่ก่อนวัย อีกทั้งในมะเขือพวงยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ นอกจากนี้จากงานวิจัยยังพบว่าสารสกัดจากมะเขือพวงมีผลยับยั้ง platelet activating factor (PAF) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหอบหืด การอักเสบเฉียบพลัน ภูมิแพ้และภาวะเลือดแข็งตัวอีกด้วย
4. ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย เนื่องจากเพ็กตินมีความสามารถดึงน้ำไว้เป็นจำนวนมาก จึงมี
ผลช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายทำให้ท้องไม่ผูก อันเป็นการลดต้นเหตุของการเป็นโรคริดสีดวงทวาร

สรรพคุณทางสมุนไพรจากส่วนต่างๆ ของมะเขือพวง
ต้นใช้น้ำสกัดจากต้นมะเขือพวงแก้พิษแมลงกัดต่อย
ใบน้ำคั้นใบสดใช้ลดไข้ ใช้ใบห้ามเลือด ใช้เป็นยาระงับประสาท พอกให้ฝีหนองแตกเร็วขึ้น แก้ปวด แก้ชัก ไอหืด ปวดข้อ โรคผิวหนัง ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ และแก้ซิฟิลิส
ผล นำผลมาต้มกรองน้ำดื่ม หรือนำผลไปย่างแล้วนำมาบุบให้แตกชงกับน้ำร้อนแล้วกรองน้ำดื่ม มีสรรพคุณในการขับเสมหะ ช่วยระบบย่อยอาหาร รักษาอาการเบาหวาน แก้ไอและบำรุงเลือด ทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ผลแห้งย่างกินแกล้มอาหารบำรุงสายตาและรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย ช่วยบรรเทาโรคแผลในกระเพาะอาหาร ขับปัสสาวะ ช่วยย่อย และช่วยให้ผ่อนคลาย และนอนหลับได้ดี บำรุงตับ รักษาโรคความดันโลหิตสูง
เมล็ด นำเมล็ดไปเผาให้เกิดควัน สูดเอาควันรมแก้ปวดฟัน
ราก นำรากมะเขือพวงแช่น้ำมะขามแล้วต้มดื่มลดพิษในร่างกาย ใช้รากสดตำพอกรอยแตกที่เท้า หรือโรคตาปลา

ดังนั้นเราจะเห็นว่ามะเขือพวงนั้นมีคุณประโยชน์มากมาย และจากคุณประโยชน์ที่ หลากหลายนี้เอง ก่อให้เกิดภูมิปัญญาโบราณที่นำมะเขือพวงมาเป็นส่วนประกอบในอาหารหลายอย่าง เช่นอาหารประเภทแกงกะทิ แกงเขียวหวาน อาหารประเภทนี้จะมีไขมันเป็นส่วนประกอบ ดั้งนั้นสารเพ็กตินที่มีอยู่ในมะเขือพวงจึงช่วยในการดูดซับไขมัน ทำให้ร่างกายได้รับไขมันในปริมาณที่พอเหมาะ แต่อย่างไรก็ตามในการบริโภคมะเขือพวงนั้นจำเป็นต้องทำให้สุกเสียก่อน เนื่องจากในมะเขือพวงมีสารโซลานีน ซึ่งเป็นอัลคาลอยด์ที่พบในตระกูลมะเขือ ในการรับประทานมะเขือพวงนั้น
ไม่ควรรับประทานเกิน 200 ผล ภายในครั้งเดียว เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับ หรือในบางคนอาจมีอาการท้องเสีย ปวดศีรษะหรืออาเจียนได้

อีกหนึ่งสรรพคุณดีๆจากไคโตซานในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เดนิมพลัสช่วยดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออกทางอุจจาระ

renuva

No posts found!

Posted on

9 คาถาชีวิตมีสุข

9 คาถาชีวิตมีสุข

9 คาถาชีวิตมีสุข 

ปัจจุบันวิทยาการเทคโนโลยีมีความก้าวหน้า . คนอยู่ต่างสถานที่กันแม้ไกลคนละซีกโลกก็สามารถติดต่อกันได้ . เสมือนอยู่ต่อหน้ากัน นั่งคุยกัน ความเจริญทางเทคโนโลยีทำให้การดำเนินชีวิตสะดวกสบาย . แต่ในความสะดวกสบายนั้นจริงๆแล้ว . มีความสับสนวุ่นวายเต็มไป ด้วยการแข่งขัน . ความเร่งรีบ . โดยเฉพาะในสังคมเมือง . เช่นกรุงเทพ . เมืองหลวงของเรา . ซึ่งคนในเมืองต้องผจญกับความเครียดอย่างหนัก . จนเกิดโรคภัยต่างๆไม่ว่าจะเป็นโรคความดันสูงโรคหัวใจ . โรคไขมันหลอดเลือดสูง . หรือแม้แต่โรคมะเร็ง . เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว   มีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขกาย สบายใจได้ ขอเสนอวิธีการสั้นสั้นง่ายๆ เพื่อการดำรงชีวิตที่จะทำให้เกิดความสุขกายสบายใจ  ซึ่งสามารถท่องจำให้ขึ้นใจและนำไปปฏิบัติได้อย่างจริงจัง ย่อมเห็นผลอย่างแท้จริงแน่นอน
เริ่มแรกการปฎิบัติ 9ข้อง่ายๆ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เกิดสุขภาพกายที่ดี ดังนั้นคือ

1.ดื่มน้ำมากๆ
2.รับประทานอาหารเช้าให้เต็มอิ่มและทานมื้อกลางวันลองลง สุดท้ายทานมื้อเย็นให้น้อย
3.รับประทานอาหารที่ปรุงด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติให้มากขึ้นลดละอาหารที่ผ่านการแปรรูป
4. รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่
5. ไม่ดื่มของมึนเมาไม่สูบบุหรี่
6. อย่าทำงานหักโหมมากเกินไป ถ้าวันนี้ทำไม่สำเร็จหยุดพักและค่อยทำใหม่อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
7. เดินออกกำลังกายทุกๆวันวันละ 10 – 30 นาที
8. ทำสมาธิอย่างน้อยครั้งละ 10 นาทีเป็นประจำทุกวันและสวดมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืน
9. นอนหลับพักผ่อนวันละ 7 ชั่วโมง 

เมื่อสุขภาพกายดีแล้วก็ต้องตามด้วยสุขภาพใจที่ดี   เพื่อให้ชีวิตมีความสุขสบายอย่างแท้จริงก็คือควรปฏิบัติตาม9ข้อต่อไปนี้

1. อย่าเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่นเพราะคุณไม่รู้หรอกว่าเส้นทางชีวิตของเค้าเป็นอย่างไร
2. อย่ามัวแต่คิดในแง่ร้ายหรือหมกมุ่นในสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้แต่คนทุ่มเทพละกำลังและคิดในด้านดีกับสิ่งที่กำลังทำอยู่
3. เพิ่งละลึกเสมอว่าไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือร้ายอย่างไรย่อมมีวันสิ้นสุดและเปลี่ยนแปลง
4. อย่ามัวแต่ซุบซิบนินทาเพราะเปลืองทั้งแรงกายและแรงใจ
5. จงลืมเรื่องราวในอดีตเสียและอย่าทำให้คนใกล้ตัวรู้สึกถึงความผิดพลาดที่เขาหรือเธอเคยกระทำเพราะมันจะทำลายความสุขของคุณจนหมดสิ้น
6. ชีวิตคนเราสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาโกรธแค้นใครคนใดคนหนึ่งไปตลอดฉะนั้นควรเลิกโกรธเกลียดผู้อื่น
7. ให้อภัยกับเรื่องในอดีตเพื่อที่มันจะได้ไม่ทำร้ายปัจจุบันของคุณ
8. จำไว้ว่าไม่มีใครทำให้คุณมีความสุขได้นอกจากตัวคุณเอง
9. จงยิ้มและหัวเราะให้มากขึ้น

จะเห็นได้ว่าข้อปฏิบัติที่กล่าวมานั้นสามารถปฏิบัติตามได้อย่างง่ายดายและได้ผลอย่างแน่นอนดังนั้นเพื่อให้ชีวิตมีความสุขกายสบายใจลองนำไปปฏิบัติดูนะคะรับรองเกิดผลดีแน่นอน

789beauty  Share Healthy Space

Posted on

กินหวาน โมโหง่าย

กินหวาน โมโหง่าย

การกินหวาน โมโหง่าย จริงหรือ?

กินหวาน โมโหง่าย เวลาที่เรา โมโห หรือ หงุดหงิดอะไรสักอย่าง เคยเจอเพื่อน แซวกันมั้ยว่า “ไปกินหวานมาเยอะใช่มั้ย” “เพิ่งไปกินน้ำตาลมาหรอ” และอีกคำสารพัดที่ไปโยงความหงุดหงิดเข้ากับความหวาน จนมีความเชื่อเกิดขึ้นมาว่า “กินหวานแล้วโมโหง่าย” หรือแม้กระทั่ง อย่าให้สุนัขกินของหวาน เพราะจะทำให้มันดุ
.
ความเชื่อนี้ ไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อที่พูดกันเล่นๆ เท่านั้นนะ เพราะนักวิทยาศาสตร์มีการทดลองอย่างจริงจังเพื่อพิสูจน์ว่ากินน้ำตาลมากไปจะทำให้โมโหและหงุดหงิดง่ายจริง วิธีการทดลองมีอยู่ว่า ไม่ให้ผู้ทดลองกินน้ำตาลอย่างเด็ดขาด ดังนั้นอาหารที่ทำให้ผู้ทดลองทานก็จะใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาล และใช้น้ำผลไม้แทนน้ำอัดลม เวลาผ่านไปสามเดือน พบว่าสถิติการทะเลาะวิวาทของผู้ทดลองลดลงถึง 45% ทีเดียวเชียว
.
สาเหตุที่ทำให้น้ำตาลกลายเป็นปัจจัยให้คนเราหงุดหงิดง่ายขึ้น เป็นเพราะว่า เวลาที่เรากินน้ำตาลเข้าไปมากๆ จะถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสและถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ปริมาณน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
.
กฏของร่างกายมีอยู่ว่าถ้ามีปริมาณน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น สมองจะสั่งการให้หลั่งอินซูลินออกมาเพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดลง และตับอ่อนก็จะทำงานหนัก แต่ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้เครียด สมองก็จะส่งสัญญาณเตือนมาอีกและหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลินออกมา ซึ่งถ้ามากเกินไปจะทำให้การควบคุมจิตใจเป็นไปไม่ปกติ เลือดร้อน โมโหง่าย หงุดหงิดง่าย และก้าวร้าวอีกด้วย
.
พฤติกรรมก้าวร้าว โมโหฉุนเฉียว เชื่อว่าเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมากันโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้ด้วยว่าเป็นผลที่อาจเกิดได้จากการกินน้ำตาลมากจนเกินไป ดังนั้นถ้าเรา ปรับลดพฤติกรรมการกินหวานหรือลดการตักน้ำตาลไปบ้าง ก็น่าจะเป็นผลดีกับน้องๆ ทำให้สภาพจิตใจเป็นปกติ สดใสสมเป็นวัยรุ่น และที่สำคัญช่วยลดอาการร่างกาย “ติดหวาน” จนเป็นที่มาของโรคในอนาคตด้วยค่ะ
.
นับวันยิ่งเห็นโทษของการกินของหวานโดยเฉพาะน้ำตาล แม้ว่าความหวานจะทำให้อาหารที่อยู่ตรงหน้าอร่อยขึ้น แต่โทษของมันก็มีมากกว่าที่คิด ไหนจะทำให้เกิดโรคอ้วน เบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูง แล้ว ยังทำให้เราดุ โมโหง่าย หงุดหงิดง่าย หลายเป็นคนก้าวร้าวอีกต่างหาก ดังนั้นต่อไปนี้ใครบอกว่ากินขนมหวานแล้วอารมณ์ดีขึ้น ต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่ เพราะอย่าลืมว่าของหวานทุกชนิดมักใช้น้ำตาลเป็นส่วนผสม ถ้ากินเยอะเกินไป จะกลายเป็นคนอารมณ์เสียได้นะคะ

กินหวาน โมโหง่าย10 เคล็ดลับ
ควบคุมน้ำตาล

1 กินเป็นประจำ
สิ่งที่ทำให้เกิดความอยากน้ำตาล ร่างกายของคุณต้องการแหล่งคงที่ของพลังงานไม่สูงและต่ำดังนั้นเคล็ดลับแรกของเราในการที่จะควบคุมความอยากน้ำตาล – ไม่ข้ามมื้ออาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเช้าและให้แน่ใจว่าจะได้รับความอุดมสมบูรณ์ของโปรตีนที่มีเกือบทุกมื้อการรับประทานเป็นประจำจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณมีเสถียรภาพและช่วยให้หลีกเลี่ยงการกระ

2. รักษามันเช่นดีท็อกซ์
ถ้าคุณจะไปสำหรับการลดความรุนแรงในการบริโภคน้ำตาลของคุณแล้วคุณควรจะใช้กระบวนการนี้อย่างจริงจังน้ำตาลเป็นเสพติดและสัปดาห์แรกที่คุณลดน้ำตาลอาจจะมีบิตอึดอัดคุณอาจจะได้สัมผัสกับความอยากจึงได้เตรียมที่สำหรับพวกเขาตัดออกน้ำตาลในเวลาเมื่อคุณเครียดน้อยที่สุดและไม่เพียง

3. ล้างออกล่อลวง
เคล็ดลับเกี่ยวกับวิธีการควบคุมความอยากน้ำตาลก็คือ – ทำความสะอาดออกตู้เย็นและตู้ของทุกคนถือว่าดึงดูดและของว่างและทำให้ตัดสินใจอย่างมีสติที่จะไม่สต็อกของพวกเขาเมื่อคุณไปช้อปปิ้งการถอดสิ่งล่อใจสำหรับการเข้าถึงง่ายจะทำให้ง่ายขึ้นที่จะเอาชนะความอยาก

4. เตรียมความพร้อมทางเลือกบางอย่าง
ให้เลือกอาหารมื้อเพื่อตุนถือว่าสุขภาพแทนของขนมหวานเลือกบางสิ่งที่ดีต่อสุขภาพที่คุณไม่ชอบเช่นบลูเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่, แอปเปิ้ล, พีช, โยเกิร์ต, ถั่ว, ผลไม้แห้งหรือผสมเส้นทางขนมทางเลือกเหล่านี้จะลดความอยากความหวานและให้คุณเพิ่มสุขภาพที่ดีของพลังงานและสารอาหารที่มากเกินไป

5. การทดสอบกับอาหารอื่น ๆ
ปลายของเราต่อไปเกี่ยวกับวิธีการควบคุมความอยากน้ำตาลและ วิธีการทำลายยาเสพติดน้ำตาล นี้เป็นโอกาสที่จะทดสอบกับอาหารและลองสิ่งที่คุณไม่เคยกินมาก่อน.ทางเลือกในการหาอาหารที่มีน้ำตาลที่ยังคงทำให้คุณรู้สึกดีและให้พลังงานที่คุณต้องการสิ่งที่คุณอาจคิดว่าเป็นความอยากก็อาจจะเป็นผลมาจากนิสัยและแทนที่ขนมหวานกับคนที่มีสุขภาพดีมากขึ้นจะมากขึ้นกว่าไม่อาหารว่างที่ทั้งหมด

6. ผักหวานในอาหารของท่าน
ทุกคนได้รับความอยากอาหารหวาน แต่คุณไม่ได้เกินน้ำตาลที่จะตอบสนองความอยากที่อีกข้อเสนอแนะที่ดีในการที่จะควบคุมความอยากน้ำตาลคือการทำวิธีที่มีสุขภาพดี: เพิ่มความหวานในอาหารของคุณโดยการเพิ่มผักหวานมื้ออาหารของคุณผักเช่นมันฝรั่งหวานกะหล่ำปลีสีเขียวหัวผักกาดและแครอทจะช่วยในการรักษาเสถียรภาพ

7. ใช้น้ำยาบ้วนปากบาง
เมื่อคุณได้รับความอยากที่แข็งแกร่งที่แท้จริงสำหรับน้ำตาลลองทำความสะอาดฟันของคุณและจากนั้นล้างด้วยน้ำยาบ้วนปากบางรสชาติที่แข็งแกร่งของน้ำยาบ้วนปากจะทำให้อาหารที่มีน้ำตาลน้อยดูเหมือนน่าสนใจ

8. ถ้าคุณจะต้องรักษาแล้วทำให้มันเป็นหนึ่งที่ดี
ถ้าคุณไม่สามารถต้านทานการกระตุ้นสำหรับรักษาหวานแล้วซื้ออาหารที่มีคุณภาพดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ชิ้นส่วนที่มีคุณภาพสูงช็อคโกแลตหรือส่วนเล็ก ๆ ของไอศครีมรสเลิศจะตอบสนองความอยากน้ำตาลของคุณจะดีกว่า

9. เคี้ยวหมากฝรั่งน้ำตาลฟรี
การเคี้ยวหมากฝรั่งน้ำตาลฟรีจะช่วยลดความอยากความหวานรักษาก้อนของน้ำตาลหมากฝรั่งฟรีกับคุณและเวลาถัดไปที่คุณกระหายการรักษาหวานเคี้ยวว่าสำหรับขณะที่และมันจะทำให้ความอยาก

10. วิธีการควบคุมความอยากน้ำตาล? ไม่ต้องพึ่งพาสารให้ความหวานเทียม
สิ่งที่ต้องการโซดาอาหารที่มีสารให้ความหวานเทียมไม่ได้ช่วยให้คุณลดความอยากของคุณเพราะพวกเขาหลอกร่างกายของคุณในความคิดที่ได้รับการขัดขวางน้ำตาลในเลือดเช่นเดียวกับยาเสพติดใด ๆ

รู้เคล็ดลับควบคุมน้ำตาลกันแล้ว ลดเสี่ยง!! โรคชุดกัน ดูแลสุขภาพกันต่อไปนะคะ เราจะสวยและสุขภาพดีไปพร้อมๆกันจ้า

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
Posted on

5ข้อดีโยเกิร์ต

โยเกิร์ต

โยเกิร์ต5ข้อดี

1.ช่วยให้นอนหลับง่าย โยเกิร์ตมีส่วนประกอบของนม ในโยเกิร์ตจึงมีทริปโตเฟน กรดอะมิโนที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกง่วงนอน และทริปโตเฟนยังจะช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนิน ฮอร์โมนที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับง่ายกว่าเดิม
2.ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ในโยเกิร์ตมีโพรไบโอติกส์ แบคทีเรียชนิดดีต่อลำไส้และระบบย่อยอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย พร้อมทั้งโพรไบโอติกส์ยังจะช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งผลให้สุขภาพโดยรวมของร่างกายดีขึ้นด้ว โดยเฉพาะหากกินโยเกิร์ตตอนท้องว่าง ในช่วงเช้า หรือก่อนเข้านอน จุลินทรีย์ชนิดดีและโพรไบโอติกส์จะเข้าไปจัดระเบียบบรรดาสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ภายในกระเพาะอาหารและลำไส้ เช้ามาก็จะขับถ่ายคล่องตัวและง่ายขึ้นกว่าเดิม
3.ช่วยดีท็อกซ์ร่างกาย หลังจากโยเกิร์ตได้เข้าไปกระตุ้นระบบขับถ่ายแล้ว การที่ร่างกายขับถ่ายได้ดีขึ้น ก็เหมือนได้ดีท็อกซ์ลำไส้ไปในตัว ที่สำคัญยังจะส่งผลดีต่อการดูดซึมสารอาหารอีกด้วย ยิ่งกับคนที่มีพุงและรู้สึกอึดอัดท้อง ถ่ายยาก การได้รับโพรไบโอติกส์จากโยเกิร์ตเป็นประจำจะช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายได้ คราวนี้พุงที่เคยป่องและอึดอัดก็จะยุบลง เพียงกินโยเกิร์ตก่อนนอนติดต่อกันอย่างน้อย 1 สัปดาห์เท่านั้น
4.ช่วยควบคุมน้ำหนัก กินโยเกิร์ตก่อนนอนอ้วนไหม หลายคนกังวลตรงจุดนี้ ซึ่งก็ตอบเลยว่า โยเกิร์ตเป็นของว่างก่อนนอนที่ช่วยคลายหิวให้คนชอบกินมื้อดึกได้เป็นอย่างดี เพราะโยเกิร์ตมีโปรตีนซึ่งจะทำให้อิ่มอยู่ท้องแบบสบาย ๆ อีกทั้งโยเกิร์ตยังจัดเป็นอาหารแคลอรีต่ำ เหมาะสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักจะกินแก้หิวยามดึกได้ แต่ทั้งนี้ก็ควรเลือกโยเกิร์ตไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย หรือรสธรรมชาติ รวมไปถึงต้องคุมอาหารในระหว่างวัน ร่วมกับหมั่นออกกำลังกายด้วย
5.เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ระหว่างที่เรานอนหลับร่างกายจะมีกระบวนการเสริมสร้างและฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอ ซึ่งการกินโยเกิร์ตก่อนนอนก็จะช่วยเสริมโปรตีนให้ร่างกายดึงไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะคนที่ออกกำลังกายแบบใช้กล้ามเนื้อหนัก ๆ การกินโยเกิร์ตที่มีโปรตีนก่อนเข้านอนก็จะช่วยฟื้นฟูมวลกล้ามเนื้อที่เสียหาย พร้อมกันนั้นก็ช่วยป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อในระหว่างที่หลับไป ทว่าก็ควรเลือกกินโยเกิร์ตที่มีโปรตีนสูง ๆ อย่างกรีกโยเกิร์ต

ว้าว รู้จักประโยชน์ของโยเกิร์ตกันแล้ว ไปรับประทานโยเกิร์ตกันค่ะ แอดมินขอเป็นรสธรรมชาติละกันคร้า

เคล็ดลับดูแลรูปร่าง ตัวช่วยตอบโจทย์ เดนิมพลัส

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
Posted on

ตังกุย สุดยอดสมุนไพร

ตังกุย

ตังกุย

ตังกุยพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมทั้งในและต่างประเทศอย่างเช่นจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม นับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในประเทศจีน สำหรับเมืองไทยก็เป็นที่รู้จักและนิยมใช้รักษาโรคมาช้านาน

สรรพคุณ มีสารสำคัญต่างๆ น้ำมันหอมระเหยที่ใช้เป็นยาหลายชนิด รวมทั้งสารอาหารอย่างเช่น วิตามินบี เอ วิตามินบี 12 และวิตามินอี

ดังนั้นจึงมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคได้มากมายเรียกว่าสรรพคุณครอบจักรวาลกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะในด้านการรักษาโรคภายในของสตรี

1. บำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ บำรุงตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง

2. บำรุงเลือด ฟอกเลือด ช่วยป้องกันภาวะเลือดจาง ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้ดีขึ้น อีกทั้งยังพบว่าเหง้ามีวิตามินบี 2 ที่ช่วยให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล

3. บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว แก้ปวดศีรษะ แก้วิงเวียน หูอื้อ ใจสั่น

4. ช่วยบำรุงสมอ เพิ่มความจำไม่ให้หลงลืมง่าย และยังเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนจึงช่วยแก้อาการหนาวได้

5. เป็นยาแก้ไข้ แก้ไอ แก้หวัด แก้หืดหอบ ขับเสมหะ

6.ช่วยให้ประจำเดือนมาปกติ ลดอาการปวดประจำเดือนที่เกิดจากการบีบตัวของมดลูก รักษาประจำเดือนที่เป็นลิ่ม ช่วยขับน้ำคาวปลา ช่วยให้มดลูกเข้าอู่ได้ไวขึ้น ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ บรรเทาอาการช่องคลอดแห้งในผู้หญิงวัยทอง ป้องกันการเกิดซีสต์ในรังไข่และมดลูก รวมทั้งเป็นตัวช่วยทดแทนฮอร์โมนเพศหญิง

7. รักษาโรคผิวหนังเพราะสามารถต้านการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้ จึงช่วยรักษาอาการคันผิวหนังได้

8. ช่วยต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด ขยายหลอดเลือด ซึ่งจะมีผลต่อการเต้นของหัวใจ ทำให้ภาวะความดันสูงมีระดับที่เหมาะสมยิ่งขึ้น

9.ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ช่วยบำรุงลำไส้ แก้ท้องผูก ถ่ายเป็นเลือด

10.บรรเทาอากาศอักเสบ ฟกช้ำ อาการปวดจากฝีหนอง บำรุงน้ำเหลือง

11.ใช้ประโยชน์เป็นยาชูกำลัง แก้วิงเวียน ทำให้เลือดลมดี

12.ช่วยทำให้ลำไส้ชุ่มชื้น กระตุ้นการขับถ่าย

13.ยับยั้งการเจริญของเนื้องอกและเซลล์มะเร็ง

  สรรพคุณดีๆ ของ “ตังกุย”กับ“วัยทอง”

เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 12 ทีมีแร่ธาตุและแคลเซียม และวิตามินบี 12 ยังช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และบำรุงประสาทอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีกรดโฟลิก หรือวิตามินบี 9 ตัวช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และช่วยบำรุงประสาท มีทั้งวิตามินบี 12 และกรดโฟลิก ที่ทำงานส่งเสริมกันในเรื่องของการบำรุงเลือด ตจึงเป็นสมุนไพรที่โดดเด่นในด้านการบำรุงเลือดลม เหมาะกับผู้ที่มีอาการเลือดจาง เป็นโรคเลือด หรือผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง เพราะนอกจากจะบำรุงเลือดแล้ว ยังช่วยบำรุงประสาท ทำให้สมองปลอดโปร่ง ช่วยลดความเครียดได้

ได้รู้ถึงสรรพคุณ และประโยชน์ของสมุนไพรอย่าง ตังกุยไปแล้ว ไม่ว่าจะวัยทองหรือวัยธรรมดา รีบหามาทานเพื่อบำรุงเลือด ปรับสมดุล บำรุงร่างกาย กันโดยด่วนนะค่ะ…

ป้องกันย่อมดีกว่ารักษาเสมอ มีประโยชน์เยอะเลยไช่ไหมคะ
วันนี้เรามาบอกต่อ รีนูว่า มีส่วนประกอบของตังกุย ออกแบบมาเพื่อดูแลคุณ เพียงวันละเม็ด ดูแลตัวเอง

RENUVA เรื่องราวเพิ่มเติม คลิกที่นี่

Renuva
Renuva