Posted on Leave a comment

4สี 4ระยะ กล้วยน้ำว้าประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างไร?

กล้วยน้ำว้า

4สี 4ระยะ กล้วยน้ำว้าประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างไร วันนี้เรามีข้อมูลมาบอกกันค่ะ

กล้วยน้ำว้า เชื่อว่าเป็นผลไม้ที่หลายๆบ้านต้องมีติดครัวไว้เสมอ เอาไว้รับประทานรองท้องหรือรับประทานเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก กล้วยน้ำว้ามีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 10 ชนิด เช่น โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินบี12 วิตามินซี ธาตุเหล็ก ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เป็นต้น อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่สนับสนุนว่ากล้วยมีน้ำตาลจากธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส กลูโคส และ ฟรุคโทส ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกาย จึงทำให้การรับประทานกล้วยเพียงวันละ 2 ลูก สามารถเพิ่มพลังงานในร่างกายเท่ากับการออกกำลังกาย 90 นาทีกันเลยทีเดียว
นอกจากประโยชน์โดยรวมของกล้วยแล้ว กล้วยยังมีประโยชน์และสรรพคุณที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสีอีกด้วยนะคะ


สีเขียวเข้ม (กล้วยดิบ)

เป็นกล้วยที่มีเปลือกสีเขียวค่อยข้างเข้มหรือกล้วยดิบนั้นเอง มีสรรพคุณช่วยแก้โรคกระเพาะ เพราะในกล้วยดิบมีสารที่ให้ความฝาด เรียกว่า แทนนิน (Tannin) เป็นกรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ในการเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ แต่กล้วยดิบนั้นไม่สามารถนำมารับประทานได้ทันที ต้องนำผลดิบไปบดเป็นผง แล้วนำมารับประทาน ครั้งละ 1 ช้อนชา 3 ครั้งก่อนอาหาร ซึ่งสามารถเพิ่มความอร่อยด้วยการผสมกับน้ำผึ้งก็ได้ค่ะ

สีเขียวอ่อน (กล้วยห่าม)

อาจเรียกได้ว่าเป็นกล้วยกึ่งสุกกึ่งดิบ เปลือกมีสีเขียวอมเหลือง สามารถนำมารับประทานได้ทันที ซึ่งกล้วยห่ามจะมีโพแทสเซียมสูง ที่มีสรรพคุณช่วยชดเชยโพแทสเซียมให้แก่ร่างกายและแก้โรคท้องเสียได้เป็นอย่างดี แล้วยังช่วยเพิ่มกากใยที่ช่วยในการขับถ่าย และเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วยเช่นกัน

สีเหลืองนวล (กล้วยสุก)

เป็นกล้วยที่มีสีเหลืองสดพร้อมรับประทาน มีสารเพ็กติน (Pectin) ที่เป็นเส้นใย ช่วยเพิ่มกากอาหารหรือพรีไบโอติก (Prebiotic) ตามธรรมชาติ ทำให้สามารถขับถ่ายได้ดี ถือว่าเป็นยาระบายอ่อนๆอย่างดีกับคนที่มีอาการท้องผูก ซึ่งในคนที่มีอาการท้องผูกมากๆควรรับประทานวันละ 5 – 6 ลูก นะคะ เพื่อให้ได้ผลดีกับระบบขับถ่ายค่ะ

สีเหลืองเข้ม (กล้วยงอม)

เป็นกล้วยสีเหลืองเข้มคล้ำๆ เนื้อกล้วยจะค่อยข้างเละ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรับประทาน แต่ในทางกลับกันกล้วยงอมกลับมีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ทำให้มีปริมาณเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีสาร Tumor Necrosis Factor (TNF) ที่ช่วยป้องกันจากเซลล์ที่ผิดปกติ โดยเฉพาะกล้วยที่มีจุดดำมากเท่าไหร่ยิ่งดี คุณสามารถเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโรคหวัดได้ด้วยการรับประทานกล้วยน้ำว้าวันละ 1-2 ลูก เพื่อสุขภาพที่ดีได้ค่ะ
เมื่อรู้ถึงประโยชน์ของกล้วยที่มีมากมายขนาดนี้แล้ว ลองเลือกรับประทานกล้วยให้ตรงกับความต้องการของร่างกายคุณดูนะคะ ตามด้วยมื้ออาหารเมนูอร่อยของคุณกับข้าวสวยไรซ์เบอร์รี่ร้อนๆสักจาน รับรองหมดกังวลเรื่องระบบขับถ่าย หุ่นสวย สุขภาพดีได้แน่นอนค่ะ

 

 

 

 

 

 

 

 

Posted on Leave a comment

❝ ตำป่า ❞ ประโยชน์มากมาย จากวัตถุดิบ ไทยๆ

ตำป่า

ตำป่า คือส้มตำที่ใส่สารพัดที่คิดว่าใส่ลงไปแล้วเข้ากัน เหมือนส้มตำปูปลาร้าทุกอย่าง แต่แค่เพิ่มหอย ขนมจีน เมล็ดกระถิน หรือผักที่ชอบ ใส่ผักได้หลายชนิด ตำป่าดังมาจากจังหวัดมหาสารคาม เรียกติดปากว่า “ตำป่าสารคาม” นั่นเองค่ะ

ส่วนผสม
* กระเทียม 5-4 กลีบ
* พริกแดง ตามชอบ
* พริกแห้ง ตามชอบ
* มะอึก 1 ลูก
* มะกอก 1 ลูก
* บักเขือเครือ 2 ลูก
* มะเขือเทศ 2 ลูก
* น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
* ปูนานึ่ง 3 ตัว
* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำปลาร้า 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
* มะละกอสับ 150 กรัม
* หอยขมลวก
* เมล็ดกระถิน
* ขนมจีน 50 กรัม

วิธีทำ
1. ตำกระเทียม พริกแดง และพริกแห้งให้แหลก จากนั้นก็ใส่ มะอึก มะเขือเครือ และมะเขือเทศ ตำจนน้ำในมะเขือออกมา
2. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำปลาร้า และน้ำตาลปี๊บ แกะปูนาลงไป คลุกให้เข้ากัน
3. ใส่เส้นมะละกอสับลงไป ตำจนเครื่องปรุงซึมเข้ามะละกอ จากนั้นก็ใส่หอยขม เมล็ดกระถิ่น และขนมจีน คลุกเคล้าให้เข้ากัน เสร็จแล้วก็ใส่จานเสิร์ฟได้เลยค่ะ

กินอะไรก็อร่อย ไม่กลัวอ้วนหรอก

 

 

 

Posted on Leave a comment

สุขภาพดีเพราะ “เชอรี่ไทย”

เชอรี่ไทย

สุขภาพดีเพราะ “เชอรี่ไทย”
โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช

ประโยชน์มากกว่าส้ม 50 ลูก! ผลไม้ไทยมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร หนึ่งในความพิเศษนั้นคือรสชาติที่ให้ความเป็นไทยๆและความเป็นตะวันออกอย่างชัดเจน ผลไม้ต่างชาติอาจให้กลิ่นรสที่แปลกน่าสนใจซึ่งหลายท่านบอกว่าเหมาะกับการเอามาปรุงอาหารฝรั่ง อย่างเมนูเบเกอรี่ต่างๆ
แต่ผลไม้ไทยนั้นมีความพิเศษอยู่ตรงที่จะเอามาทำของหวานแบบไทยๆ ก็แสนจะเข้ากัน หรือถ้าเลือกให้ดีเอามาทำขนมฝรั่งก็ยังได้ แถมอร่อยดีมากเสียด้วย
เพราะรสชาติผลไม้ไทยมีความหวานและเปรี้ยวแบบกลมกล่มอยู่ในตัว ซึ่งรสเช่นนี้ มีมากในผลไม้ที่ชาวบ้านฝรั่งทั่วไปเรียก “เบอรี่” ซึ่งก็จะมีชื่อที่ท่านที่รักนึกออกแน่ๆอย่าง สตรอเบอรี่,ราสพ์เบอรี่,บลูเบอรี่,โกจิเบอรี่,แครนเบอรี่รวมถึง “ผลกาแฟ” ที่ สีสดสวยก็ถือเป็นเบอรี่ด้วยนะครับ ฝรั่งจึงเรียกผลไม้ไทยหลายอย่างที่มีรสดังว่า เบอรี่ไปด้วย อย่างมะยม(Star gooseberry),ลูกหม่อน(Mulberry),ลูกหว้า,มะเม่า,ตะขบ ฯลฯ

มีลูกไม้ไทยอีกอย่างหนึ่งซึ่งสมัยก่อนรู้จักกันมากจนมาถึงสมัยนี้ก็มีการศึกษาว่ามีคุณสมบัติไม่แพ้เบอรี่ที่ว่าราคาแพงๆ เลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญคือปลูกได้
ในบ้านของเราเอง มีรสชาติดีมากครับ

มีชื่อน่ารักว่า “เชอรี่ไทย” ได้รู้จักแล้วจะรัก
พอพูดชื่อนี้หลายท่านคงหลับตาเห็น แต่ก็อีกหลายท่านเช่นกันที่ยังนึกไม่ออก เพราะในปัจจุบันมันถูกเอามาเพิ่มมูลค่าด้วยการเรียกชื่อฝรั่งเช่นเดียวกับผลไม้ไทยอีกหลายอย่างที่ต้องตั้งชื่อเป็นฝรั่งแล้วขายแพง

เชอรี่ไทยมีอีกชื่อว่าบาแบโดสเชอรี่หรือ “อะเซโรล่า เชอรี่(Acerola cherry)”
ถึงตรงนี้ท่านที่นิยมอาหารเสริมบางยี่ห้อคงนึกออกทันที เพราะเชอรี่ไทยถูกฝรั่ง
เอาไปสกัดเป็น “วิตามินซีเสริม” ที่มีทั้งแบบผสมน้ำและแบบเม็ดรับประทานง่าย
จริงแล้วจะว่าเป็นของไทยเสียทีเดียวก็ไม่เต็มปากนัก เพราะเชอรี่ไทยมีต้นกำเนิดอยู่แถบทวีปอเมริกาใต้โน้นแต่ถูกนำข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาปลูกในทวีปเอเชีย ของเรามานานแล้วครับเลยถูกเรียกว่าเชอรี่ไทย ในแถบประเทศเพื่อนบ้านเรา อย่างเวียตนามก็มีและเอามาขายเพื่อรับประทานกันอย่างผลไม้ทั่วไปด้วย ความเปรี้ยวจี๊ดจนเข็ดฟันทำให้มันถูกเอามาแปรรูปเพื่อให้กินง่ายขึ้น ซึ่งเมนู ที่เหมาะกับความเปรี้ยวทะลุเหงือกเช่นนี้หนีไม่พ้น ของหวานจำพวกไอศกรีมเชอร์เบท(รสเปรี้ยวใช้รับประทานล้างปากระหว่างมื้ออาหารฝรั่งเศส),พาย,เค้ก,พุดดิ้งหรือน้ำปั่นที่ใช้ดื่มชื่นใจได้

นอกจากนั้นยังใช้หมักทำไวน์รสดีได้อีกด้วย ผลเชอรี่ไทยมีขนาดพอๆ กับลูกเชอรี่ สีแดงสวยของฝรั่งจริงๆ แต่สีของมันต่างกันออกไปตามความสุก โดยในช่วงยังอ่อนจะเป็นสีเหลืองต่อมาค่อยมีเหลือบแดงแล้วกลายเป็นสุกแดงทั่วกันทั้งลูก ต้นของมันค่อนข้างเตี้ยครับ อยู่ในเกณฑ์ที่เอื้อมเด็ดได้ ซึ่งเมื่อเชอรี่ไทยสุกพร้อมๆ กันจะสวยน่ารักน่าชมมาก

หลายบ้านจึงปลูกไว้เป็นไม้ประดับ ญี่ปุ่นถึงกับจับมาทำบอนไซ
เป็นไม้ประดับกินได้แสนคุ้มค่า เพราะประโยชน์ที่มีอยู่ในลูกเชอรี่ไทยรสเปรี้ยวตาหยีนี้ มีที่พิเศษต่างจากผลไม้อื่นและเป็นคุณสมบัติของพืชกลุ่มเบอรี่ก็คือ

วิตามินซีธรรมชาติ นปริมาณสูงมากหากเปรียบให้เห็นภาพก็มากกว่าส้มสด
นับสิบๆ เท่าเลยทีเดียวต่อเชอรี่ไทยเพียงขีดเดียวเท่านั้น

กลุ่มวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน,ไลโคปีน และแคโรทีนอยด์ซึ่งเป็นญาติของวิตามินเออีกมากชนิดที่อยู่ในลูกเชอรี่ไทยที่สุกพร้อมกิน

สารต้านอนุมูลอิสระชนิดพิเศษ ได้แก่ กลุ่มโพลีฟีนอลส์ ฟลาโวนอยด์
ซึ่งเป็นสารพระเอกแบบเดียวกับในไวน์องุ่นราคาแพงนั่นคือ “เรสเวอราทรอล”

สารเคมีลดน้ำตาล ตัวช่วยอ่อนหวานตัวนี้มีชื่อว่า “คลอโรจีนิก
(Chlorogenic acid)” เป็นกรดตัวหนึ่งในลูกไม้เปรี้ยวนี้ ช่วยคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดโดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานประเภที่ 2 (เบาหวานในผู้ใหญ่)

แร่ธาตุสำคัญ อย่าง โพแทสเซียม,แคลเซียม,ฟอสฟอรัส,ธาตุเหล็ก ที่ช่วยปรับสมดุลย์ให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ และเหมาะสำหรับผู้ที่มี “โลหิตจาง”
ด้วยครับ

ข้อดีของผลไม้อย่างเชอรี่ไทยมีอยู่มากดังที่กล่าวไป แต่จุดอ่อนของผลไม้ประเภทเบอรี่ที่มีเหมือนกันทั่วโลกคือ “บอบบางและช้ำง่าย” ดังนั้น จึงอาจเน่าเสียได้ง่าย ไม่เหมาะกับการขนส่งสมบุกสมบันทางไกล ชาวตะวันตกจึงมักเอามาถนอมโดยกวนเป็น “แยม” ส่วนคนไทยก็คล้ายกันคือ ทำในสิ่งที่เป็น paste คือ อาหารประเภทใช้ทาหรือคลุกรับประทานนั่นคือ “น้ำพริก” ครับ เช่นน้ำพริกมะยม,น้ำพริกมะนาวโห่,น้ำพริกอ่อง หรือน้ำพริกมะขามป้อมก็ยังได้ คนไทยดัดแปลงอาหารได้เก่งและอร่อยไม่แพ้ใครครับ

ประโยชน์มากกว่าส้ม 50 ลูก! และมวลมหาสรรพคุณครอบจักรวาล
เชอรี่ไทยเป็นของใกล้ตัวคนไทยมานาน เพียงแต่เรารู้สึกว่าเป็นของประดับหรือของกินเล่นเลยไม่ค่อยได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง
ทั้งที่จริงแล้วมันคือ ยาประจำบ้านขนานเอก
ใช้บำบัดได้หลายโรค ช่วยทุเลาได้หลายอาการและแทนยาฝรั่งได้หลายขนานครับ ดังจะขอยกตัวอย่างปัญหาใกล้ตัวต่อไปนี้
ใครมีปัญหา “ริดซี่” หรือท้องผูก เชอรี่ไทยช่วยได้ เพราะมันให้สารที่ช่วยสมานแผลและหลอดเลือดให้ไม่เปราะแตกง่ายโดยเฉพาะกระเปาะเส้นเลือดพองของริดสีดวง ซึ่งสารพิเศษนั้นคือ วิตามินซีที่มีมากกว่าส้มสดถึง 65 เท่าและ
ไบโอฟลาโวนอยด์ที่ช่วยทำงานให้หลอดเลือดและระบบไหลเวียนเลือดเป็นปกติ นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ช่วยเรื่องการขับถ่ายด้วยครับ

ใครนอนไม่หลับกระสับกระส่าย เชอรี่ไทยช่วยได้นะครับ เพราะวิตามินซีที่สูงลิบ
ในตัวมันช่วยเกี่ยวกับวงจรการนอนหลับในสมอง นอกจากนั้น “โพแทสเซียม”
เป็นแร่ธาตุที่มีอยู่มากในแต่ละผลจะช่วยให้หัวใจของท่านเต้นเป็นจังหวะ
คุมความดันให้สงบ ช่วยทำให้ท่านหลับสบายมากขึ้นครับ

เชอรี่ไทยยังถือเป็นผลไม้แนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์เพราะมันมีสารช่วยสร้าง “สมอง” และระบบประสาทให้ลูกน้อยตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง ช่วยป้องกันปัญหาไขสันหลังเปิด หรือโรคที่มีผลต่อสติปัญญาแต่กำเนิดได้ ทำให้สมาชิกคนใหม่
ที่กำลังจะถือกำเนิดมาสมบูรณ์แข็งแรงแบบ “แม่ให้มา” เลยครับ

สำหรับใครที่มีอาการปวดศีรษะ ปวดประจำเดือนบ่อย ไปจนถึงปวดเมื่อยตามร่างกาย เชอรีไทยมีคุณสมบัติที่ดีช่วยลดอาการทั้งหลายที่ว่านี้ได้เพราะมันมี
“เคมีแก้ปวด” ที่ให้ผลเช่นเดียวกับยาแก้ปวดชื่อดังอย่าง “แอสไพริน” ที่ลดปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญมันยังช่วยลดปวดเมื่อยตัวจากอาการไข้หวัดเจ็บคอ
ได้ด้วย

มีการศึกษาชี้ว่ามันช่วยลดการบาดเจ็บจากบาดแผลตามที่ต่างๆในร่างกาย ไม่ว่าจะแผลสด,แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกหรือฟกช้ำจากอุบัติเหตุ โดยเฉพาะสาวๆ ที่
ไม่อยากให้ได้ “แผลเป็น” เป็นของแถม เชอรี่ไทยก็ช่วยได้ครับ

ยัง—ยังไม่สุดครับ ยังมีมวลมหาประโยชน์จากเชอรี่ไทยอีกในกรณีที่มีอาการ
“วัยทอง” ด้วย โดยทีมของวิตามินกับแร่ธาตุที่มีอยู่หลากชนิดรวมทั้งธาตุเหล็ก,ฟอสฟอรัสและแคลเซียมจะจับมือกันร่วมเป็นด่านหน้าในการต้านชราจากจุดเริ่มต้นข้างในร่างกายเราเลยครับ เรียกว่าช่วยต้านชราตั้งแต่ในระดับเซลล์จิ๋วของ
ตัวเราที่มองไม่เห็นนจนทำให้อาการวัยทองที่ทำให้เพลียหัวใจทั้งหลายทุเลาลง โดยเฉพาะอาการอ่อนล้าและหงุดหงิดง่ายที่สาวๆ หลายท่านเริ่มมาเป็นเอาช่วงเลือดจะไปลมจะมา

ไม่เว้นแม้โรคร้ายที่สุดอย่างมะเร็งที่เจ้าผลไม้จากแดนไกลแต่หาได้ในบ้านเรายังใช้ช่วยชีวิตได้ ด้วยพลังต้านอนุมูลอิสระของมันนั้นสูงลิ่วพอๆ กับผลไม้พระเอกอมตะอย่างองุ่นดำ หรือเชอรี่ที่ฝรั่งแนะนำเลย เชอรี่ไทยมีมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งตั้งแต่เพิ่งเริ่มตั้งไข่ โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งชนิดที่เป็นผู้ก่อการร้ายใน กระเพาะอาหาร,ลำไส้และตับ ครับ ช่วยลดการอักเสบที่ตับเหมาะสำหรับท่านที่มีความเสี่ยงมะเร็งอย่าง “พาหะไวรัสตับอักเสบ”

สุดท้ายนี้เทคนิคดีๆ ที่จะทำให้เชอรี่ไทยได้ประโยชน์กับท่านที่สุดก็คือ
การรับประทานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งท่านสามารถทำได้แน่นอนครับ(ถ้าปลูกต้นเชอรี่ไทยไว้เองที่บ้าน) เพราะมันถือเป็นผลไม้ “ไม่อ้วน” เมื่อเทียบกับผลไม้อีกหลายชนิด ทำให้ท่านรับประทานเชอรี่ไทยเป็นของว่างได้อย่างสบายใจไม่ต้องห่วงน้ำตาลหรือพลังงานส่วนเกินที่จะมาสะสมเหมือนมันฝรั่งทอดหรือขนมของว่างอื่นๆ
แม้มันจะมีรสเปรี้ยวจับใจแต่ท่านสามารถเอามาดัดแปลงทำเป็นของว่างอร่อยๆได้ง่ายมาก อย่างในเด็กที่ไม่ชอบเปรี้ยวแต่อยากหยิบเชอรี่ไทยมารักษาภูมิแพ้แก้หวัดฟุดฟิดให้ ท่านก็นำมาทำสมูทตี้คือน้ำปั่นเชอรี่ไทยให้รับประทานเย็นๆ ดีคล้ายไอศกรีมเชอร์เบทแบบฝรั่งเศสที่เล่าไป จะใส่น้ำผึ้งลงไปให้เปรี้ยวๆ หวานๆ หน่อย ก็อร่อยครับ

แค่รับไปปลูกที่บ้านสักต้นสองต้น เป็นผลไม้ประจำครอบครัวดีมากนะครับ

ขอบคุณบทความดีๆ จาก
นพ.กฤษดา ศิรามพุช,พบ.(จุฬาฯ)
ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
American Board of Anti-aging medicine

 

 

 

Posted on Leave a comment

ลำดับการสะสมไขมันในร่างกายของคน

สะสมไขมัน

เรารู้ๆกันอยู่แล้วว่า ถ้าหากเราทานอาหารมากเกินกว่าที่ร่างกายได้รับ พลังงานส่วนเกินก็จะสะสมในรูปของไขมัน

ซึ่งลำดับการสะสมไขมันในร่างกายของคนจะมีดังนี้

1. ไขมันช่องท้อง หรือ Visceral fat หรือ Intra-Abdominal fat
เป็นส่วนแรกที่ไขมันจะมาสะสมในร่างกาย แต่ใช้เป็นไขมันสำรองอันดับสุดท้าย ยิ่งอ้วนก็ยิ่งมาก และกดทับอวัยวะภายใน ทำให้พุงยื่นออกมา หรือ อ้วนแบบขุนช้าง (พุงช้าง) ทำให้เกิดสารพัดโรค รวมภึงภาวะภูมิแพ้
การลดไขมันส่วนนี้ ต้องควบคุมอาหาร และ ออกกำลังกายแบบแอโรบิค เพื่อให้ร่างกายเอาไขมันมาใช้เป็นพลังงานให้มากที่สุด

วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ตื่นมาเดิน หรือ ปั่นจักรยานตอนเช้า (ไม่ต้องวิ่ง)ให้ได้ครั้ง 45-60 นาที สัปดาห์ละ 4-5 ครั้ง
แต่ปัญหาที่พบก็คือ ถ้าร่างกายใช้ไขมันส่วนนี้เป็นพลังงาน เซลล์ไขมันส่วนนี้จะปล่อยสารกลุ่ม allergenic ออกมาได้เช่นกัน ส่งผลให้บางคนเป็นไข้
ในส่วนของคนผอมมากๆ แต่ที่มีพุงป่องออกมา จะเกิดจากการที่ไม่เคยบริหารกล้ามเนื้อท้องส่วนที่รั้งอวัยวะภายใน ที่เรียกว่า “Transverse abdominis” ซึ่งสามารถฝึกได้ง่ายๆ โดยการเขม่วพุงเข้าไปให้ได้มากที่สุด หรือที่เรียกว่า ” Stomach Vacuum”

2. Subcutaneous fat หรือ ไขมันใต้ผิวหนัง
เป็นส่วนที่สองที่ไขมันจะมาสะสม และใช้เป็นพลังงานต่อจากไกลโคเจน โดยร่างกายส่วนที่สามารถสะสมไขมันส่วนนี้ได้ดี จะมีส่วนของ Alpha receptor ที่ทำหน้าที่ในการดึงไขมันมาสะสมในร่างกาย ซึ่งพบมาก ตั้งแต่ ใต้แนวลิ้นปี่ ลงไปจนถึง ต้นขาครึ่งบน ซึ่งก็คือ ส่วนของ ท้อง เอว สะโพก และ ต้นขาส่วนบน นั่นเอง
หรือที่สาวๆเรียกกันว่า “เซลลูไลต์” ก็คือ ไขมันที่สะสมใต้ผิวหนังส่วนนี้”
การลดไขมันส่วนนี้ ใช้วิธีเดียวกับการลดไขมันในช่องท้อง แต่ไขมันใต้ผิวหนังจะลดได้ง่ายกว่า

3. Inter-muscular fat หรือ ไขมันแทรกระหว่างกล้ามเนื้อ 2 มัด
จะพบในคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน และ เบาหวาน รวมถึงคนที่อ้วนมากๆ (ไขมันร่างกาย >35%)
ใช้เป็นตัวใช้วัดว่า ร่างกายเริ่มมีปัญหาแล้วนะ

4. Intra-muscular fat หรือ ไขมันแทรกภายในกล้ามเนื้อ
จะพบเช่นเดียวกับกลุ่มแรก เพียงแต่อาการหนักกว่า
ส่วนในสัตว์ก็จะพบได้ในเนื้อวัว โดยเฉพาะเนื้อโกเบบีฟ หรือ โคมัตซึซากะ
คนกลุ่มนี้ควรออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ร่วมกับเดินหรือ ปั่นจักรยานสัปดาห์ละ 4-5 วัน

เขียนให้รู้ว่าไขมันสะสมที่ส่วนไหนบ้าง และลดความอ้วนง่ายๆได้อย่างไร บางทีคนที่อ้วนก็น่าจะลดไขมันที่สะสมในร่างกายแล้วนะคะ

อย่าไปใช้คำว่า “อ้วนอย่างมีความสุข” ไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะมีความสุข อย่าไปคิดในโลกสวยแบบนั้น มันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณเอง ทั้งความดันโลหิตสูง หาเสื้อผ้าใส่ยาก ข้อเข่า ข้อเท่ารับภาระหนัก

แถมยังต้องเป็นขี้ปากของชาวบ้านที่จะเรียกคุณว่า “ไอ้อ้วน หรือ อีอ้วน” แต่ตอนที่หุ่นดีแล้ว ไม่เห็นมีใครเรียกว่า “ไอ้หุ่นดี หรือ อีหุ่นดี”กันบ้างเลย

คุณอาจจะย้อนมาว่า “แล้วมันหนักหัวกบาลส่วนไหนของใคร” ซึ่งมันก็ไม่หนักหรอกนะ คุณเองต่างหากที่หนักทั้งตัวเลย แถมหนักรถอีกตะหาก

ดูแลสุขภาพดีๆ อยู่กับคนที่เรารัก และรักเราไปนานๆนะคะ

 

 

Posted on Leave a comment

12 ข้อคิด จากมหาเศรษฐีพันล้าน Warren Buffet

ข้อคิดมหาเศรษฐี

น้อยคนนัก ที่จะไม่รู้จัก ชายแก่ หน้าตาใจดี
มหาเศรษฐี อันดับ 3 ของโลกในปัจจุบัน

ด้วยทรัพย์สินรวม 40,000 ล้านดอลลาห์
CEO ของบริษัท Berkshire Hathaway
หรือเรียกว่า ปู่บัฟ ในวงการเล่นหุ้น


นี่คือ12 สิ่งที่ควรเรียนรู้จากมหาเศรษฐี
อย่างวอเรน บัฟเฟต์

1. ให้คุณค่าชื่อเสียง และเกียรติยศของคุณ

“เราใช้เวลา 20 ปีในการสร้างชื่อเสียง เกียรติยศ
แต่เราสามารถทำลายมันทั้งหมด ได้เพียงแค่ 5 นาที

ถ้าคุณระลึกถึงมัน คุณจะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป”

กว่าจะสร้างชื่อเสียง และเกียรติให้แก่ สิ่งที่เรามีได้
มันอาศัยเวลาที่ยาวนาน

ดังนั้น ก่อนที่เราจะทำอะไร
ควรคิดให้ดีๆก่อน

ถ้าเรามีสติ คิดตรึกให้ดีๆ
เราจะไม่ทำสิ่งที่เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ
แต่สามารถทำลายทุกอย่างที่เรามีได้ในชั่วพริบตา


2. ทำงานเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น

“คนบางคน ได้นั่งอยู่ใต้ร่มเงาในวันนี้
ก็เพราะเคยมีคนปลูกต้นไม้ต้นนี้ เมื่อนานมาแล้ว”

ถ้าเราอยากมีอนาคตที่ดี
เราจึงควรเริ่มเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ ตั้งแต่วันนี้

เพราะสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ในวันนี้
คือผลลัพธ์ของการกระทำในครั้งก่อน

สิ่งที่เราทำในอดีต ก็คือผลในปัจจุบัน

ดังนั้น
ถ้าตอนนี้เรายอมทำอะไรบางอย่าง
ที่อาจจะเหนื่อยสักหน่อย เพื่ออนาคต

มันก็คงดีกว่า การที่ไม่ทำอะไรในวันนี้
แล้วไปลำบากวันข้างหน้า


3. เพิ่มเติมคุณค่า

“สิ่งที่จ่ายไปคือ ราคา
แต่สิ่งที่ได้มาคือ คุณค่าของมัน”

เวลาเราซื้ออะไร
มันเพราะเราเล็งเห็นคุณค่า ของสิ่งๆ นั้น ใช่หรือไม่?

คนอื่นจะมองเห็นคุณค่า
ของสินค้า และบริการของเรา มากแค่ไหน

ย่อมขึ้นอยู่กับว่า
เราให้คุณค่าสินค้า และบริการของเรา เพียงพอหรือยัง??


4. เลือกคบเพื่อนให้ดี

“มันดีกว่า ที่เราจะคลุกคลีกับคนที่ดีกว่าเรา
เลือกคบกลุ่มเพื่อน ที่นิสัยที่ดีกว่าเรา

และเราจะถูกนำพา ไปในทางเดียวกัน”

ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ
เราควรคบหาสมาคม กับคนที่ประสบความสำเร็จ

มีคนกล่าวว่า
“เรามักจะมีค่าเฉลี่ย เท่ากับคนที่เราสนิทด้วยที่สุด 5 คน”


5. ความอดทน คือกุญแจสำคัญ

“ไม่ว่าเราจะเก่ง หรือขยันแค่ไหน
บางสิ่งบางอย่างก็ต้องใช้เวลา

เราไม่สามารถ ทำให้เด็กคลอดออกมา
อย่างปกติได้ภายใน 1 เดือน

โดยการทำให้ผู้หญิง 9 คนท้องแทน”

นอกจาก
ความขยัน และความสามารถของเราแล้ว

อีกสิ่งที่ต้องมีคือ “ความอดทนรอคอย”


6. กล้าเสี่ยง (หลังจากวิเคราะห์ดีแล้ว)

“ความเสี่ยง มาจากการที่เราไม่ทราบ ว่ากำลังทำอะไรอยู่”

แน่นอนว่าธุรกิจมีความเสี่ยง
แต่บัฟเฟต์เชื่อว่า จะเสี่ยงมากเสี่ยงน้อย

ขึ้นอยู่กับว่าเราคำนวณ และวิเคราะห์
สิ่งที่เราจะทำดีพอหรือยัง


7. ทำสิ่งที่รัก

“มันจะมีช่วงเวลา ที่เราควรทำสิ่งที่เราต้องการ
ทำงานที่เรารัก ที่มันทำให้เรา
รีบกระโดดออกจากเตียงในตอนเช้า

เพราะผมคิดว่า คุณต้องบ้าแน่ๆ
ถ้าคุณต้องทนทำงานที่ไม่ชอบ

เพื่อแค่ให้มันดูดีในเรซูเม่
นั่นมันไม่ใช่การเก็บ Sex เอาไว้ สำหรับยามแก่หรอกหรือ?”

สรุปง่ายๆ ก็คือ ทำสิ่งที่คุณรัก

เพราะคนส่วนมาก กำลังทำลายชีวิตของตัวเอง
โดยการเลือกทำตามสิ่งที่คนอื่นต้องการ


8. รู้จักคู่แข่งของเรา

“ในโลกของธุรกิจ
กระจกมองหลัง ชัดกว่ากระจกหน้ารถเสมอ”

การรู้จักคู่แข่งของเรา ดีกว่ารู้จักตัวเราเอง

เพราะเราจำเป็น ต้องติดตามคู่แข่งของเราเสมอ
ว่าเขาจะไปทางไหน จะทำอะไร

รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง


9. เดินทีละก้าว

“ผมไม่ได้มองหา
ว่าจะกระโดดไปข้างหน้าทีละ 7 ฟุตได้อย่างไร

แต่ผมมองไปรอบๆ ว่ามีบาร์ 1 ฟุต
ที่สามารถจะข้ามไป ได้หรือไม่”

บัฟเฟต์ไม่เชื่อในเรื่อง
การประสบความสำเร็จ เพียงชั่วข้ามคืน

แต่เขาเชื่อว่า เราควรเดินทีละก้าว
แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ เพื่อค่อยๆเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น


10. เรียนรู้ ที่จะปฏิเสธ

“ข้อแตกต่าง
ระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ

คือ คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ รู้จักการปฏิเสธ”

ควรรู้จักการพูดปฏิเสธ
เสียงรอบข้าง หรือคำแนะนำต่างๆ

เพราะสุดท้ายแล้ว การตัดสินใจทุกอย่าง
ก็ขึ้นอยู่กับเราฝ่ายเดียว

การฟังคนอื่น หรือแม้แต่เสียงในหัวมากไป
จะทำให้เราเกิดความลังเลสงสัย และตัดสินใจผิดพลาดได้

จงเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ อย่างเด็ดขาดเสียบ้าง


11. ความซื่อสัตย์ หาได้ยาก

“ความซื่อสัตย์ เป็นของขวัญราคาแพง
อย่าคาดหวังว่า จะได้มันจากคนราคาถูก”

คนราคาถูก ไม่ได้หมายถึงคนยากจน
แต่ในที่นี้หมายถึง คนที่ไม่จริงใจ

เพราะความจริงใจ หาได้ยาก
ถ้าเราเจอแล้ว ก็อย่าทำให้ตัวเองเสียคนพวกนี้ไป


12. หัดที่จะควบคุม

“เราต้องควบคุมเวลา และสิ่งที่เรามี
เราไม่สามารถ ให้คนอื่นกำหนดชีวิตของเราได้”

อย่าลืมว่า ชีวิตเป็นของเรา
เรา คือเสาหลักของชีวิตเราเอง

ดังนั้น เราจึงไม่ควร ให้คนอื่นคุมบังเหียนชีวิตของเรา


Cr. ข้อมูลจาก internet

Posted on Leave a comment

HQ (Health Quotient)

มีคนเป็นจำนวนมาก ทำลายเวลาพักผ่อนของตัวเองด้วยการทำงานโดยไม่พักผ่อน ถึงแม้ว่าความคาดหวังของคนทุกคนสูงขึ้นทุกวัน จนทำให้ต้องทุ่มเททั้งความสามารถทางสติปัญญา ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และความสามารถด้านคุณธรรมความดีงาม เพื่อเผชิญหน้ากับภารกิจที่ท้าทาย แต่ก็ไม่ควรมองข้ามสังขารตัวเอง มันจะมีประโยชน์อะไรหาก IQ EQ และ MQสูง แต่ HQ ต่ำ

ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ หรือ HQ (Health Quotient) จึงกลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้คนต้องนับรวมอยู่ในตัวแปรแห่งความสำเร็จด้วย คงดูไม่จืดแน่ๆ หากทรุดก่อนงานจะเสร็จ

Werner W. K. Hoeger และ Sharon A. Hoeger ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา ให้คำแนะนำไว้ในหนังสือ Lifetime Physical Fitness and Wellness : A Personal Program ว่า คนที่จะมี HQ สูงต้องมีองค์ประกอบ 9 ประการดังนี้

1) เสริมสร้างสมรรถภาพทางกายให้ฟิตอยู่เสมอ (Health related Fitness) สุขภาพที่ดีต้องมาจากร่างกาย กล้ามเนื้อ และหัวใจที่แข็งแรง ซึ่งจะช่วยให้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างกระฉับกระเฉง มีความอึด และมีกำลังสำรองมากพอยามฉุกเฉิน

2) รู้ว่าอะไรควรกิน ไม่ควรกิน (Nutrition) คนในยุคของกินหาง่าย กินได้ 24 ชม. ต้องมีความรู้เรื่องโภชนาการ คิดเป็นว่าควรกินอะไรจึงจะเหมาะสมกับสุขภาพ และควรหยุดพฤติกรรมการกินแบบไหนที่ทำร้ายตัวเอง

3) หลีกเลี่ยงสารเคมีและสารเสพติด (Avoiding Chemical Dependency) ให้ตระหนักเสมอว่าสิ่งเหล่านี้คือปฏิปักษ์ที่สุขภาพต้องรีบปฏิเสธทันที

4) หมั่นดูแลสุขอนามัยตนเอง (Personal Hygiene) แม้เรื่องการแปรงฟัน การล้างมือ การอาบน้ำ การดูแลเสื้อผ้า เครื่องนอน ดูเหมือนจะเป็นของง่าย ที่เราคิดว่ารู้อยู่ดีแล้ว แต่อย่าแค่รู้ดี ต้องทำให้ถูกวิธีด้วย

5) วางแผนดูแลสุขภาพตนเองเพื่อป้องกันโรคร้าย (Disease Prevention) โดยการตรวจสุขภาพประจำปีตามความเสี่ยงของวัย ตามความเสี่ยงของอาชีพ การฉีดวัคซีนที่จำเป็น และการใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคต่าง ๆ

6) อย่าประมาท (Personal Safety) ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใด ต้องตระหนักถึงความปลอดภัย และควรโยนความคิดแบบ “ไม่เป็นไร” ทิ้งไปเสียที จงศึกษาและปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยในทุกกรณี เช่น ไฟเหลืองแปลว่า เตรียมหยุด ไม่ได้แปลว่า เหยียบเต็มแรง

7) อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี (Environmental Health and Protection) คนฉลาดจะรู้ว่าเขาควรเลือกอยู่ในสถานที่ไหน เลือกคบใคร เลือกทำกิจกรรมแบบใด และเลือกรับข้อมูลข่าวสารอะไรจึงจะมีประโยชน์ที่สุด

8) มีความสามารถในการตอบโต้ความเครียดได้ดี (Stress Management) เมื่อเผชิญหน้ากับความกดดัน ต้องมีสติ รู้จักมองโลกในแง่ดี พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส

9) มีสุขภาวะทางอารมณ์ที่ดี (Emotional Well Being) สามารถรับรู้และบริหารจัดการอารมณ์ของตนเองและผู้อื่นได้อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์

ลองศึกษา และนำไปปฏิบัติดูนะครับ
ขอให้ทุกคนมี HQ ที่ดีครับ

Cr. ดร.วรวุฒิ เจริญศรีพรพงศ์

Posted on Leave a comment

อาหารทำลายสุขภาพที่แอบแฝงความเค็ม / ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

  เรารู้หรือไม่ว่า อาหารบางประเภทมีความเค็มแฝงตัวอยู่มากกว่าที่เราคิด สถาบันโรคหัวใจของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้กำหนดว่าร่างกายของเรารับระดับโซเดียมได้ไม่ควรเกิน 1,500 – 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน หากเราต้องการลดอาหารประเภทโซเดียมที่รับประทานในแต่ละวัน เราควรตรวจสอบสิ่งที่เรารับประทาน ซึ่งเราอาจแปลกใจที่ว่าอาหารบางประเภทนั้นมีปริมาณโซเดียมสูงกว่าที่เราคิดมาก

1. อาหารเย็นแช่แข็ง อาหารประเภทนี้ ง่ายต่อการรับประทาน โดยเฉพาะแม่บ้านสมัยใหม่ เพราะเพียงแค่ใส่เข้าไมโครเวฟ เพียงไม่กี่นาที แต่เราหารู้ไม่ว่าปริมาณของเกลือที่อยู่ในอาหารแช่แข็งจะมีมากถึง 1,250 มิลลิกรัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีน้ำแกงหรือเครื่องปรุงผสมอยู่ ดังนั้น ควรอ่านฉลากก่อนซื้อมารับประทาน

2. อาหารเช้าที่ทำสำเร็จรูป ประเภทซีเรียล ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่ควรระวัง บางยี่ห้ออาจมีผลไม้หรือลูกเกดผสม ซึ่งอาจมีปริมาณโซเดียมมากเกินความต้องการของร่างกาย เราควรเลือกอาหารเช้าประเภทข้าวสาลีหรือเลือกซีเรียลที่ข้างกล่องเขียนว่าปราศจากเกลือ

3. น้ำผลไม้ปั่นบางประเภท ผู้ปรุงอาจใส่ปริมาณเกลือที่มากเกินไปหรือน้ำผักปั่นที่อาจมีประมาณเกลือแร่ถึง 6.5 มิลลิกรัม

4. อาหารกระป๋อง อาหารเครื่องกระป๋องประเภทต่างๆ ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำเกลือผสมอยู่มากเพื่อป้องกันไม่ให้อาหารเน่าเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไส้กรอก เครื่องกระป๋องประเภทผัก แครอท ข้าวโพด หรือทูน่า ดังนั้น จึงควรระวังก่อนรับประทานควรเทน้ำออกจากกระป๋องก่อนเพื่อลดปริมาณโซเดียม

5. อาหารแพ็ก สำเร็จรูปประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อเค็ม ปลาหมึกเส้น อาหารประเภทนี้อาจมีประมาณโซเดียมถึง 362 มิลลิกรัมเลยทีเดียว

6. ซุปหรือแกงต่างๆ ซุป แกง และของเหลวต่างๆ ที่เรารับประทานเป็นถ้วยอาจมีปริมาณเกลือที่ผสมอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารสำหรับผู้ป่วยที่ทำสำเร็จในกระป๋อง มีปริมาณเกลือหรือโซเดียมถึง 831 มิลลิกรัม

7. น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ ซอสปรุงรสที่ใช้หมักอาหารเนื้อต่างๆมักมีบริมาณโซเดียมมากถึง 879 ถึง 1005มิลลิกรัม ดังนั้น จึงควรระมัดระวัง ควรเลือกน้ำส้มสายชู น้ำมะนาวในการปรุงรสต่างๆ เพื่อลดปริมาณเกลือ หรือใช้น้ำส้ม น้ำสับปะรดแทนในการหมักเนื้อสัตว์ เรารู้หรือไม่ว่าซอสปรุงรส เครื่องปรุงแกงกระป๋องต่างๆ หรือซอสสปาเกตตี้ แค่ครึ่งถ้วยมีบริมาณเกลือถึง 577 มิลลิกรัม ยังไม่รวมเส้นที่จะต้มทานอีกต่างหาก ดังนั้น ควรเลือกที่ฉลากเขียนว่า ปราศจากโซเดียม

8. เครื่องปรุงรสก๋วยเตี๋ยว ไม่ว่าจะเป็นพริก เกลือ น้ำปลา ฯลฯ ที่อยู่ในเครื่องปรุงแยกต่างหากจากเส้นก๋วยเตี๋ยว อาจมีปริมาณโซเดียมมากเกินความต้องการของร่างกาย

9. ถั่วกระป๋อง บางคนชอบทานถั่วต่างๆ เป็นอาหารว่าง ดังนั้น จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถั่วที่อยู่ในกระป๋องมักมีปริมาณโซเดียมผสมอยู่มาก

10. ของว่าง เช่นมันฝรั่ง พาย ถั่วต้ม ขนมปังกรอบ อาจมีปริมาณเกลือโซเดียมถึง 253 มิลลิกรัม ของกรุบกรอบบางอย่างมีปริมาณเกลือค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

อาหารที่เรารับประทานอาจมีปริมาณเกลือที่แอบแฝงอยู่เป็นจำนวนมากโดยที่เราคาดไม่ถึง ดังนั้น ควรอ่านฉลากก่อนรับประทานทุกครั้งเพื่อช่วยให้เราเลือกอาหารที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายได้ มารักษาสุขภาพเพื่อให้ร่างกายของเราแข็งแรงไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บกันดีกว่าค่ะ

 

 

 

Posted on Leave a comment

การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี

การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี

น้ำที่ดื่มถ้าจะให้ดีต้องเป็นน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนมากหรือเย็นจัด แต่ก็ยกเว้นในบางกรณี เช่น ตอนเช้าถ้าเป็นไปได้ควรดื่มน้ำอุ่นเพราะจะช่วยในการขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น ลำไส้ก็จะสะอาดมากขึ้นตามไปด้วย

การดื่มนั้นที่ถูกต้องนั้น ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือจะให้ดีก็วันละ 14 แก้ว หรือโดยเฉลี่ยแล้วควรดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัวของคุณ เช่น ถ้าคุณมีน้ำหนัก 60 kg. ก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือประมาณ 10 แก้วนั่นเอง (กรณีนี้ให้นับรวมปริมาณอื่น ๆด้วย เช่น น้ำจากผักผลไม้ แกง ก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ ด้วย)

ในตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือก่อนแปรงฟัน ควรดื่มน้ำ 2-4 แก้ว เป็นน้ำอุ่น ๆ ได้ก็จะดีมาก

ในระหว่างวันควรดื่มน้ำ 1 แก้วทั้งก่อนและหลังมื้ออาหารทุก ๆ มื้อ และในระหว่างช่วงสาย บ่าย เย็น ก็ควรดื่มน้ำอีกครั้งละ 1 แก้ว

ในช่วงก่อนนอน น้ำอุ่น ๆ สัก 1 แก้วจะดีมาก

การดื่มน้ำควรดื่มครั้งละแก้ว และที่สำคัญไม่ควรดื่มรวดเดียวหลาย ๆ แก้ว เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ “น้ำเป็นพิษได้”

ประโยชน์ของน้ำอย่าดื่มน้ำมากเกินไปก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือถ้าจะดื่มก็ควรดื่มน้ำก่อนสักประมาณครึ่งชั่วโมง หรือ 45 นาที

 ในระหว่างรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ไม่ดี

ภายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จไม่ควรดื่มน้ำทันที เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยควรดื่มหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วครึ่งชั่วโมง

หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นและน้ำอัดลม เพราะน้ำเย็นจะไปดึงความร้อนในร่างกายมาทำให้น้ำที่เราดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิเท่ากับร่างกายจึงจะดูดซึมได้ ทำให้ร่างกายเสียเวลาในการปรับสมดุลและสูญเสียพลังงาน

สำหรับคุณผู้หญิงบางท่านที่มักมีอาการปวดประจำเดือน ช่วงที่มีประจำเดือนควรงดดื่มน้ำเย็น เพราะการดื่มน้ำเย็นจะทำให้อาการปวดทวีความรุนแรงมากขึ้น

ดื่มน้ำเป็น เห็นประโยชน์ นะคะ

 

 

 

Posted on Leave a comment

7 ✮เทคนิคช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7 เทคนิคช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ✮กินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ และเป็นเวลา ควรงดอาหารว่างระหว่างมื้อ ถ้าหิวให้ดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ให้พลังงาน เช่น น้ำเปล่า น้ำสมุนไพร เช่น น้ำตะไคร้ น้ำใบเตย (ไม่ต้องเติมน้ำตาล) จะลดความรู้สึกหิวลงได้

2. ✮ห้ามงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะทำให้กินมากขึ้นในมื้อต่อไป

3. ✮ปริมาณอาหารควรจัดให้สมดุลตลอดวันทั้งมื้อเช้า กลางวัน และเย็น โดยเฉพาะควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารหลัง 6 โมงเย็น หรือช่วงกลางคืน

4. ✮ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์ก็ให้พลังงานไม่น้อยเลยทีเดียว คือ 1 กรัมให้พลังงาน 7 แคลอรี่ และแอลกอฮอล์กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร แอลกอฮอล์ยังให้พลังงานเพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้สารอาหารอื่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลย

5. ✮ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองในการดื่มเครื่องดื่มโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวาน เนื่องจากน้ำตาลกระตุ้นให้เกิดการรับประทานมาก เช่นเดียวกับสารที่ให้รสหวาน

6. ✮ไม่ควรรีบกินอาหาร ควรเคี้ยวช้าๆ การกินเร็วจะทำให้กินอาหารมากเกินอัตรา

7. ✮ควรคำนึงอยู่เสมอว่า การกินทุกครั้งไม่ใช่เพราะความอยากอาหาร แต่กินเพราะร่างกายจำเป็นต้องใช้พลังงานและสารอาหารในการดำรงชีวิต อันก่อให้เกิดสุขภาพดี

 

 

Posted on Leave a comment

กล้ามเนื้อเยอะ/น้อย ไขมันเยอะ/น้อย เป็นยังไง?

ดความอ้วน, ลดน้ำหนัก, อาหารเสริมลดน้ำหนัก, ลดน้ำหนักแบบปลอดภัย, ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก, ลดพุง,แขนใหญ่,ขาใหญ่,ลดต้นแขน,ลดต้นขา

มาดูกันว่ารูปร่างของเรานั้นเป็นแบบไหนเมื่อเปรียบเทียบมวลไขมันกับกล้ามเนื้อ

กล้ามเนื้อน้อย ไขมันเยอะ : บุคคลเหล่านี้สามารถหาได้จากพวกที่ออกกำลังกายหนักๆ คาร์ดิโอมากๆ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อสลายไป เช่น คนที่ออกกำลังกายประเภทวิ่งอย่างเดียว หรือกลุ่มคนที่เลือกที่จะอดอาหารโดยรับสารอาหารประเภทโปรตีนน้อย

กับอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเลย เพราะไม่ได้มีการเสริมสร้างกล้ามเนื้อแต่ยังกินปกติทำให้เกิดไขมันสะสม ถ้าคุณเป็นคนกลุ่มเหล่านี้ให้ลองจับเนื้อตัวเองดูจะรู้สึกว่าเนื้อเหลวๆไม่เต่งตึง

กล้ามเนื้อน้อย ไขมันน้อย : นี่คือกลุ่มบุคคลที่ผอมมากๆ ไม่ว่าจะกินอะไรเข้าไปก็เหมือนรู้สึกว่าไม่ได้รับสารอาหารอะไรเลย เพราะร่างกายไม่เอาไปสะสม หรือเสริมสร้างกล้ามเนื้อ อาจจะเกิดเพราะเป็นโรค หรือกรรมพันธุ์แต่กำเนิด ถ้าจะเสริมสร้างร่างกายให้กับบุคคลกลุ่มนี้ คือคุณต้องกินให้เยอะกว่าคนปกติและเล่นให้หนักกว่าบุคคลปกติ

กล้ามเนื้อเยอะ ไขมันเยอะ : บุคคลกลุ่มนี้สามารถหาได้ตามฟิตเนสทั่วไป เพราะคนกลุ่มนี้จะมีรูปร่างที่ใหญ่โตมาก (bulk) เน้นที่จะออกกำลังกายประเภทเวทเทรนนิ่งอย่างเดียว และเน้นการรับประทานอาหารอย่างบ้าคลั่ง โดยที่ไม่ใส่ใจอัตราการเผาผลาญของร่างกาย ทำให้มีไขมันสะสมในร่างกายค่อนข้างเยอะ (แต่ก็ทำให้ตัวดูหนาๆ) มองภายนอกอาจดูเหมือนแข็งแรง แต่ถ้าลองจับเนื้อดู จะรู้สึกว่าเนื้อจะนิ่มๆ ไม่ได้เห็นกล้ามเนื้อเป็นสัดส่วนชัดเจนมาก เพราะมีชั้นไขมันอยู่เยอะ

กล้ามเนื้อเยอะ ไขมันน้อย : เชื่อว่าใครๆก็อยากจะเป็นบุคคลกลุ่มนี้ เพราะบุคคลกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มี Fat% ค่อนข้างน้อย แต่มีมวลกล้ามเนื้อเยอะ ทำให้มองเห็นกล้ามเนื้อเป็นสัดส่วนและชัดเจน ทำให้รู้สึกใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูสวย (ไม่ใส่ก็ยังสวยอ่ะ) แต่จะเป็นคนกลุ่มนี้ได้ต้องใส่ใจเรื่องโภชนาการและการออกกำลังกายเป็นพิเศษ

***ลองเลือกดูนะคะว่าตัวเองอยู่กลุ่มไหน และในอนาคตอยากเป็นกลุ่มไหน เมื่อเลือกได้แล้วก็จงทำให้สำเร็จจ้า