ป้ายกำกับ: ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก
15 สรรพคุณ…ประโยชน์ของทุเรียน กินพอดีได้ประโยชน์ กินมากได้โทษ
หากเอ่ยชื่อ “ราชาผลไม้ไทย” คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ทุเรียน”(Durian) ผลไม้ที่มีเปลือกเป็นหนาม เนื้อสีเหลืองทองกับรสชาติเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกับผลไม้ใดๆ ในโลก อีกทั้งกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ บางคนก็ว่าเหม็น บางคนก็ว่าหอม อีกทั้งในช่วงฤดูกาลของทุเรียน ราชาผลไม้เนื้อแน่นรสหวานมันก็จะมีราคาสูงขึ้นไปตามพันธุ์ และขนาดของมัน เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ทุเรียน” หากกินในปริมาณที่มากเกินไปก็จะให้โทษแก่ร่างกายได้ เพราะเป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และทำให้ตัวร้อน แต่จริงๆ แล้วทุเรียนมีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่นๆ อย่างที่หลายคนอาจไม่เคยรู้
15 สรรพคุณของทุเรียน…ประโยชน์ที่ใครหลายคนอาจยังไม่รู้
1. ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง
2. เนื้อทุเรียนช่วยฆ่าเชื้อโรคในร่างกายได้ เพราะกำมะถันในเนื้อทุเรียนจะทำหน้าที่เสมือนยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ
3. ประโยชน์ของทุเรียนช่วยเผาผลาญ ทุเรียนเป็นผลไม้ที่กินแล้วทำให้ร่างกายเกิดความร้อน จึงเป็นผลไม้ที่ช่วยเผาผลาญได้
4. ทุเรียนมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ เนื้อทุเรียนมีกากใยอาหารสูงมากๆ ดีต่อระบบขับถ่าย กินแล้วช่วยระบายท้องได้ดี
5. ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง หากกินแต่พอดีก็จะได้รับไขมันดีที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย
6. ทุเรียนมีฟอสฟอรัส ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
7. ทุเรียนมีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะทุเรียนพันธุ์หมอนทอง มีใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าทุเรียนพันธุ์อื่นๆ
8. ทุเรียนพันธุ์หมอนทองช่วยลดไขมันเลวในร่างกายได้
9. เนื้อทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง ช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่แข็งแรง
10. เนื้อทุเรียนดิบมีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
11. ทุเรียนมีประโยชน์ ลดผมขาว ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีวิตามินบี 9 สูง ช่วยชะลอการเกิดผมหงอก ผมขาวได้
12. ทุเรียนมีสรรพคุณแก้ท้องเสีย รากทุเรียนเป็นยาตำรับโบราณ ใช้แก้ท้องร่วง ท้องเสียได้
13. ใบทุเรียนเป็นสมุนไพรใช้ขับพยาธิ
14. เปลือกทุเรียนช่วยเยียวยาแผลเปื่อย แผลพุพองได้
15. ประโยชน์ของทุเรียนบำรุงผิว เนื้อและเปลือกของทุเรียนสามารถแก้โรคผิวหนัง และทำให้สีผิวเสมอกัน
นอกจากสรรพคุณและประโยชน์ของทุเรียนทั้ง 15 ข้อนี้แล้วทุเรียนยังได้ชื่อว่าเป็นผลไม้แห่งความอุดมสมบูรณ์ และเป็นผลไม้ที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจ อยากจะได้ลิ้มลองมากที่สุด ด้วยรสชาติที่มีความเฉพาะตัว มีความหวานมันทำให้ทุเรียนสามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น ทุเรียนทอดกรอบ ทุเรียนแช่อิ่ม ทุเรียนกวน ทุเรียนดอง ทอฟฟี่ทุเรียน ไอศกรีมรสทุเรียน ไส้ขนมปังและขนมไหว้พระจันทร์ ส้มตำทุเรียน ข้าวเหนียวทุเรียนน้ำกะทิ เป็นต้น
เปลือกทุเรียน…มีประโยชน์ ทิ้งแล้วจะเสียดาย
นอกจากเนื้อทุเรียนจะสามารถนำไปแปรรูปได้แล้ว “เปลือกทุเรียน” ก็ยังมีประโยชน์ด้วยเหมือนกัน อย่าเพิ่งทิ้งเปลือกที่เต็มไปด้วยหนามแหลมเป็นอันขาด เพราะเปลือกทุเรียนเป็นยารักษาโรคตานซาง และโรคที่เกี่ยวกับน้ำเหลืองได้ อีกทั้งเปลือกของทุเรียนยังสามารถนำไปรีไซเคิลเป็นกระดาษชนิดต่างๆ ได้อีกด้วย
เห็นประโยชน์ของทุเรียนไปแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะกินทุเรียนได้ไม่อั้นนะ เพราะทางการแพทย์เคยได้ออกมาเตือนแล้วว่ากินทุกเรียนมากๆ ไม่ได้เป็นผลดีต่อร่างกาย ใครที่ขี้ร้อนง่ายๆ หรือมีธาตุร้อน กินทุเรียนมากๆ อาจถึงตายได้ โดยเฉพาะการกินทุเรียนพร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะยิ่งทำให้ร่างกายมีความร้อนสูง ส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุล
ผู้ป่วยโรคใดไม่ควรกินทุเรียน
1. ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรกินทุเรียน เพราะทุเรียนมีแป้งและน้ำตาลสูง
2. ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด หากกินทุเรียนในปริมาณมากจะทำให้จุก แน่น หายใจติดขัด
3. ผู้ป่วยโรคความดันสูง ไม่ควรกินทุเรียนมากเนื่องจากจะทำให้แน่นท้อง หายใจไม่ออกเช่นเดียวกับโรคหอบหืด
4. ผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ไม่ควรกินทุเรียนมากเนื่องจากจะทำให้เกิดอาการแน่นท้อง
5. ผู้ป่วยโรคหัวใจ ไม่ควรกินทุเรียนเนื่องจากในทุเรียนมีกำมะถันสูง
6. ผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่ควรกินทุเรียนที่สุกงอม หรือหวานจัดมากเกินไปเนื่องจากส่งผลต่อความดันเลือด
7. ผู้ป่วยโรคไต ไม่ควรกินทุเรียนเนื่องจากในทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง
ได้รู้ทั้งประโยชน์ และโทษของทุเรียนไปแล้ว ก็หวังว่าผู้ที่โปรดปรานความหอมมันของทุเรียนจะพึงกินอย่างระวัง และกินอย่างพอดี เพื่อไม่ให้ทุเรียนของโปรดมาส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เพราะกินพอดีๆ ก็จะได้ประโยชน์ไป แต่ถ้ากินแบบไม่รู้จักพอก็จะได้รับโทษจากทุเรียน ส่วนผู้ที่เป็นโรคตามที่กล่าวไปข้างต้นก็ควรเลี่ยงผลไม้อย่างทุเรียน หรือกินทุเรียนให้น้อยลง ด้วยความหวังดีนะจ๊ะ
คุณอ้วนแบบไหน? ละมาดูว่าแต่ละแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?
หลายคนคงมีปัญหาเกี่ยวกับ หน้าท้อง หรือพุง ที่ยื่นออกมา แต่ช้าก่อนอย่าเพิ่งเหมารวมว่าอ้วน เพราะว่าทานเยอะอย่างเดียว วันนี้มาดูกันว่าความอ้วนแต่ละแบบนั้น บอกอะไร เราไปดูกันเลย
1. Obesity of food โรคอ้วนจากอาหารชนิดที่พบมากของโรคอ้วน ในโลก คือโรคอ้วนจากอาหาร มันเกิดขึ้นกับการรับประทานอาหารและ น้ำตาล มากเกินไป
2. Obesity “nervous stomach โรคอ้วนจากความวิตกกังวล ความเครียดลงกระเพราะ และภาวะซึมเศร้าเป็นเหตุ
3. Gluten obesity โรคอ้วนจากภูมิแพ้อาหารที่มี Gluten ประเภทขนมปัง และธัญพืช (เบเกอรี่)
4. Atheros Genic โรคอ้วนจากระบบเผาผลาญ อาหารรวมถึง ระบบการหายใจ
5. Obesity due to venous circulation โรคอ้วนเกิดจาก การไหลเวียนของเลือดดำ น่าจะเป็นโรคอ้วน มากที่สุดสืบทอดทางพันธุกรรม มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตั้งครรภ์ หรือคนที่มีขาบวม
6. Obesity of inactivity โรคขี้เกียจ แปลง่ายๆคือ ไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่ใช้งานอวัยวะ เลยอ้วนซะเลย
เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/
❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก
สังเวชนียสถาน ๔
พระบรมศาสดาจึงนำเหล่าภิกษุสงฆ์เสด็จพุทธดำเนินข้ามแม่น้ำหิรัญญวดีในเมืองกุสินารานคร แล้วเสด็จเข้าไปประทับ ณ สาลวันอุทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ใกล้เมือง กุสินารานคร แคว้นมัลละ โปรดให้พระอานนท์ปูลาดเตียงที่บรรทม ณ ระหว่างไม้รัง ต้นสาละ ทั้งคู่ แล้วเสด็จบรรทมสีหไสยา เป็นการนอนอย่างราชสีห์ คือนอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มือซ้ายพาดไปตามลำตัว มือขวาช้อนศีรษะไม่พลิกกลับไปมา มีสติสัมปชัญญะ แต่มิมีอุฏฐานสัญญามนสิการ คือ ไม่มีพุทธประสงค์จะลุกขึ้นอีกต่อไป เนื่องจากเป็นไสยาวสาน คือ นอนครั้งสุดท้ายจึงนิยมเรียกว่า อนุฏฐานไสยา คือนอนโดยไม่ลุกขึ้นอีก
ในเวลานั้น พระอานนท์เถระเจ้าได้กราบทูลว่า
“ในกาลก่อนเมื่อออกพรรษาแล้ว บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายในทิศต่าง ๆ ได้เข้าใกล้ สนทนาปราศัยได้ความเจริญใจ ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายจักไม่ได้โอกาสอันดีเช่นนั้น เหมือนกับเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่อีกต่อไป”
เมื่อพระอานนท์กราบทูลเช่นนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า
“อานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ ตำบลนี้ เป็นสถานที่ควรแก่ความสังเวช เมื่อผู้มีศรัทธาได้ไปยังสถานที่ ๔ แห่งนี้ด้วยความเลื่อมใสเมื่อทำการกิริยา คือ ตายลงแล้ว จักได้ถึงสุคติ ไปเกิดในโลกสวรรค์ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ อันได้แก่
๑. สถานที่พระพุทธองค์ประสูติจากพระครรภ์
๒. สถานที่พระพุทธองค์ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
๓. สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจักร
๔. สถานที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน
อนึ่ง สังเวชนียสถาน มีความหมายถึง เป็นสถานที่ตั้งแห่งความสังเวช แต่คำว่าสังเวชในทางธรรมนั้น มีความหมายลึกซึ้งกว่าความหมายของคำว่าสังเวชที่พบเห็นกันทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ ในทางธรรมหมายถึง ความรู้สึกสลดใจที่ทำให้คิดได้ถึงพระไตรลักษณ์ คือ ความเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ความทุกข์สลดใจ ความยึดมั่นถือมั่นไว้ไม่ได้ ทำให้จิตใจหันมานึกถึงสิ่งที่ดีงามเกิดความไม่ประมาท เพียรพยายามทำสิ่งที่เป็นกุศลต่อไป จึงจะเรียกว่า สังเวช
๑. สถานที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสูติกาลจากพระครรภ์พระมารดา คือ อุทยานลุมพินี ตั้ง อยู่กึ่งกลางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวงของแคว้นสักกะ กรุงเทวทหะเป็นเมืองหลวงของแคว้นโกลิยะ ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาลห่างชายแดนภาคเหนือของประเทศอินเดีย ๖ กิโลเมตรครึ่ง บัดนี้เรียกว่า รุมมินเด
มายาเทวีวิหาร อุทยานสวนลุมพินี – ขอบคุณภาพจาก วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์
๒. สถานที่พระพุทธองค์ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือ ใต้ร่มไม้พระศรีมหาโพธิ์ ภายในป่าสาละ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ปัจจุบันคือ ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ ที่ตำบลพุทธคยา รัฐพิหารประเทศอินเดีย
มหาเจดีย์ที่พุทธคยา–สถานที่ทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
๓. สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจักร คือ สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา โปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทางทิศเหนือของเมืองพาราณสี แคว้นกาสี ปัจจุบันนี้เรียกว่า สารนาถพาราณสี บัดนี้เรียกว่า วาราณสี ประเทศอินเดีย
ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สารนาถพาราณสี–สถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนาธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร
๔. สถานที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน คือ ที่สาลวโนยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ปัจจุบันนี้เรียก เมืองกาเซีย จังหวัดโครักขปุระ ประเทศอินเดีย
สาลวโนยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ–สถานที่ปรินิพพาน – ขอบคุณภาพจากวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์
สถานที่ทั้ง ๔ ตำบลนี้แล ควรที่พุทธบริษัท คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระตถาคตเจ้า จะดูจะเห็นและควรจะให้เกิดความสังเวชทั่วกัน”