Posted on Leave a comment

ประโยชน์จากไข่ไก่ ทำไมทุกคนจึงควรทาน

ไข่ไก่เป็นของขวัญที่ได้มาจากธรรมชาติ อุดมด้วยคุณค่าทางอาหาร ถือเป็นคลังโภชนาการของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ไข่ไก่มีคุณประโยชน์อะไรบ้าง และสำหรับกลุ่มคนที่ต่างกัน รับประทานอย่างไรจะได้ผลดีที่สุด

ไข่ไก่มีโปรตีน เลซิธิน (lecithin) วิตามิน A วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน D แคลเซียม และธาตุเหล็ก ล้วนเป็นสารโภชนาการที่ร่างกายต้องการ อย่างเช่น เลซิธิน มีคุณประโยชน์ในการบำรุงสมอง เพราะส่วนประกอบสำคัญของสมองคือเลซิธิน ถ้ารู้สึกสมองไม่สดใส เมื่อย จะต้องเสริมเลซิธิน ไข่แดงอุดมด้วยเลซิธิน สามารถช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองฟื้นฟูความสดใสได้ วิตามิน B มีประโยชน์คลายความเครียด ช่วยทำให้น้ำตาลกลายเป็นพลังงาน ในไข่แดงทุก 100 กรัม มีธาตุเหล็กถึง 150 มิลลิกรัม สามารถช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดได้มากขึ้น

สำหรับผู้ที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ไข่ไก่เป็นอาหารที่ดีในการช่วยคลายความเครียด บรรเทาความเมื่อยล้า และฟื้นฟูกำลังวังชา

ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องมีสารโภชนาการ 7 ประเภท ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เซลลูโรส แร่ธาตุ ไขมัน และน้ำ ไข่ไก่มีเกือบทุกอย่างยกเว้นเซลลูโรส
แต่ถ้ารับประทานไข่ไก่มากเกินควรอาจจะทำให้กระเพาะและลำไส้ทำงานหนักขึ้น และต้องรับประทานไข่ไก่ที่สุกเต็มที่ เพราะถ้าสุกๆ ดิบๆอาจมีเชื้อโรคตกค้างอยู่

ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยรับประทานไข่ไก่ เพราะนึกว่าไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ความจริง ไข่แดงยังมีเลซิธินมากด้วย ซึ่งสามารถทำให้ไขมันและคอเลสเตอรอลสูง แต่ความจริง ไข่แดงยังมีเลซิธินมากด้วย ซึ่งสามารถทำให้ไขมันและคอเลสเตอรอลละลายเป็นเม็ดเล็กๆ จนขับออกจากหลอดเลือดได้ เป็นผลดีต่อการป้องกันหลอดเลือดตีบ รักษาความยืดหยุ่น ดังนั้น ผู้สูงอายุควรรับประทานไข่ไก่วันละ 1 ฟองเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ปัจจุบัน ผู้หญิงให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นต่อการรักษาหุ่น และลดความอ้วน ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ไม่ต้องอดอาหาร เพียงแต่รับประทานไข่ไก่ 2 ฟองในช่วงเช้าก็จะได้ผล

เพราะในไข่ไก่อุดมด้วยสารโภชนาการที่ร่างกายต้องการ และแต่ละฟองมีเพียง 75 แคลอรีเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแต่ได้รับสารอาหารอย่างพอเพียงเท่านั้น แต่ยังทำให้รู้สึกอิ่มท้องด้วย นอกจากนี้ วิตามิน B1 และวิตามิน B2 ในไข่ไก่มีส่วนช่วยขจัดไขมัน และธาตุเหล็กในไข่ไก่สามารถช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือด ทำให้ใบหน้าสดใสด้วย

 

 

Posted on Leave a comment

5 วิธีเผาผลาญไขมันในที่ทำงาน

   ในวันทำงาน ขณะที่คุณต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โต๊ะทำงาน สำหรับคนที่ตระหนักถึงการดูแลรักษาสุขภาพ

   คุณสามารถกระตุ้นประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ด้วยวิธีการต่อไปนี้

1. การใช้โทรศัพท์: โดยปกติเรามักจะนั่งคุยโทรศัพท์ ซึ่งถ้าทำแบบนั้นนานๆ มักเกิดความเมื่อยล้า ลองเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการลุกขึ้นยืนในขณะที่คุยโทรศัพท์ แล้วค่อยๆ เขย่งปลายเท้าขึ้น-ลง เป็นระยะๆ จะช่วยให้คุณได้ออกกำลังกล้ามเนื้อส่วนน่องไปด้วย

2. ดื่มน้ำครั้งละน้อยๆ แต่ดื่มบ่อยๆ: พยายามหาวิธีที่ทำให้คุณต้องเดินไปรินน้ำดื่ม 1 แก้วทุกๆ ครึ่งชั่วโมง การทำเช่นนั้นเป็นการบังคับให้คุณต้องลุกขึ้นเดินทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ซึ่งการดื่มน้ำบ่อยๆ จะเกิดผลดีต่อสุขภาพของคุณอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณรู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมาและอยากเข้าห้องน้ำ คุณก็จะได้ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นจากการเดินไปห้องน้ำ และการลุกขึ้นเดินบ่อยๆ ยังช่วยให้คุณได้เปลี่ยนอิริยาบถ แทนที่จะนั่งทำงานอยู่เป็นเวลานาน

3. ออกกำลังที่โต๊ะทำงาน: ขณะที่นั่งทำงาน คุณสามารถออกกำลังกล้ามเนื้อต้นขา หน้าท้องและบั้นท้าย โดยการนั่งตัวตรง งอเข่า ขาชิดกัน เหยียดขาให้ฝ่าเท้าแนบราบกับพื้น จากนั้นให้พยายามยกเท้าขึ้นจากพื้นสูงประมาณ 4-5 นิ้ว ทำพร้อมกับการเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาและบั้นท้าย ค้างไว้สัก 5 วินาที ทำซ้ำๆ บ่อยๆ ยิ่งมากได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี

4. อาสาช่วยเหลือเพื่อนๆ ในที่ทำงาน: เช่น ชงกาแฟ ถ่ายเอกสาร ฯลฯ นอกจากทำให้คุณได้ยืดเส้นยืดสายไปในตัว ยังเป็นการเอาอกเอาใจเพื่อนๆ ให้มีความรู้สึกที่ดีต่อคุณได้อีกทางหนึ่ง

5. ไม่สั่งอาหารกลางวันมาทานในออฟฟิศ: แม้ว่างานจะยุ่งสักเพียงใด การสั่งอาหารมื้อเที่ยงเข้ามาทานไม่เป็นการดีต่อคุณเลย พยายามสละเวลาออกไปทานมื้อเที่ยงข้างนอก เพื่อให้คุณได้ขยับแข้ง-ขา ยืดเส้นยืดสายไปในตัว เมื่อทานมื้อเที่ยงเสร็จ การเดินกลับที่ทำงานจะช่วยย่อยอาหารและเป็นการออกกำลังกายไปในตัว

5 ข้อที่กล่าวมา คงทำให้หลายคนสุขภาพดีขึ้น หากนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

 

 

 

Posted on

คอเลสเตอรอล (Cholesterol) กับสุขภาพ

หลายคนอาจจะคุ้นหูกันดีว่า “คอเลสเตอรอลสูง” นั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของเราเท่าไหร่


แต่หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าคอเลสเตอรอลนั้นคืออะไร ทำไมถึงมีอิทธิพลต่อสุขภาพของเราอย่างเหลือร้าย

วันนี้เราจะมาอธิบายว่า “คอเลสเตอรอลสูง” ที่หลายๆคนได้ยินมาคืออะไร รวมถึงวิธีการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากภาวะคอลเลสตอรอลสูงมาฝากค่ะ

คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คืออะไร?

คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คือ ไขมันประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายของเรา อีกทั้งยังเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์น้ำดีที่มีส่วนย่อยไขมันที่เรากินเข้าไป อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการผลิตสารจำพวกสเตียรอยด์ฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนที่ควบคุมระบบเกลือแร่ และการทำงานของไต อีกด้วย และยังเป็นองค์ประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ของอวัยะต่างๆในร่างกาย รวมถึงมีอยู่ในสมองของเราด้วย
แม้ว่าคอเลสเตอรอลจะส่งผลดีต่อร่างกายของเรา แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ก็จะกลายเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ เพราะเจ้าไขมันเหล่านี้จะไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดง และเกาะหนาขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้โพรงหลอดเลือดแดงแคบลง ก่อให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบตัน และเลือดไม่สามารถเดินทางไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆในร่างกายได้เพียงพอ

คอเลสเตอรอล มาจากอะไร?

หลายคนอาจจะคิดว่า คอเลสเตอรอลในร่างกายที่มีมาจาก “อาหาร” อย่างเดียวเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงนั้น ร่างกายของเรามีการสร้าง คอเลสเตอรอล ขึ้นมาเอง อวัยวะที่มีหน้าที่สร้างไขมันชนิดนี้ก็คือ “ตับ” นั่นเองค่ะ
เนื่องจาก คอเลสเตอรอลคือไขมันที่ไม่สามารถละลายในน้ำได้ ก่อนที่ร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์จึงจะต้องมีการรวมตัวเข้ากับโปรตีนที่มีชื่อว่า อะโพโปรตีน (apoprotein) เพื่อเปลี่ยนไขมันส่วนนี้ให้เป็น ไลโพโปรตีน (lipoprotein) ก่อน จากนั้นคอเลสเตอรอลที่อยู่ในรูปแบบของ ไลโพโปรตีน (lipoprotein) จะถูกดูดซึมเข้าร่างกายต่อไป

คอเลสเตอรอล ส่งผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง
คอเลสเตอรอลจะส่งผลต่อร่างกายอยู่ 2 สภาวะ ได้แก่ ภาวะร่างกายมีคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำ และ ภาวะร่างกายมีคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งทั้ง 2 สภาวะนี้จะส่งผลแก่ร่างกายที่แตกต่างกันออกไป

1.ภาวะร่างกายมีคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำ
แม้ว่าภาวะคอเลสเตอรอลสูง จะเป็นภาวะที่หลายๆคนวิตกกังวล แต่รู้หรือไม่คะว่า ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำก็ส่งผลร้ายกับร่างกายของเราได้เช่นกัน นั่นก็เพราะว่า
• คอเลสเตอรอลเป็นสารที่จำเป็นต่อระบบประสาท เป็นอาหารสมอง หากขาดไปย่อมส่งผลเสียต่อสมองของเราแน่ๆ
• คนที่มีระดับคอเลสเตอรอล 200 – 225 มีอายุยืนกว่า ผู้ที่มีระดับคอเลเตอรอลที่ 150 – 200
• คนที่มีระดับคอเลสเตอรอลต่ำ(มากจนเกินไป) มักมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคมะเร็ง และโรคร้ายแรงอื่นๆ
• ร่างกายที่มีการลดระดับคอเลสเตอรอลเร็วจนเกินไป อาจจะส่งผลให้คนๆนั้นเกิดภาวะคิดค่าตัวตายได้
2. ภาวะร่างกายมีคอเลสเตอรอลสูง
• หากร่างกายของเรามีคอเลสเตอรอลที่สูงมากจนเกินไป จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดคราบไขมันสะสมที่หลอดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบได้
• เมื่อเกิดภาวะหลอดเลือดตีบ จะส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้
• เสี่ยงต่อภาวะเส้นเลือดสมองอุดตัน หรือเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตกได้ อาการที่ตามมาจากภาวะหลอดเลือดในสมองแตก ก็คือ ร่างกายสูญเสียการทรงตัว อาจทำให้กลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตหรือพาร์คินสันได้ แต่หากเกิดขึ้นกับสมองในส่วนรับรู้ อาจจะทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์(ภาวะความจำเสื่อม) ได้
• เสี่ยงต่อการคั่งของไขมัน ส่งผลให้ตับทำงานช้าลง หรือเกิดภาวะไขมันพอกตับ (fatty liver) ได้ ภาวะนี้ส่งผลทำให้ตับหรือไตสูญเสียการทำงาน อาจส่งผลให้ตับวาย หรือเสียชีวิตได้
• ภาวะคอเลสเตอรอลสูง ยังส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีความเสี่ยงทางด้านพันธุกรรมหรือผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง และผู้ป่วยโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ตับทำงานสร้างคอเรสตอรอลมากกว่าปกติอีกด้วย
จากที่กล่าวมาข้างต้น สิ่งที่จะเป็นสัญญาณว่าคุณถึงเวลาต้องลดคอเลสเตอรอลหรือยัง คือผลการตรวจร่างกายประจำปี ของคุณนั่นเองค่ะ และวิธีการป้องกันภาวะคอเลสเตอรอลสูงได้ดีที่สุด คือ ควรหาเวลาออกกำลังกาย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน (วันละครึ่งชั่วโมง) เพื่อเพิ่มปริมาณ HDL ในเลือด เพื่อให้ HDL ต่อกรกับไตรกลีเซอร์ไรด์อย่างได้ผลดีที่สุด

Posted on Leave a comment

15 สรรพคุณ…ประโยชน์ของทุเรียน กินพอดีได้ประโยชน์ กินมากได้โทษ

หากเอ่ยชื่อ “ราชาผลไม้ไทย” คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ทุเรียน”(Durian) ผลไม้ที่มีเปลือกเป็นหนาม เนื้อสีเหลืองทองกับรสชาติเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกับผลไม้ใดๆ ในโลก อีกทั้งกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ บางคนก็ว่าเหม็น บางคนก็ว่าหอม อีกทั้งในช่วงฤดูกาลของทุเรียน ราชาผลไม้เนื้อแน่นรสหวานมันก็จะมีราคาสูงขึ้นไปตามพันธุ์ และขนาดของมัน เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ทุเรียน” หากกินในปริมาณที่มากเกินไปก็จะให้โทษแก่ร่างกายได้ เพราะเป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และทำให้ตัวร้อน แต่จริงๆ แล้วทุเรียนมีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่นๆ อย่างที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

15 สรรพคุณของทุเรียน…ประโยชน์ที่ใครหลายคนอาจยังไม่รู้

1. ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง
2. เนื้อทุเรียนช่วยฆ่าเชื้อโรคในร่างกายได้ เพราะกำมะถันในเนื้อทุเรียนจะทำหน้าที่เสมือนยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ
3. ประโยชน์ของทุเรียนช่วยเผาผลาญ ทุเรียนเป็นผลไม้ที่กินแล้วทำให้ร่างกายเกิดความร้อน จึงเป็นผลไม้ที่ช่วยเผาผลาญได้
4. ทุเรียนมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ เนื้อทุเรียนมีกากใยอาหารสูงมากๆ ดีต่อระบบขับถ่าย กินแล้วช่วยระบายท้องได้ดี
5. ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง หากกินแต่พอดีก็จะได้รับไขมันดีที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย
6. ทุเรียนมีฟอสฟอรัส ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
7. ทุเรียนมีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะทุเรียนพันธุ์หมอนทอง มีใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าทุเรียนพันธุ์อื่นๆ
8. ทุเรียนพันธุ์หมอนทองช่วยลดไขมันเลวในร่างกายได้
9. เนื้อทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง ช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่แข็งแรง
10. เนื้อทุเรียนดิบมีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
11. ทุเรียนมีประโยชน์ ลดผมขาว ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีวิตามินบี 9 สูง ช่วยชะลอการเกิดผมหงอก ผมขาวได้
12. ทุเรียนมีสรรพคุณแก้ท้องเสีย รากทุเรียนเป็นยาตำรับโบราณ ใช้แก้ท้องร่วง ท้องเสียได้
13. ใบทุเรียนเป็นสมุนไพรใช้ขับพยาธิ
14. เปลือกทุเรียนช่วยเยียวยาแผลเปื่อย แผลพุพองได้
15. ประโยชน์ของทุเรียนบำรุงผิว เนื้อและเปลือกของทุเรียนสามารถแก้โรคผิวหนัง และทำให้สีผิวเสมอกัน
นอกจากสรรพคุณและประโยชน์ของทุเรียนทั้ง 15 ข้อนี้แล้วทุเรียนยังได้ชื่อว่าเป็นผลไม้แห่งความอุดมสมบูรณ์ และเป็นผลไม้ที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจ อยากจะได้ลิ้มลองมากที่สุด ด้วยรสชาติที่มีความเฉพาะตัว มีความหวานมันทำให้ทุเรียนสามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น ทุเรียนทอดกรอบ ทุเรียนแช่อิ่ม ทุเรียนกวน ทุเรียนดอง ทอฟฟี่ทุเรียน ไอศกรีมรสทุเรียน ไส้ขนมปังและขนมไหว้พระจันทร์ ส้มตำทุเรียน ข้าวเหนียวทุเรียนน้ำกะทิ เป็นต้น
เปลือกทุเรียน…มีประโยชน์ ทิ้งแล้วจะเสียดาย
นอกจากเนื้อทุเรียนจะสามารถนำไปแปรรูปได้แล้ว “เปลือกทุเรียน” ก็ยังมีประโยชน์ด้วยเหมือนกัน อย่าเพิ่งทิ้งเปลือกที่เต็มไปด้วยหนามแหลมเป็นอันขาด เพราะเปลือกทุเรียนเป็นยารักษาโรคตานซาง และโรคที่เกี่ยวกับน้ำเหลืองได้ อีกทั้งเปลือกของทุเรียนยังสามารถนำไปรีไซเคิลเป็นกระดาษชนิดต่างๆ ได้อีกด้วย
เห็นประโยชน์ของทุเรียนไปแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะกินทุเรียนได้ไม่อั้นนะ เพราะทางการแพทย์เคยได้ออกมาเตือนแล้วว่ากินทุกเรียนมากๆ ไม่ได้เป็นผลดีต่อร่างกาย ใครที่ขี้ร้อนง่ายๆ หรือมีธาตุร้อน กินทุเรียนมากๆ อาจถึงตายได้ โดยเฉพาะการกินทุเรียนพร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะยิ่งทำให้ร่างกายมีความร้อนสูง ส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุล

ผู้ป่วยโรคใดไม่ควรกินทุเรียน

1. ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรกินทุเรียน เพราะทุเรียนมีแป้งและน้ำตาลสูง
2. ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด หากกินทุเรียนในปริมาณมากจะทำให้จุก แน่น หายใจติดขัด
3. ผู้ป่วยโรคความดันสูง ไม่ควรกินทุเรียนมากเนื่องจากจะทำให้แน่นท้อง หายใจไม่ออกเช่นเดียวกับโรคหอบหืด
4. ผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ไม่ควรกินทุเรียนมากเนื่องจากจะทำให้เกิดอาการแน่นท้อง
5. ผู้ป่วยโรคหัวใจ ไม่ควรกินทุเรียนเนื่องจากในทุเรียนมีกำมะถันสูง
6. ผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่ควรกินทุเรียนที่สุกงอม หรือหวานจัดมากเกินไปเนื่องจากส่งผลต่อความดันเลือด
7. ผู้ป่วยโรคไต ไม่ควรกินทุเรียนเนื่องจากในทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง
ได้รู้ทั้งประโยชน์ และโทษของทุเรียนไปแล้ว ก็หวังว่าผู้ที่โปรดปรานความหอมมันของทุเรียนจะพึงกินอย่างระวัง และกินอย่างพอดี เพื่อไม่ให้ทุเรียนของโปรดมาส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เพราะกินพอดีๆ ก็จะได้ประโยชน์ไป แต่ถ้ากินแบบไม่รู้จักพอก็จะได้รับโทษจากทุเรียน ส่วนผู้ที่เป็นโรคตามที่กล่าวไปข้างต้นก็ควรเลี่ยงผลไม้อย่างทุเรียน หรือกินทุเรียนให้น้อยลง ด้วยความหวังดีนะจ๊ะ

Posted on Leave a comment

คุณอ้วนแบบไหน? ละมาดูว่าแต่ละแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?

หลายคนคงมีปัญหาเกี่ยวกับ หน้าท้อง หรือพุง ที่ยื่นออกมา แต่ช้าก่อนอย่าเพิ่งเหมารวมว่าอ้วน เพราะว่าทานเยอะอย่างเดียว วันนี้มาดูกันว่าความอ้วนแต่ละแบบนั้น บอกอะไร เราไปดูกันเลย

1. Obesity of food โรคอ้วนจากอาหารชนิดที่พบมากของโรคอ้วน ในโลก คือโรคอ้วนจากอาหาร มันเกิดขึ้นกับการรับประทานอาหารและ น้ำตาล มากเกินไป

2. Obesity “nervous stomach โรคอ้วนจากความวิตกกังวล ความเครียดลงกระเพราะ และภาวะซึมเศร้าเป็นเหตุ

3. Gluten obesity โรคอ้วนจากภูมิแพ้อาหารที่มี Gluten ประเภทขนมปัง และธัญพืช (เบเกอรี่)

4. Atheros Genic โรคอ้วนจากระบบเผาผลาญ อาหารรวมถึง ระบบการหายใจ

5. Obesity due to venous circulation โรคอ้วนเกิดจาก การไหลเวียนของเลือดดำ น่าจะเป็นโรคอ้วน มากที่สุดสืบทอดทางพันธุกรรม มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตั้งครรภ์ หรือคนที่มีขาบวม

6. Obesity of inactivity โรคขี้เกียจ แปลง่ายๆคือ ไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่ใช้งานอวัยวะ เลยอ้วนซะเลย

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส

 

 

 

 

Posted on Leave a comment

สังเวชนียสถาน ๔

พระบรมศาสดาจึงนำเหล่าภิกษุสงฆ์เสด็จพุทธดำเนินข้ามแม่น้ำหิรัญญวดีในเมืองกุสินารานคร แล้วเสด็จเข้าไปประทับ ณ สาลวันอุทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ใกล้เมือง กุสินารานคร แคว้นมัลละ โปรดให้พระอานนท์ปูลาดเตียงที่บรรทม ณ ระหว่างไม้รัง ต้นสาละ ทั้งคู่ แล้วเสด็จบรรทมสีหไสยา เป็นการนอนอย่างราชสีห์ คือนอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มือซ้ายพาดไปตามลำตัว มือขวาช้อนศีรษะไม่พลิกกลับไปมา มีสติสัมปชัญญะ แต่มิมีอุฏฐานสัญญามนสิการ คือ ไม่มีพุทธประสงค์จะลุกขึ้นอีกต่อไป เนื่องจากเป็นไสยาวสาน คือ นอนครั้งสุดท้ายจึงนิยมเรียกว่า อนุฏฐานไสยา คือนอนโดยไม่ลุกขึ้นอีก

ในเวลานั้น พระอานนท์เถระเจ้าได้กราบทูลว่า

ในกาลก่อนเมื่อออกพรรษาแล้ว บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายในทิศต่าง ๆ ได้เข้าใกล้ สนทนาปราศัยได้ความเจริญใจ ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายจักไม่ได้โอกาสอันดีเช่นนั้น เหมือนกับเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่อีกต่อไป

เมื่อพระอานนท์กราบทูลเช่นนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า

อานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ ตำบลนี้ เป็นสถานที่ควรแก่ความสังเวช เมื่อผู้มีศรัทธาได้ไปยังสถานที่ ๔ แห่งนี้ด้วยความเลื่อมใสเมื่อทำการกิริยา คือ ตายลงแล้ว จักได้ถึงสุคติ ไปเกิดในโลกสวรรค์ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ อันได้แก่

. สถานที่พระพุทธองค์ประสูติจากพระครรภ์

. สถานที่พระพุทธองค์ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

. สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจักร

สถานที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน

อนึ่ง สังเวชนียสถาน มีความหมายถึง เป็นสถานที่ตั้งแห่งความสังเวช แต่คำว่าสังเวชในทางธรรมนั้น มีความหมายลึกซึ้งกว่าความหมายของคำว่าสังเวชที่พบเห็นกันทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ ในทางธรรมหมายถึง ความรู้สึกสลดใจที่ทำให้คิดได้ถึงพระไตรลักษณ์ คือ ความเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ความทุกข์สลดใจ ความยึดมั่นถือมั่นไว้ไม่ได้ ทำให้จิตใจหันมานึกถึงสิ่งที่ดีงามเกิดความไม่ประมาท เพียรพยายามทำสิ่งที่เป็นกุศลต่อไป จึงจะเรียกว่า สังเวช

สถานที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสูติกาลจากพระครรภ์พระมารดา คือ อุทยานลุมพินี ตั้ง อยู่กึ่งกลางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวงของแคว้นสักกะ กรุงเทวทหะเป็นเมืองหลวงของแคว้นโกลิยะ ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาลห่างชายแดนภาคเหนือของประเทศอินเดีย ๖ กิโลเมตรครึ่ง บัดนี้เรียกว่า รุมมินเด

มายาเทวีวิหาร อุทยานสวนลุมพินีขอบคุณภาพจาก วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์


. สถานที่พระพุทธองค์ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือ ใต้ร่มไม้พระศรีมหาโพธิ์ ภายในป่าสาละ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ปัจจุบันคือ ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ ที่ตำบลพุทธคยา รัฐพิหารประเทศอินเดีย

มหาเจดีย์ที่พุทธคยาสถานที่ทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ


. สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจักร คือ สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา โปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทางทิศเหนือของเมืองพาราณสี แคว้นกาสี ปัจจุบันนี้เรียกว่า สารนาถพาราณสี บัดนี้เรียกว่า วาราณสี ประเทศอินเดีย

ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สารนาถพาราณสีสถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนาธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร

. สถานที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน คือ ที่สาลวโนยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ปัจจุบันนี้เรียก เมืองกาเซีย จังหวัดโครักขปุระ ประเทศอินเดีย

สาลวโนยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละสถานที่ปรินิพพานขอบคุณภาพจากวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์


สถานที่ทั้ง ๔ ตำบลนี้แล ควรที่พุทธบริษัท คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระตถาคตเจ้า จะดูจะเห็นและควรจะให้เกิดความสังเวชทั่วกัน