ป้ายกำกับ: ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก
ทำไมอ้วนลงพุง จึงลดไม่ได้ด้วยการอดอาหาร และออกกำลังกาย
หลายๆคนที่ลงพุง คงเคยตั้งคำถามนี้กับตัวเอง และหมดกำลังใจกับการลดน้ำหนัก เพราะไม่ว่าจะอดอาหารอย่างไร หรือออกกำลังกายวันละหลายชั่วโมง สัปดาห์ละหลายวัน ก็ยังไม่สามารถเอาห่วงยางรอบเอวออกไปได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ..เรามาดูคำตอบของเรื่องนี้กันค่ะ
ร่างกายก็เหมือนกับโรงงาน
มีฮอร์โมนเป็นตัวควบคุมการทำงานของเครื่องจักรให้ทำงานปกติ
กลไกการทำงานภายในร่างกายคนเรา ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็คงคล้ายกับโรงงาน เราต้องการพลังงาน ก็คือการรับประทานอาหาร มีการใช้พลังงาน มีการเผาผลาญอาหารเป็นพลังงาน และใช้หมดไป
เครื่องจักรต้องมีการควบคุมให้ทำงานได้ตามปกติ ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับฮอร์โมน ที่คอยควบคุมการทำงานของกลไกต่างๆของร่างกายให้ทำงานได้เป็นปกติ
ร่างกายที่ทำงานปกติ ก็จะมีการใช้พลังงาน เผาผลาญอาหารเป็นพลังงานตลอดเวลา ก็จะไม่เกิดการสะสมของไขมัน ก็คือ ❝ ไม่อ้วน ❞
แล้วเกิดอะไรกับคนอ้วน ทำไมร่างกายไม่นำพลังงานไปใช้
คนที่อ้วนลงพุง เกิดจากร่างกายไม่ยอมเผาผลาญ หรือเรียกอีกอย่างว่า
” metabolic syndrome “
ซึ่งจำเป็นต้องตรวจเช็คดูว่า เป็นเพราะอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ พบว่าเกิดจากความ*ผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งมีสาเหตุเริ่มต้นมาจากการสะสมของท๊อกซินในเซลล์ไขมัน ( fat cell ) พอสะสมนานๆ อินซูลิน ซึ่งเป็น ฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ทำหน้าที่นำน้ำตาลจากเลือดเข้าไปในเซลล์ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานเริ่มทำงานได้ไม่ดี ไม่สามารถนำเอาน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ น้ำตาลก็เก็บเป็นไขมัน ร่างกายก็ต้องใช้อินซูลินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในการนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน จนเกิดภาวะที่อินซูลินดื้อ ไม่ทำงาน พอถึงตรงนั้นก็*ไม่เผาผลาญน้ำตาลแล้ว *เก็บเป็นไขมันอย่างเดียว
✿ ถ้าร่างกายขาดพลังงาน มันก็จะดึงเอากล้ามเนื้อไปใช้แทน เพราะมันดึงไขมันออกมาไม่ได้ จึงเป็นที่มาของความเหี่ยว ผิวหย่อนคล้อย
จะเห็นได้ว่าขบวนการนำพลังงานไปใช้ในร่างกายมีความสำคัญมาก มีผลต่อสุขภาพ และความเป็นหนุ่มเป็นสาว ถ้าระบบเผาผลาญเราดี ขบวนการใช้พลังงานในร่างกายเราก็จะดี ถ้าร่างกายเราเริ่มเสื่อม เริ่มเฉื่อย ก็จะไม่ใช้พลังงาน แต่เก็บเป็นไขมัน อย่างเดียว
จะพบว่า ในคนส่วนใหญ่เมื่ออายุยังน้อยจะไม่มีปัญหาเรื่องอ้วนลงพุง แต่พออายุเริ่มใกล้ 50 รอบเอวเริ่มหาย เริ่มมีห่วงยางรอบเอว ทำยังไงก็ไม่หาย
ทั้งนี้เพราะเซลล์ในร่างกายเริ่มเสื่อม ฮอร์โมนเริ่มไม่ทำงาน เหมือนเมื่อตอนอายุยังน้อย กลไกการทำงานต่างๆของร่างกายจึงเริ่มผิดปกติ เสียสมดุล และเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆตามมา ไม่เพียงเฉพาะโรคอ้วนเท่านั้น จึงเป็นที่มาว่าถ้ามีอาการอ้วนที่รอบเอว จะมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และโรคหัวใจมากกว่าอ้วนในส่วนอื่นๆ ทั้งนี้ก็เพราะเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานนั่นเอง
ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามปัญหาเรื่องอ้วน ว่าเป็นเพียงเรื่องความสวยความงามเท่านั้น เพราะที่จริงมันคือสัญญาณเตือนโรคร้ายให้กับเรา ที่ต้องหันมาเอาใจใส่ และดูแลตัวเองอย่างจริงจัง
ความอ้วนที่เกิดจากการเสียสมดุลฮอร์โมนเช่นนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการแพทย์ชลอวัย ( Anti Aging )
การรักษาตามหลักการแพทย์ชลอวัย (Anti Aging) เริ่มต้นจากการตรวจเช็คร่างกายเพื่อให้รู้ที่มาของปัญหา และจะได้แก้ไขได้ถูกต้อง มีการปรับสมดุลร่างกาย
ด้วยการกำจัดสารพิษ และปรับสมดุลฮอร์โมนด้วยวิธีธรรมชาติ เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำงานได้ตามปกติ มีการเผาผลาญ นำพลังงานไปใช้ได้ตามปกติ นอกจากนี้ก็อาจจะมีการดูแลเรื่องอาหาร และการออกกำลังกายเพิ่มเติม ตลอดจนการใช้เครื่องมือต่างๆเพื่อช่วยให้เกิดการทำลายเซลล์ไขมัน และเร่งการเผาผลาญให้มากขึ้น ก็จะทำให้เห็นผลได้เร็วขึ้น
จะเห็นได้ว่า อ้วนลงพุง แก้ไขได้ ตามวิธีการที่เล่ามา ดังนั้นอย่าปล่อยให้ห่วงยางอยู่รอบเอวอีกต่อไปเลยค่ะ เพราะไขมันที่รอบเอวมีอันตรายมากกว่าความไม่ดูดีมากมายจริงๆ
7 ผลไม้ ❝ กินอย่างพอดี มีประโยชน์ ❞
7 ผลไม้ ❝ กินอย่างพอดี มีประโยชน์ ❞
กินมาก แคลอรี่ สูง น้ำตาลจากผลไม้ สะสมในรูปไขมัน ด้วยเช่นกันจ้า
ผลไม้ชนิดไหนบ้างที่แคลอรี่สูง กินแล้วอ้วนเว่อร์
ถ้าคิดจะกินผลไม้ดังต่อไปนี้ก็ขอให้ลดขนมหวานกันนิดนึง ไม่อย่างงั้นพุงน้อยๆ ถามหาแน่ๆ ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ ว่ามีผลไม้ตัวไหนบ้าง
1. กล้วย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ กล้วยถือเป็นผลไม้ที่หวานและมีน้ำตาลค่อนข้างสูง สำหรับคนที่เฮลตี้หน่อยมักจะกินกล้วยเพื่อเพิ่มพลังก่อนไปออกกำลังกาย เพราะมันให้พลังงานเร็ว! คล้ายๆ การดื่มพวกเครื่องดื่มชูกำลังเลยค่ะ
แต่ประโยชน์ที่น่าตกใจคือกล้วยสามารถช่วยในเรื่องของการนอนหลับได้ด้วย เพราะมันไปเพิ่มความเข้มข้นของเมลาโทนิน ซึ่งช่วยให้เราผ่อนคลายและหลับสบายขึ้นด้บอกเอา
กล้วยเป็นอาหารที่เอาไว้โหลดก่อนลงสนามสำหรับนักวิ่ง ส่วนมหาลัย University of Sydney ก็บอกเลยว่าค่า GI ในกล้วยไม่ได้ต่ำเลย แสดงว่ากล้วยเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ค่อนข้างเร็วอยู่ค่ะ
2. มะม่วง
มะม่วงดิบนี่ยังไม่ค่อยอ้วนเท่าไร พอกินได้อยู่นะคะ แต่ลูกนึงน้ำหนักไม่ใช่น้อยๆ เลย กินได้แค่ครึ่งลูกนะคะ ถ้ากินเต็มลูกแคลอรี่นี่คูณสองเลย
ประโยชน์ของมะม่วงดิบ คือ มีวิตามินซีสูง ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ อีกทั้งยังมีวิตามินเอ ช่วยบำรุงและรักษาสายตาด้วย
แต่ถ้าเป็นมะม่วงสุกนี่แคลอรี่เท่านึงของมะม่วงดิบเลยค่ะ ทำไมของอร่อยมันช่างทำร้ายกันขนาดนี้ แนะนำกินแค่ครึ่งลูกเหมือนกันนะคะ เพราะถ้ากินเต็มลูกประกบกับข้าวเหนียวเค้าไป
กินอย่างพอดีพอเหมาะนะคะ เดี๋ยวพุงน้อยๆ ถามหาประโยชน์ของมะม่วงสุก มีส่วนช่วยในการขับถ่าย มีฤทธิ์เป็นยาระบายด้วย
3. มังคุด
ดูจากแคลอรี่ไม่ได้อ้วนมากเท่าไร แต่อย่าลืมว่ามังคุดหนักนะคะ เพราะฉะนั้นถ้ากินเยอะแคลอรี่ก็พุ่งไปไกลมิใช่น้อย ปริมาณที่แนะนำคือขนาดเล็ก 2 ลูก (น้อยมาก….ร้องไห้หนักมาก)
ประโยชน์ของมังคุดนี่ดีมากค่ะ เพราะช่วยลดตีนกา รักษาสิว บำรุงผิว แถมยังแก้โรคเครียดได้ด้วยนะ
4. เงาะ
ผลไม้อะไรก็ไม่รู้มีขน นั่นก็คือเงาะนั่นเองค่ะ!! บอกก่อนว่ากินได้ไม่เยอะ เพราะเงาะแคลอรี่สูงกว่ามังคุดค่ะ ยังดีที่เงาะลูกเล็กกว่า ก็เลยกินได้ประมาณ 5 ลูก กินมากกว่านี้ก็คูณกันเองนะคะสาวๆประโยชน์ของเงาะ คือ ช่วยบำรุงผิว รักษาการอักเสบในช่องปาก แก้ท้องร่วง
5. ลองกอง
อีกหนึ่งผลไม้โปรดของใครหลายๆ คน ที่ยิ่งกินก็ยิ่งเพลิน เพราะมันทั้งหวานและนุ่ม แกะกินง่ายกว่าเงาะเยอะเลยค่ะ ฉะนั้นอย่าเพลินนะคะ เพราะกินได้แค่ประมาณ 8 เม็ดเท่านั้นเองค่ะ!!
จะผอมนี่มันยากเหลือเกินประโยชน์ของลองกอง คือ ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ตัวร้อน และลดอาการร้อนในในช่องปาก ส่วนเมล็ดของมันรักษาอาการท้องเสียได้ด้วย
6. ลิ้นจี่
อันนี้หวานกว่าลองกองซะอีก แถมยังหนักกว่าด้วย เพราะลิ้นจี่มีน้ำเยอะกว่าก็เลยหนักกว่าค่ะ กินได้แค่ 4 ลูกเท่านั้นเอง น้อยนิดเหลือเกินแต่ถ้าจะบอกว่ากินเพื่อเอาประโยชน์แล้วล่ะก็ สาวๆ มาถูกทางแล้ว เพราะลิ้นจี่ช่วยต้านและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม
คุณผู้หญิงควรทานแล้วล่ะค่ะ แถมยังช่วยให้ระบบทางเดินอาหารให้เป็นปกติ และยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้ด้วยค่ะ เยอะจริงๆ
7. ทุเรียน
ผลไม้ขึ้นชื่ออีกหนึ่งตัว ที่นอกจากจะแพงแล้วแคลอรี่ยังแรงอีกด้วยค่ะ ปริมาณเท่าในรูป 2 เม็ดให้แคลอรี่ถึง 147 แคลอรี่!! สาวๆ กินกันกี่เม็ดคะ สารภาพมาเดี๋ยวนี้นะแต่สิ่งนึงที่น่าตกใจคือ ทุเรียนเป็นไขมันชนิดดี ถึงจะแคลอรี่สูงแต่การกินไขมันดีจะช่วยลดไขมันไม่ดีตัวเก่าๆ ออกไปได้ อีกอย่าง
ในทุเรียนมีสารโพลีฟีนอล (Pholyphenols) ซึ่งเป็นตัวช่วยลดไขมัน ไม่แปลกนะคะ เพราะอาหารประเภทไขมันกินแล้วช่วยลดไขมันได้จริงๆ ค่ะ ตอนนี้ ก็ไดเอทด้วยวิธีการกินไขมันเพื่อลดไขมันอยู่
เพียงแต่เจ้าทุเรียนเนี่ยมันมี “คาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาล”
ด้วย มันเลยสยอง 2 เด้ง คือมีทั้งไขมันและน้ำตาล อย่างงี้ไม่ผอมแน่นอนค่ะ กินพอประมาณดีกว่า อย่าเห็นแค่สารโพลีฟีนอลอันน้อยนิดเลยค่ะสาวๆ 5555
ขอบคุณข้อมูลจาก ญาดา
อานิสงส์ 9ข้อ ใส่บาตรตอนเช้า
อานิสงส์ 9ข้อ ใส่บาตรตอนเช้า เจริญรุ่งเรือง ร่มเย็น เป็นสุข สดชื่น สมหวัง
1. การใส่บาตร อานิสงส์ที่ได้ เป็นที่รัก ขอบผู้คน มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
ตายไป ย่อมเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์
2. การใส่บาตร ทำให้จิตใจ ยึดเหนี่ยวระลึก ในความดี
3.เป็นการสร้างสังคมให้มีความสุข ความร่มเย็น
4.เสริมศิริมงคล ต่อบุญ โชคลาภ วาสนา
5. เพื่อเป็นการอุทิศแผ่บุญส่วนกุศล ถึงบุคคลอันเป็นที่รัก ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้มีคุณ
6. เป็นการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงาม
อันเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติ ที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน
7. เป็นแบบอย่างของคุณงามความดีจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อเป็นแบบอย่างให้ลูกหลาน ในการทำความดีสืบต่อไป
8.เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เพราะพระสงฆ์สามเณรต้องอยู่ด้วยการบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ถ้าไม่มีใครใส่บาตร ก็ไม่มีอาหาร เมื่อไม่มีอาหารย่อมไม่อาจดำรงชีพอยู่ได้ แล้วพุทธศาสนาก็อาจจะสิ้นสุดลงในยุคปัจจุบัน
9.การใส่บาตรเป็นการสร้างความปรองดองให้กับชาวพุทธ เป็นการหยุดวิกฤตความศรัทธา เพราะถ้าชาวพุทธทุกบ้านพร้อมเพรียงกันใส่บาตร จะเกิดเป็นพลังแห่งความสามัคคีขึ้น ซึ่งพลังนี้จะช่วยสร้างสรรค์สังคมให้เกิดความสงบสุข ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความสามัคคีของหมู่คณะ ย่อมทำให้เกิดสุข” ทำให้ชาวพุทธมีความเข้มแข็ง และสามารถจะสร้างกรอบอันดีงามให้แก่ภิกษุสามเณรทั้งหลายไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางได้
ประโยชน์ 9 ประการของการใส่บาตรนี้ นับเป็นคุณอนันต์ เป็นลาภมหันต์ของชาวพุทธ ที่สามารถสร้างเสริมใส่ตัวได้ทุกวัน …
เราชาวพุทธ หมั่นสะสมบุญ สร้างบารมี ไว้เป็นเสบียงบุญ สู่ภพชาติต่อๆไป กัน นะคะ
789beauty.com
ไขความลับ! 5อ.ชะลอวัย
วัยทำงานมักต้องเจอปัญหาความเครียด อาการไม่สดชื่น หงุดหงิดง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย นอนไม่ค่อยหลับ อ้วนง่าย เหล่านี้เป็นปัญหาที่พบเห็นได้บ่อยๆ ของชาวออฟฟิศและคนเมืองเลยทีเดียว
อยู่แบบ 5 อ.ช่วยชะลอวัยได้
เมื่อไปพบแพทย์ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นโรคอะไร แต่สำหรับทางการแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยหรือ Anti – Aging Medicine
เรียกอาการเหล่านี้ว่าร่างกายเริ่มเกิดความเสื่อม เมื่อร่างกายเริ่มเสื่อมอวัยวะต่างๆ ก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ อาการหรือโรคที่เกิดจากความเสื่อมก็จะตามมา เช่น โรคมะเร็งต่างๆ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคต้อกระจก โรคระบบประสาทเสื่อม โรคกระดูกพรุน เป็นต้น
แล้วเราจะสามารถชะลอความเสื่อมของร่างกายได้หรือไม่ และมีวิธีไหนบ้าง พญ.กฤดากร เกษรคำ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านชะลอวัย จาก AddLife Anti-Aging Center ไลฟ์เซ็นเตอร์ คิวเฮ้าส์ ลุมพินี กล่าวว่า ภาวะเสื่อมของร่างกายเกิดขึ้นได้เมื่อเราอายุมากขึ้น โดยเฉลี่ยจะเริ่มเกิดความเสื่อมของร่างกายเมื่ออายุ 30 ปี แต่ในปัจจุบันสภาพแวดล้อม อาหาร อากาศ และมลภาวะที่เป็นพิษทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมเร็วขึ้น
การแพทย์เฉพาะทางด้านชะลอวัย จึงเข้ามาช่วยรักษาหรือแก้ไข โดยจะมุ่งเน้นที่การป้องกันโรค การฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงการรักษาสุขภาพก่อนที่จะเกิดโรค ทั้งการใช้สารอาหาร แร่ธาตุ ฮอร์โมนต่างๆ มาช่วยทำให้ร่างกายชะลอความเสื่อมให้ช้าลง สำหรับผู้ที่อยากชะลอความเสื่อมของร่างกาย เพื่อช่วยชะลอวัยให้ดูเด็กลง สามารถทำได้ง่ายๆ คือ ให้อยู่แบบ 5 อ.
อากาศ : อยู่ในที่ๆ มีอากาศบริสุทธิ์ หลีกเลี่ยงมลภาวะเป็นพิษต่างๆ ทั้งรังสี UVA และ UVB ในแสงแดด ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ที่ช่วยเร่งความเสื่อมของร่างกาย หาเวลาไปพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์นอกเมืองแล้วคุณจะรู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่งขึ้น
อาหาร : ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เปลี่ยนกลุ่มอาหารให้หลากหลาย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแป้ง และไขมันสูง อาหารที่มีสารปนเปื้อน ถ้าเป็นไปได้ควรทำอาหารทานเองบ้าง
ออกกำลังกาย : การออกกำลังช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีและแลดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย แต่คนเรามักจะบอกว่าไม่มีเวลา ควรจัดสรรเวลาให้ออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 150 นาที และการออกกำลังที่ดีควรมีการผสมผสานให้หลากหลาย เช่น แอโรบิค วิ่ง ว่ายน้ำ จ๊อกกิ่ง ช่วยกระตุ้นเลือดลม ทำให้หัวใจแข็งแรง โยคะ ช่วยให้ข้อต่อมีการยืดหยุ่นที่ดี การยกเวท จะช่วยเรื่องมวลกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ป้องกันกระดูกบาง เป็นต้น
อารมณ์ : หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส เป็นคำที่ใช้ได้กับทุกๆ สมัย คนเราสมัยนี้มักมีความเครียด การคิดบวก ปรับวิธีคิดหามุมบวก นั่งสมาธิ จะช่วยคลื่นในสมองได้หลับสนิท ลองหาเวลานั่งสมาธิวันละ 5นาที
แอนไท-เอจจิ้ง : การแพทย์แนวรุกมุ่งเน้นการฟื้นฟูรักษาภาวะเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เพราะแม้ว่าเราจะทำครบ 4 อ. ข้างต้น แต่เมื่อร่างกายเสื่อมถึงจุดหนึ่ง มีอาการ “แก่” เกิดขึ้นแล้ว เราจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้การรักษาและชะลอไม่ให้สุขภาพเสื่อมถอย แต่ฟื้นฟูให้แข็งแรงขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข
วิธีง่ายๆ ที่คุณก็สามารถดูแลสุขภาพตนเองให้ดูอ่อนวัยห่างไกลโรคได้ เริ่มปฏิบัติวันนี้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวน่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก healthy
สุดยี้…5 นิสัย หัวไม่ไบรท์ ทำสมองพัง
สุดยี้…5 นิสัย หัวไม่ไบรท์ ทำสมองพัง
เคยสงสัยกันไหม ว่าในบางเวลาเราพยายามจะคิดอะไรสักอย่าง แต่ทำยังไงหัวก็ไม่แล่น คิดไม่ออก บางคนก็นอยด์ เกิดอาการเครียดกันไป ต่าง ๆ นานา จริง ๆ แล้วมันมีสาเหตุ ที่ทำให้เราหัวไม่แล่น สมองไม่ทำงาน จะมีอะไรกันบ้าง เราจะมาเผย 5 นิสัย ให้ทุกคนได้รู้กัน… สมองของคนเราเป็นส่วนที่สำคัญมาก เรียกได้ว่าเป็นจุดรวมเส้นประสาทของร่างกาย ถ้าสมองไม่ทำงานทุกอย่างก็จบ เพราะสมองต้องเข้าไปควบคุมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้น แอดมินอยากขอเตือนให้ทุกท่านรับมือกับ 5 นิสัย ที่จะทำลายสมองของเราได้ จะมีอะไรกันบ้างไปชมกัน…
5 นิสัย ทำสมองพัง…!!
1. ไม่ทานอาหารเช้า – หัวไม่แล่น พาสมองฝ่อ การไม่ทานอาหารเช้านั้น จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองเพียงพอ อาจจะมีผลตามมาหลายอย่าง รวมไปถึงเกี่ยวกับด้านสมองของคนเราอีกด้วย อาจจะทำให้สมองของเราเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์ได้ง่าย ๆ หลาย ๆ คน อาจจะคิดว่าการที่ เราไม่ทานอาหารเช้านั้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร มากมาย “ก็ฉันไม่มีเวลา ! ฉันกินไม่ทัน ต้องรีบไปทำงาน” จริง ๆ สิ่งเหล่านี้ มักเป็นข้ออ้างของคนเรา การรับประทานอาหารเช้าไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากขนาดนั้น แค่ 10 นาที ก็เพียงพอแล้ว หรือใครจะพกแซนด์วิช ขนม นม เนย ไปกินระหว่างเดินทางก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย การไม่ทานอาหารเช้านั้น นอกจากจะทำให้สมองพังแล้ว ทำให้เรียนเรียนรู้เรื่องใหม่ได้ช้า ไม่มีสมาธิ นอกจากนี้ ยังมีผลตามมาอีกหลาย ๆ อย่างด้วยกัน เช่น เสี่ยงเป็นโรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด เห็นไหมว่าอาหารเช้าสำคัญขนาดไหน ถ้าคุณไม่อยากสมองพัง หัวไม่แล่น คิดอะไรไม่ออก ทุกคนควรเริ่มต้นในวันใหม่ของคุณได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นจริง ๆ
2. ขาดการใช้ความคิด – ไม่ครีเอต คิดไม่เป็น สมองไม่ทำงาน คนสมัยนี้มักขาดการใช้ความคิด อาจจะเป็นเพราะข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันนั้นมีเยอะมากมายอยู่แล้ว แค่กดเสิร์ชอินเทอร์เน็ตก็เจอ จะคิดทำไมให้ปวดหัว ! นอกจากนี้ ในการเรียนการสอนก็มักจะเน้นในเรื่องการให้ความรู้ให้ข้อมูล แต่ไม่ได้ฝึกทักษะการใช้ความคิด การสร้างสรรค์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ รวมไปถึงการเป็นคนไม่ค่อยพูด ทำให้ไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้ากับอะไร ทักษะการพูดนี่แหละที่จะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมองของเราได้
3. มลพิษ – อากาศเป็นพิษ ออกซิเจนลด เลี้ยงสมองไม่พอ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เพราะสมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลพิษเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองลดปริมาณลง เมื่อออกซิเจนลดลงทำให้ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองของเราคิดอะไรไม่ค่อยได้
4. สูบบุหรี่ – ขี้หลงขี้ลืม ภาวะสมองเสื่อม คร่าชีวิต การสุบบุหรี่ ไม่ได้มีผลดีอะไรเลย โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพร่างกาย ทำให้เป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองฝ่อ และโรคอัลไซเมอร์ ก็ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทำไมหลาย ๆ คนยังสูบได้สูบดี สูบคนเดียวไม่พอ ยังเผื่อแผ่มาถึงคนข้าง ๆ พวกเขาจะรู้ไหม ว่าการสูบบุหรี่ทำให้เป็นโรคสมองเสื่อมได้ง่าย ๆ และเมื่อเวลาล่วงเลยไปเข้าสู่วัยของผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ที่จะเกิดขึ้นมาได้อย่างร้ายแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้กลาย เป็นคนที่ขี้หลงขี้ลืมได้ เพราะควันที่มาจากการสูบบุหรี่นั้น จะทำลายสมองของเราได้อย่างง่ายดาย แถมยังก่อให้เกิดมะเร็งขึ้นมาได้ ซึ่งเป็น
อันตรายต่อร่างกายของเราที่สามารถเข้ามาทำร้ายสมองให้มีการทำงานที่ช้ามากกว่าเดิม การสูบบุหรี่ เกินกว่าวันละ 20 ม้วน ถือว่าเป็นการสุบบุหรี่จัด จะมีส่วนที่ ทำให้ความจำและเรื่องของสายตาเสื่อมลงไปได้ทีละน้อย
5. อดหลับอดนอน – ร่างกายพัง ทำเซลล์สมองตาย ข้อนี้หลาย ๆ คนคงเป็นกันเยอะ ทำบ่อยจนเป็นนิสัย สาเหตุที่อดหลับอดนอน คงหนีไม่พ้นการทำกิจกรรมต่าง ๆ เล่นเกมอยู่ในโลกโซเชียลฯ ดูซีรีย์ รวมไปถึงทำงานหนักหามรุ่ง หามค่ำ ของคนบ้างาน การนอนหลับสำคัญมาก จะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตาย นอกจากนี้แล้ว ไม่ควรนอนคลุมโปง การนอนคลุมโปงจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองเช่นกัน
ทั้งนี้ 5 นิสัย ที่ได้กล่าวมาในข้างต้นนั้น หลาย ๆ คน คงรู้แล้วว่าสมองของคนเราสำคัญมากแค่ไหน ถ้าชีวิตของเราขาดสมองไปจะเป็นอย่างไร สมองก็เหมือนอวัยวะอื่นที่สำคัญของร่างกาย ดังนั้น เราจึงต้องมีรู้จักบำรุงสมองของเราอยู่เสมอ.
#ไทยรัฐออนไลน์
10 ประโยชน์ของการดื่มน้ำอุ่น
ต่อไปนี้คือประโยชน์ 10 ประการที่ร่างกายจะได้รับจากการดื่มน้ำอุ่น
1. ช่วยย่อยอาหาร
เพื่อปรับปรุงการย่อยให้ดีขึ้น ลองดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำ น้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมย่อมอาหารทำงานได้อย่างถูกต้อง ช่วยจัดการกับอาหารในกระเพาะ ดังนั้นระบบย่อยก็จะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ทั้งยังใช้พลังงานในกระบวนการย่อยน้อยลงด้วย
นอกจากนี้การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยกำจัดกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาความเป็นกลางของน้ำย่อยไว้นั่นเอง
จากการศึกษาในปี 2012 ที่ตีพิมพ์ในวารสารระบบประสาททางเดินอาหารและการเคลื่อนไหว ได้รายงานว่าการดื่มน้ำอุ่นสามารถบรรเทาอาการให้กับผู้ที่มีภาวะหลอดอาหารเคลื่อนไหวผิดปกติได้ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการกลืนยาก สำลักอาหารและเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อกระตุก ผู้ที่มีความทุกข์ทรมานจากระบบย่อยอ่อนแอก็ควรดื่มน้ำอุ่นเป็นแก้วแรกเมื่อตื่นนอนด้วย
2. บรรเทาอาการท้องผูก
การดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำในขณะที่ท้องว่างยังช่วยควบคุมการเคลื่อนตัวของลำไส้ และช่วยต่อสู้กับอาการท้องผูกได้
อาการท้องผูกเกิดขึ้นเนื่องจากมีน้ำในลำไส้น้อยเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้อุจจาระแข็งและแห้ง จึงถ่ายออกมาได้ยาก การดื่มน้ำอุ่นจึงช่วยบรรเทาอาการท้องผูกอย่างได้ผล
การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยย่อยสลายอาหารที่เหลืออยู่ให้หมดไป ทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยลดอาการท้องอืด อาการปวดท้องอันเนื่องมากจากอาการท้องผูกได้
เพื่อต่อสู้กับอาการท้องผูก ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน 1 แก้วทุกเช้าในเวลาท้องว่าง ลองหยดน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวลงไปในน้ำอุ่น ยิ่งช่วยเพิ่มประโยชน์ต่อลำไส้ได้มากขึ้นไปอีก
3. บรรเทาอาการเจ็บคอ
. บรรเทาอาการเจ็บคออาการเจ็บคอ เป็นอาการที่พบได้บ่อยเวลาลำคอเกิดการระคายเคืองหรือติดเชื้อ อันเกิดจากโรคหวัด หรือไข้หวัดใหญ่ การดื่มน้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและช่วยให้รู้สึกสบายคอมากขึ้น อีกทั้งน้ำอุ่นยังช่วยละลายเสมหะที่ข้นเหนียว และขจัดออกมาจากทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น
นอกเหนือจากการดื่มน้ำอุ่นเปล่าๆ คุณยังเปลี่ยนไปดื่มชาสมุนไพรแทนได้ อีกทั้งยังควรกลั้วปากด้วยน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว ผสมเกลือครึ่งช้อนชา เพื่อช่วยให้อาการเจ็บคอดีขึ้นและลดการติดเชื้อในลำคอได้ด้วย
4. ช่วยรักษาอาการคัดจมูก
การดื่มน้ำอุ่นเป็นอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรักษาอาการคัดจมูก น้ำอุ่นช่วยทำความสะอาดโพรงจมูกทำให้รู้สึกโล่งขึ้น หายใจได้สะดวกไม่อึดอัด
เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่นๆ เข้าไป มันจะช่วยให้เสมะหรือน้ำมูกที่ข้นเหนียวอยู่ละลายแล้วขับออกทั้งจากในโพรงจมูกและทางเดินหายใจ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ นอกจากนี้ยังช่วยล้างพิษออกจากร่างกาย ทำให้หายป่วยได้เร็วขึ้นไปด้วย
5. ช่วยขจัดน้ำหนักส่วนเกิน
ผู้ที่กำลังควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดและออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ควรดื่มน้ำอุ่นมากกว่าน้ำเย็น การลดน้ำหนักจึงจะได้ผลดีกว่า
น้ำอุ่นช่วยเพิ่มอุณหภูมิบริเวณกลางลำตัวให้สูงขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหาร ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นไปอีก
การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยลดไขมันในร่างกายลงได้ และเพื่อเพิ่มประโยชน์มากขึ้น ให้ลองดื่มน้ำอุ่นกับน้ำมะนาวสักเล็กน้อยทุกวันในตอนเช้า มันจะช่วยลดเนื้อเยื่อไขมันหรือไขมันในร่างกาย นอกจากนี้เส้นใยเพคตินในมะนาวยังช่วยควบคุมความอยากอาหาร ทำให้คุณกินอาหารมันๆ หรือไม่ดีต่อสุขภาพได้น้อยลงไปด้วย
6. ช่วยล้างพิษในร่างกาย
การดื่มน้ำอุ่นสามารถชำระชะล้างสารพิษในร่างกายออกไปได้ เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น 2-3 ถ้วย มันจะช่วยให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น ช่วยให้เหงื่อออกจึงรู้สึกเย็นลง ซึ่งเหงื่อที่ไหลออกมานี่ช่วยชะล้างสารพิษออกมาจากร่างกายนั่นเอง
การดื่มน้ำอุ่นทุกวันยังช่วยล้างพิษออกจากผิวพรรณได้ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคผิวหนังชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สิวผื่น สิวเสี้ยน การดื่มน้ำโดยทั่วไปแล้วยังเหมาะสำหรับการล้างพิษและชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปจากร่างกาย ลองบีบน้ำมะนาวลงไปผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อยก่อนดื่ม จะช่วยให้ได้ผลดีขึ้นไปอีก
7. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน
แม้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลก แต่การดื่มน้ำอุ่นช่วยป้องกันและลดอาการปวดประจำเดือนได้ เพราะน้ำอุ่นช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูกที่กำลังหดตัว บรรเทาอาการเกร็งและกระตุกตัวของมดลูกได้ดี
นอกจากนี้ยังหยุดการเก็บกักน้ำ ป้องกันอาการเจ็บปวดในช่วงกำลังมีรอบเดือน ในครั้งต่อไปที่คุณเริ่มมีอาการปวดประจำเดือน ดื่มน้ำอุ่นสักแก้วช่วยบรรเทาอาการแล้วนำเอากระเป๋าน้ำร้อนวางประคบบริเวณท้องน้อย ก็จะยิ่งช่วยให้อาการปวดดีขึ้นด้วย
8. ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต
การดื่มน้ำอุ่นช่วยปรับการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น ซึ่งสำคัญเพราะช่วยให้เลือดนำส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไหลผ่านไปสู่เนื้อเยื่อและอวัยวะทั่วร่างกาย การไหลเวียนโลหิตที่เหมาะสมสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายจะเผาผลาญ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตในร่างกายและยังล้างพิษที่เป็นอันตรายออกไปได้ โปรดหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นมากเกินไป เพราะอาจทำให้หลอดเลือดดำอุดตันได้
9. ช่วยให้แก่ช้าลง
การดื่มน้ำอุ่นดีต่อผิวพรรณอีกด้วยนะ เพราะมันช่วยกำจัดสารพิษต่างๆ ออกไปจากร่างกาย ซึ่งสารพิษเหล่านี้เป็นต้นเหตุของริ้วรอยก่อนวัยและปัญหาสุขภาพต่างๆ
การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว ทั้งยังช่วยฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณของคุณ ลองดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมน้ำมะนาวลงไปสักครึ่งลูก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการล้างพิษได้
10. ช่วยกระตุ้นการนอนหลับ
หากคุณมีปัญหาการนอนหลับ ลองจิบน้ำอุ่นสักแก้วก่อนนอน จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น น้ำอุ่นๆ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ทำให้รู้สึกสบายขึ้น ช่วยระงับประสาท ทำให้ง่วงและสงบลงได้
นอกจากนี้ยังช่วยลดความอยากอาหารกลางดึกและทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อตื่นตอนเช้า
ข้อแนะนำในการดื่มน้ำอุ่น
ควรดื่มน้ำอุ่นเสมอ ไม่ควรร้อนจนเกินไป เพราะการดื่มน้ำร้อนอาจเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อในปากและหลอดอาหารได้
หลังจากน้ำเดือดแล้ว ปล่อยให้เย็นลงสักครู่จึงค่อยดื่ม
ดื่มน้ำอุ่นเสมอหลังจากทานอาหาร หากคุณดื่มน้ำเย็น ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ ทำให้ประสิทธิภาพการย่อยอาหารลดลง
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอุ่นหลังการออกกำลังกาย เพราะในขณะนั้นร่างกายมีอุณหภูมิสูงมากอยู่แล้ว
10 เทคนิค กินยังไงไม่ให้อ้วน
4สี 4ระยะ กล้วยน้ำว้าประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างไร?
4สี 4ระยะ กล้วยน้ำว้าประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างไร วันนี้เรามีข้อมูลมาบอกกันค่ะ
กล้วยน้ำว้า เชื่อว่าเป็นผลไม้ที่หลายๆบ้านต้องมีติดครัวไว้เสมอ เอาไว้รับประทานรองท้องหรือรับประทานเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก กล้วยน้ำว้ามีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 10 ชนิด เช่น โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินบี12 วิตามินซี ธาตุเหล็ก ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เป็นต้น อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่สนับสนุนว่ากล้วยมีน้ำตาลจากธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส กลูโคส และ ฟรุคโทส ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกาย จึงทำให้การรับประทานกล้วยเพียงวันละ 2 ลูก สามารถเพิ่มพลังงานในร่างกายเท่ากับการออกกำลังกาย 90 นาทีกันเลยทีเดียว
นอกจากประโยชน์โดยรวมของกล้วยแล้ว กล้วยยังมีประโยชน์และสรรพคุณที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสีอีกด้วยนะคะ
สีเขียวเข้ม (กล้วยดิบ)
เป็นกล้วยที่มีเปลือกสีเขียวค่อยข้างเข้มหรือกล้วยดิบนั้นเอง มีสรรพคุณช่วยแก้โรคกระเพาะ เพราะในกล้วยดิบมีสารที่ให้ความฝาด เรียกว่า แทนนิน (Tannin) เป็นกรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ในการเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ แต่กล้วยดิบนั้นไม่สามารถนำมารับประทานได้ทันที ต้องนำผลดิบไปบดเป็นผง แล้วนำมารับประทาน ครั้งละ 1 ช้อนชา 3 ครั้งก่อนอาหาร ซึ่งสามารถเพิ่มความอร่อยด้วยการผสมกับน้ำผึ้งก็ได้ค่ะ
สีเขียวอ่อน (กล้วยห่าม)
อาจเรียกได้ว่าเป็นกล้วยกึ่งสุกกึ่งดิบ เปลือกมีสีเขียวอมเหลือง สามารถนำมารับประทานได้ทันที ซึ่งกล้วยห่ามจะมีโพแทสเซียมสูง ที่มีสรรพคุณช่วยชดเชยโพแทสเซียมให้แก่ร่างกายและแก้โรคท้องเสียได้เป็นอย่างดี แล้วยังช่วยเพิ่มกากใยที่ช่วยในการขับถ่าย และเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วยเช่นกัน
สีเหลืองนวล (กล้วยสุก)
เป็นกล้วยที่มีสีเหลืองสดพร้อมรับประทาน มีสารเพ็กติน (Pectin) ที่เป็นเส้นใย ช่วยเพิ่มกากอาหารหรือพรีไบโอติก (Prebiotic) ตามธรรมชาติ ทำให้สามารถขับถ่ายได้ดี ถือว่าเป็นยาระบายอ่อนๆอย่างดีกับคนที่มีอาการท้องผูก ซึ่งในคนที่มีอาการท้องผูกมากๆควรรับประทานวันละ 5 – 6 ลูก นะคะ เพื่อให้ได้ผลดีกับระบบขับถ่ายค่ะ
สีเหลืองเข้ม (กล้วยงอม)
เป็นกล้วยสีเหลืองเข้มคล้ำๆ เนื้อกล้วยจะค่อยข้างเละ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรับประทาน แต่ในทางกลับกันกล้วยงอมกลับมีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ทำให้มีปริมาณเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีสาร Tumor Necrosis Factor (TNF) ที่ช่วยป้องกันจากเซลล์ที่ผิดปกติ โดยเฉพาะกล้วยที่มีจุดดำมากเท่าไหร่ยิ่งดี คุณสามารถเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโรคหวัดได้ด้วยการรับประทานกล้วยน้ำว้าวันละ 1-2 ลูก เพื่อสุขภาพที่ดีได้ค่ะ
เมื่อรู้ถึงประโยชน์ของกล้วยที่มีมากมายขนาดนี้แล้ว ลองเลือกรับประทานกล้วยให้ตรงกับความต้องการของร่างกายคุณดูนะคะ ตามด้วยมื้ออาหารเมนูอร่อยของคุณกับข้าวสวยไรซ์เบอร์รี่ร้อนๆสักจาน รับรองหมดกังวลเรื่องระบบขับถ่าย หุ่นสวย สุขภาพดีได้แน่นอนค่ะ
❝ ตำป่า ❞ ประโยชน์มากมาย จากวัตถุดิบ ไทยๆ
ตำป่า คือส้มตำที่ใส่สารพัดที่คิดว่าใส่ลงไปแล้วเข้ากัน เหมือนส้มตำปูปลาร้าทุกอย่าง แต่แค่เพิ่มหอย ขนมจีน เมล็ดกระถิน หรือผักที่ชอบ ใส่ผักได้หลายชนิด ตำป่าดังมาจากจังหวัดมหาสารคาม เรียกติดปากว่า “ตำป่าสารคาม” นั่นเองค่ะ
ส่วนผสม
* กระเทียม 5-4 กลีบ
* พริกแดง ตามชอบ
* พริกแห้ง ตามชอบ
* มะอึก 1 ลูก
* มะกอก 1 ลูก
* บักเขือเครือ 2 ลูก
* มะเขือเทศ 2 ลูก
* น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
* ปูนานึ่ง 3 ตัว
* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำปลาร้า 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
* มะละกอสับ 150 กรัม
* หอยขมลวก
* เมล็ดกระถิน
* ขนมจีน 50 กรัม
วิธีทำ
1. ตำกระเทียม พริกแดง และพริกแห้งให้แหลก จากนั้นก็ใส่ มะอึก มะเขือเครือ และมะเขือเทศ ตำจนน้ำในมะเขือออกมา
2. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำปลาร้า และน้ำตาลปี๊บ แกะปูนาลงไป คลุกให้เข้ากัน
3. ใส่เส้นมะละกอสับลงไป ตำจนเครื่องปรุงซึมเข้ามะละกอ จากนั้นก็ใส่หอยขม เมล็ดกระถิ่น และขนมจีน คลุกเคล้าให้เข้ากัน เสร็จแล้วก็ใส่จานเสิร์ฟได้เลยค่ะ
กินอะไรก็อร่อย ไม่กลัวอ้วนหรอก