สูตรเด็ด น้ำจิ้มปลาหมึกแห้งบดย่าง
หากลงทุนซื้อเครื่องบดปลาหมึกได้ เมนูนี้ก็ไม่มีอะไรยากเลยค่ะ เน้นที่น้ำจิ้มอย่างเดียว สำหรับ ปลาหมึกแห้งบดย่าง ที่ใครๆ ก็ต่างพากันนึกถึงสตรีทฟู้ด ตลาดนัดยามค่ำคืน เชื่อว่าหลายๆ คนตอนเป็นเด็กต้องชอบกิน แล้วต้องไปยืนมุ่งดูพ่อค้าบดปลาหมึก จนอยากช่วยเขาบดเพราะเห็นแล้วมันน่าสนุกจริงๆ
สูตรเด็ด น้ำจิ้มปลาหมึกแห้งบดย่าง
ส่วนผสม
• ปลาหมึกแห้ง
• น้ำตาลทราย 2 ถ้วย
• น้ำเปล่า 3/4 ถ้วย
• น้ำมะขามเปียก 1/4 ถ้วย
• น้ำกระเทียมดอง 1/4 ถ้วย
• เกลือป่น 1 1/2 ช้อนชา
• น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
• ถั่วลิสงคั่วบด
• พริกป่น
วิธีทำ
1 นำปลาหมึกแห้งมาย่างจนหอม จากนั้นก็นำไปบดด้วยเครื่องจนตัวปลาหมึกบาง
2 จากนั้นก็มาทำน้ำจิ้ม โดยตั้งหม้อใส่น้ำและน้ำตาลทรายลงไป ตามด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำกระเทียมดอง เกลือป่น และน้ำส้มสายชู คนจนทุกอย่างเข้ากันดี
3 นำน้ำจิ้มใส่ถ้วย แล้วโรยด้วยถั่วลิสงคั่วบดและพริกป่น เสิร์ฟพร้อมกับปลาหมึกได้เลยค่ะ
เรียบเรียงโดย Food MThai
?✦ทานคาร์โบไฮเดรตอย่างฉลาด ❝ไม่มีอ้วน ❞
อย่างที่เราเคยเรียนกันมาสมัยเด็กๆ อาหารหมู่สองจากอาหาร 5 หมู่ที่จำเป็นต่อร่างกายคือ คาร์โบไฮเดรต หรือเรียกสั้นๆย่อๆว่า “คาร์บ”
คาร์บเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย มีอยู่ในอาหารจำพวก ข้าว เมล็ดพืช ผลไม้ ผัก พืชหัว เครื่องปรุงที่มีรสหวาน นอกจากนี้การการผลิตอาหารเกือบทุกชนิด จะมีน้ำตาลอยู่ ซึ่งน้ำตาลก็มากจากอ้อย หรือ น้ำหวานของพืชนั่นเอง เรียกได้ว่าเราทานคาร์บกันตลอดแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมจะให้พลังงานแก่ร่างกายประมาณ 4 kcal
?✦ทำไมร่างกายของเราจึงต้องการคาร์โบไฮเดรต
ร่างกายคนเราใช้พลังงานจากสองแหล่งใหญ่คือ พลังงานจากไขมัน และ พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ซึ่งคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญแหล่งใหญ่ของร่ายกายเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นพลังงานที่ใช้ในการทำกิจกรรมและการขับเคลื่อนระบบอวัยวะต่างๆ สมอง หัวใจ ระบบการหายใจ ให้ทำงานและดำรงค์ชีวิตอยู่ได้นั่นเอง
?✦กินคาร์โบไฮเดรตเยอะๆแล้วทำให้อ้วนจริงเหรอ?
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจหลักการของการย่อยคาร์บมาเป็นพลังงานเสียก่อน เมื่อร่างกายได้คาร์บเข้าไปไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด จะข้าว น้ำตาล แป้ง ขนมปัง ผลไม้ ผัก คาร์บเหล่านี้จะถูกย่อยเป็นโมเลกุลที่เล็กลง คือกลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวหรือที่เรียกว่า กรูโคส และจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด กระจายไปตามเซลต่างๆและนำไปใช้เป็นพลังงานของระบบอวัยวะต่างๆในร่างกาย
จากนั้นส่วนที่เหลือจะถูกลำเลียงนำไปเก็บเอาไว้ในตับและกล้ามเนื้อ หรือ ที่เรียกว่า “ไกลโคเจน” ส่วนที่เหลือจากเก็บในกล้ามเนื้อและตับ (ไกลโคเจน) อีกส่วนที่เหลือจากเก็บจะถูกตับแปรสภาพกักเก็บไว้เป็นพลังงานสำรองในรูปแบบของไขมัน ซึ่งไขมันเหล่านี้จะค่อยๆสะสมพอกพูนขึ้นใต้ชั้นผิวหนังและตามอวัยวะภายในต่างๆ เราจึงค่อยๆอ้วนขึ้น เพราะอย่าลืมว่าทุกครั้งที่ร่างกายใช้พลังงาน ร่างกายจะใช้พลังงานจากอาหารที่ทานเข้าไปก่อน จากนั้น มาใช้พลังงานไกลโคเจน เมื่อทั้งสองแหล่งนี้หมดลงจึงจะดึงไขมันสะสมมาใช้ ตามลำดับ
?✦นอกจากนี้อีกเหตุผลนึงที่ทำให้คาร์บเป็นตัวการของความอ้วน..คือ **การทานคาร์บที่ย่อยไว อย่างแป้งขาว ขนมปัง น้ำตาล ขนมหวาน น้ำอัดลมใน**ปริมาณมากเกินไป คาร์บเหล่านี้เป็นคาร์บที่ร่างกาย**ดูดซึมได้ง่ายเมื่อดูดซึมง่ายก็จะทำให้มีน้ำตาล(กลูโคส)อยู่ในกระแสเลือดมาก
เมื่อมีน้ำตาลมากขนาดนั้น ร่างกายจะส่งสัญญาณไปที่ตับอ่อนให้เพิ่มระดับอินซูลินขึ้นเพื่อลดระดับน้ำตาลเลือด โดยการเร่งนำพลังงานไปใช้ในระบบ เก็บเป็นไกลโคเจน แต่ด้วยกลูโคสมีจำนวนมากและปริมาณกล้ามเนื้อมีจำนวนจำกัดหรือไม่สามารถกักเก็บได้ทัน จึงนำไปเก็บไว้ในรูปไขมันสะสมที่ทำได้ง่ายและไม่มีพื้นที่จำกัดแทนกรณีที่จะทำให้ได้รับคาร์บมากเกินไปทานคาร์บรวมต่อวันมากเกินไป
?✦การทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต
❝มากเกิน ❞ กว่า ❝ การนำไปใช้ ❞
และการเก็บในแต่ละวัน ทำให้มีส่วนของพลังงานเหลืออยู่มาก พื้นที่ในการจัดเก็บไกลโคเจนก็มีจำนวนจำกัด เมื่อเป็นเช่นนี้พลังงานส่วนที่เหลือจึงแปรสภาพเป็น>>>ไขมันสะสม ทานเยอะเกินไปในคราวเดียว
การทานมื้อหนัก หรือการทานคาร์บที่ย่อยเร็วครั้งละมากๆจะทำให้ร่างกายไม่สามารถกักเก็บพลังงานได้ทัน ทั้งที่ยังมีพื้นที่ในกล้ามเนื้อว่างอยู่ ร่างกายจึงเลือกที่
่ลดปริมาณน้ำตาลโดยการจัดเก็บในรูปแบบของไขมันที่ง่ายและเร็วกว่า ไม่ทานคาร์โบไฮเดรตเลยได้ไหม
เมื่อมาถึงตรงนี้หลายคนคงขยาดกลัวกับการทานแป้งไปเลย พาลจะบอกเลิกตัดขาดการทานคาร์บไป ซึ่งมีหลายทฤษฎีลดน้ำหนักที่ใช้วิธีการพร่องแป้ง หรือการจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้อยู่ในระดับต่ำ อย่าง ทฤษฎี Atkins และ Ketogenic (จะมานำเสนอในคราวต่อไป)
ซึ่งสามารถลดปริมาณไขมันได้จริง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
?✦เพราะการที่ลดปริมาณคาร์บให้ต่ำมากๆ จะทำให้ ✦ร่างกายขาดสารอาหาร กลุ่ม วิตามินบี และด้วยที่คาร์บเป็นพลังงานหลักในการดำรงค์ชีวิต การลดคาร์บให้ต่ำจำเป็นจะต้องเพิ่มพลังงานให้ร่างกายจากส่วนอื่นแทนโดยการเพิ่มปริมาณการทานไขมันและเนื้อสัตว์ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับไขมันไขมันอิ่มตัวและคอเรสเตอรอล ที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตได้ ***
***นอกจากนี้เมื่อเราตัดคาร์บปริมาณน้ำตาลในเลือดของเราจะต่ำลง ***
?✦ปริมาณพลังงานคาร์บไม่เพียงพอ✦ทำให้การเผาผลาญไขมัน.. ✦ไม่สมบูรณ์ ทำให้ไขมันก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารประเภท ketone ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ตับ มีผลทำให้ร่างกาย>>อ่อนเพลีย >>วิงเวียน >>หน้ามืด >>หงุดหงิด >>อารมณ์แปรปรวน
ในกรณีที่อดอาหารอย่างอื่นร่วมด้วยร่างกายจะลดการเผาผลาญไขมันลง พร้อมกลับค่อยๆย่อยสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาแทน เมื่อกล้ามเนื้อน้อยจะทำให้เมื่อกลับมาทานคาร์โบไฮเดรตเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้เกิดไขมันสะสมได้ไวกว่าปรกติ หรือเกิดภาวะโยโย่เอฟเฟกนั่นเอง
ทานคาร์โบไฮเดรตอย่างฉลาดไม่มีอ้วน
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้
?✦เราต้องเลือกวิธีการทานคาร์บอย่างฉลาด คือในแต่ละวันจะต้องกำหนดปริมาณการทานคาร์บให้พอเหมาะกับความต้องการ คือประมาณ 40% ของปริมาณพลังงานรวมที่ต้องใช้ต่อวัน และควรเลือกทานคาร์บเชิงซ้อนจำพวก #ข้าวแป้งไม่ขัดสี #ธัญพืช #ที่ย่อยและดูดซึมได้ช้า #ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อยๆขึ้นอย่างช้าๆ #มีเวลาในการจัดเก็บพลังงานไกลโคเจนได้ทัน
นอกจากนี้การเลือกเวลาในการทานคาร์บก็สำคัญ ควรเลือกทานคาร์บในมื้อก่อนที่จะต้องใช้พลังงาน เช่นมื้อเช้า หรือมื้อก่อนออกกำลังกาย และลดปริมาณการทานคาร์บในมื้อ…ดึก หรือ ช่วงก่อนเข้านอน เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานไกลโคเจน และลดการสะสมคาร์บเป็นไขมัน
สิ่งสำคัญอีกสิ่งคือ การเพิ่มพื้นที่การกักเก็บคาร์บ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยระบายไกลโคเจน ทำให้มีพื้นที่ในกล้ามเนื้อเหลือพอที่จะกักเก็บ และการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ เมื่อมีกล้ามเนื้อมากก็สามารถเก็บไกลโคเจนได้มาก คนที่ออกกำลังกายจึงอ้วนยากกว่าคนที่คุมอาหารเพียงอย่างเดียว
ส่งต่อความปราราถนาดี by Ammie @club.agirl
หลายๆคนที่ลงพุง คงเคยตั้งคำถามนี้กับตัวเอง และหมดกำลังใจกับการลดน้ำหนัก เพราะไม่ว่าจะอดอาหารอย่างไร หรือออกกำลังกายวันละหลายชั่วโมง สัปดาห์ละหลายวัน ก็ยังไม่สามารถเอาห่วงยางรอบเอวออกไปได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ..เรามาดูคำตอบของเรื่องนี้กันค่ะ
ร่างกายก็เหมือนกับโรงงาน
มีฮอร์โมนเป็นตัวควบคุมการทำงานของเครื่องจักรให้ทำงานปกติ
กลไกการทำงานภายในร่างกายคนเรา ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็คงคล้ายกับโรงงาน เราต้องการพลังงาน ก็คือการรับประทานอาหาร มีการใช้พลังงาน มีการเผาผลาญอาหารเป็นพลังงาน และใช้หมดไป
เครื่องจักรต้องมีการควบคุมให้ทำงานได้ตามปกติ ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับฮอร์โมน ที่คอยควบคุมการทำงานของกลไกต่างๆของร่างกายให้ทำงานได้เป็นปกติ
ร่างกายที่ทำงานปกติ ก็จะมีการใช้พลังงาน เผาผลาญอาหารเป็นพลังงานตลอดเวลา ก็จะไม่เกิดการสะสมของไขมัน ก็คือ ❝ ไม่อ้วน ❞
แล้วเกิดอะไรกับคนอ้วน ทำไมร่างกายไม่นำพลังงานไปใช้
คนที่อ้วนลงพุง เกิดจากร่างกายไม่ยอมเผาผลาญ หรือเรียกอีกอย่างว่า
” metabolic syndrome “
ซึ่งจำเป็นต้องตรวจเช็คดูว่า เป็นเพราะอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ พบว่าเกิดจากความ*ผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งมีสาเหตุเริ่มต้นมาจากการสะสมของท๊อกซินในเซลล์ไขมัน ( fat cell ) พอสะสมนานๆ อินซูลิน ซึ่งเป็น ฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ทำหน้าที่นำน้ำตาลจากเลือดเข้าไปในเซลล์ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานเริ่มทำงานได้ไม่ดี ไม่สามารถนำเอาน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ น้ำตาลก็เก็บเป็นไขมัน ร่างกายก็ต้องใช้อินซูลินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในการนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน จนเกิดภาวะที่อินซูลินดื้อ ไม่ทำงาน พอถึงตรงนั้นก็*ไม่เผาผลาญน้ำตาลแล้ว *เก็บเป็นไขมันอย่างเดียว
✿ ถ้าร่างกายขาดพลังงาน มันก็จะดึงเอากล้ามเนื้อไปใช้แทน เพราะมันดึงไขมันออกมาไม่ได้ จึงเป็นที่มาของความเหี่ยว ผิวหย่อนคล้อย
จะเห็นได้ว่าขบวนการนำพลังงานไปใช้ในร่างกายมีความสำคัญมาก มีผลต่อสุขภาพ และความเป็นหนุ่มเป็นสาว ถ้าระบบเผาผลาญเราดี ขบวนการใช้พลังงานในร่างกายเราก็จะดี ถ้าร่างกายเราเริ่มเสื่อม เริ่มเฉื่อย ก็จะไม่ใช้พลังงาน แต่เก็บเป็นไขมัน อย่างเดียว
จะพบว่า ในคนส่วนใหญ่เมื่ออายุยังน้อยจะไม่มีปัญหาเรื่องอ้วนลงพุง แต่พออายุเริ่มใกล้ 50 รอบเอวเริ่มหาย เริ่มมีห่วงยางรอบเอว ทำยังไงก็ไม่หาย
ทั้งนี้เพราะเซลล์ในร่างกายเริ่มเสื่อม ฮอร์โมนเริ่มไม่ทำงาน เหมือนเมื่อตอนอายุยังน้อย กลไกการทำงานต่างๆของร่างกายจึงเริ่มผิดปกติ เสียสมดุล และเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆตามมา ไม่เพียงเฉพาะโรคอ้วนเท่านั้น จึงเป็นที่มาว่าถ้ามีอาการอ้วนที่รอบเอว จะมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และโรคหัวใจมากกว่าอ้วนในส่วนอื่นๆ ทั้งนี้ก็เพราะเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานนั่นเอง
ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามปัญหาเรื่องอ้วน ว่าเป็นเพียงเรื่องความสวยความงามเท่านั้น เพราะที่จริงมันคือสัญญาณเตือนโรคร้ายให้กับเรา ที่ต้องหันมาเอาใจใส่ และดูแลตัวเองอย่างจริงจัง
ความอ้วนที่เกิดจากการเสียสมดุลฮอร์โมนเช่นนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการแพทย์ชลอวัย ( Anti Aging )
การรักษาตามหลักการแพทย์ชลอวัย (Anti Aging) เริ่มต้นจากการตรวจเช็คร่างกายเพื่อให้รู้ที่มาของปัญหา และจะได้แก้ไขได้ถูกต้อง มีการปรับสมดุลร่างกาย
ด้วยการกำจัดสารพิษ และปรับสมดุลฮอร์โมนด้วยวิธีธรรมชาติ เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำงานได้ตามปกติ มีการเผาผลาญ นำพลังงานไปใช้ได้ตามปกติ นอกจากนี้ก็อาจจะมีการดูแลเรื่องอาหาร และการออกกำลังกายเพิ่มเติม ตลอดจนการใช้เครื่องมือต่างๆเพื่อช่วยให้เกิดการทำลายเซลล์ไขมัน และเร่งการเผาผลาญให้มากขึ้น ก็จะทำให้เห็นผลได้เร็วขึ้น
จะเห็นได้ว่า อ้วนลงพุง แก้ไขได้ ตามวิธีการที่เล่ามา ดังนั้นอย่าปล่อยให้ห่วงยางอยู่รอบเอวอีกต่อไปเลยค่ะ เพราะไขมันที่รอบเอวมีอันตรายมากกว่าความไม่ดูดีมากมายจริงๆ
สุดยี้…5 นิสัย หัวไม่ไบรท์ ทำสมองพัง
เคยสงสัยกันไหม ว่าในบางเวลาเราพยายามจะคิดอะไรสักอย่าง แต่ทำยังไงหัวก็ไม่แล่น คิดไม่ออก บางคนก็นอยด์ เกิดอาการเครียดกันไป ต่าง ๆ นานา จริง ๆ แล้วมันมีสาเหตุ ที่ทำให้เราหัวไม่แล่น สมองไม่ทำงาน จะมีอะไรกันบ้าง เราจะมาเผย 5 นิสัย ให้ทุกคนได้รู้กัน… สมองของคนเราเป็นส่วนที่สำคัญมาก เรียกได้ว่าเป็นจุดรวมเส้นประสาทของร่างกาย ถ้าสมองไม่ทำงานทุกอย่างก็จบ เพราะสมองต้องเข้าไปควบคุมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้น แอดมินอยากขอเตือนให้ทุกท่านรับมือกับ 5 นิสัย ที่จะทำลายสมองของเราได้ จะมีอะไรกันบ้างไปชมกัน…
5 นิสัย ทำสมองพัง…!!
1. ไม่ทานอาหารเช้า – หัวไม่แล่น พาสมองฝ่อ การไม่ทานอาหารเช้านั้น จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองเพียงพอ อาจจะมีผลตามมาหลายอย่าง รวมไปถึงเกี่ยวกับด้านสมองของคนเราอีกด้วย อาจจะทำให้สมองของเราเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์ได้ง่าย ๆ หลาย ๆ คน อาจจะคิดว่าการที่ เราไม่ทานอาหารเช้านั้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร มากมาย “ก็ฉันไม่มีเวลา ! ฉันกินไม่ทัน ต้องรีบไปทำงาน” จริง ๆ สิ่งเหล่านี้ มักเป็นข้ออ้างของคนเรา การรับประทานอาหารเช้าไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากขนาดนั้น แค่ 10 นาที ก็เพียงพอแล้ว หรือใครจะพกแซนด์วิช ขนม นม เนย ไปกินระหว่างเดินทางก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย การไม่ทานอาหารเช้านั้น นอกจากจะทำให้สมองพังแล้ว ทำให้เรียนเรียนรู้เรื่องใหม่ได้ช้า ไม่มีสมาธิ นอกจากนี้ ยังมีผลตามมาอีกหลาย ๆ อย่างด้วยกัน เช่น เสี่ยงเป็นโรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด เห็นไหมว่าอาหารเช้าสำคัญขนาดไหน ถ้าคุณไม่อยากสมองพัง หัวไม่แล่น คิดอะไรไม่ออก ทุกคนควรเริ่มต้นในวันใหม่ของคุณได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นจริง ๆ
2. ขาดการใช้ความคิด – ไม่ครีเอต คิดไม่เป็น สมองไม่ทำงาน คนสมัยนี้มักขาดการใช้ความคิด อาจจะเป็นเพราะข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันนั้นมีเยอะมากมายอยู่แล้ว แค่กดเสิร์ชอินเทอร์เน็ตก็เจอ จะคิดทำไมให้ปวดหัว ! นอกจากนี้ ในการเรียนการสอนก็มักจะเน้นในเรื่องการให้ความรู้ให้ข้อมูล แต่ไม่ได้ฝึกทักษะการใช้ความคิด การสร้างสรรค์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ รวมไปถึงการเป็นคนไม่ค่อยพูด ทำให้ไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้ากับอะไร ทักษะการพูดนี่แหละที่จะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมองของเราได้
3. มลพิษ – อากาศเป็นพิษ ออกซิเจนลด เลี้ยงสมองไม่พอ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เพราะสมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลพิษเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองลดปริมาณลง เมื่อออกซิเจนลดลงทำให้ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองของเราคิดอะไรไม่ค่อยได้
4. สูบบุหรี่ – ขี้หลงขี้ลืม ภาวะสมองเสื่อม คร่าชีวิต การสุบบุหรี่ ไม่ได้มีผลดีอะไรเลย โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพร่างกาย ทำให้เป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองฝ่อ และโรคอัลไซเมอร์ ก็ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทำไมหลาย ๆ คนยังสูบได้สูบดี สูบคนเดียวไม่พอ ยังเผื่อแผ่มาถึงคนข้าง ๆ พวกเขาจะรู้ไหม ว่าการสูบบุหรี่ทำให้เป็นโรคสมองเสื่อมได้ง่าย ๆ และเมื่อเวลาล่วงเลยไปเข้าสู่วัยของผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ที่จะเกิดขึ้นมาได้อย่างร้ายแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้กลาย เป็นคนที่ขี้หลงขี้ลืมได้ เพราะควันที่มาจากการสูบบุหรี่นั้น จะทำลายสมองของเราได้อย่างง่ายดาย แถมยังก่อให้เกิดมะเร็งขึ้นมาได้ ซึ่งเป็น
อันตรายต่อร่างกายของเราที่สามารถเข้ามาทำร้ายสมองให้มีการทำงานที่ช้ามากกว่าเดิม การสูบบุหรี่ เกินกว่าวันละ 20 ม้วน ถือว่าเป็นการสุบบุหรี่จัด จะมีส่วนที่ ทำให้ความจำและเรื่องของสายตาเสื่อมลงไปได้ทีละน้อย
5. อดหลับอดนอน – ร่างกายพัง ทำเซลล์สมองตาย ข้อนี้หลาย ๆ คนคงเป็นกันเยอะ ทำบ่อยจนเป็นนิสัย สาเหตุที่อดหลับอดนอน คงหนีไม่พ้นการทำกิจกรรมต่าง ๆ เล่นเกมอยู่ในโลกโซเชียลฯ ดูซีรีย์ รวมไปถึงทำงานหนักหามรุ่ง หามค่ำ ของคนบ้างาน การนอนหลับสำคัญมาก จะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตาย นอกจากนี้แล้ว ไม่ควรนอนคลุมโปง การนอนคลุมโปงจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองเช่นกัน
ทั้งนี้ 5 นิสัย ที่ได้กล่าวมาในข้างต้นนั้น หลาย ๆ คน คงรู้แล้วว่าสมองของคนเราสำคัญมากแค่ไหน ถ้าชีวิตของเราขาดสมองไปจะเป็นอย่างไร สมองก็เหมือนอวัยวะอื่นที่สำคัญของร่างกาย ดังนั้น เราจึงต้องมีรู้จักบำรุงสมองของเราอยู่เสมอ.
#ไทยรัฐออนไลน์
ต่อไปนี้คือประโยชน์ 10 ประการที่ร่างกายจะได้รับจากการดื่มน้ำอุ่น
1. ช่วยย่อยอาหาร
เพื่อปรับปรุงการย่อยให้ดีขึ้น ลองดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำ น้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมย่อมอาหารทำงานได้อย่างถูกต้อง ช่วยจัดการกับอาหารในกระเพาะ ดังนั้นระบบย่อยก็จะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ทั้งยังใช้พลังงานในกระบวนการย่อยน้อยลงด้วย
นอกจากนี้การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยกำจัดกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาความเป็นกลางของน้ำย่อยไว้นั่นเอง
จากการศึกษาในปี 2012 ที่ตีพิมพ์ในวารสารระบบประสาททางเดินอาหารและการเคลื่อนไหว ได้รายงานว่าการดื่มน้ำอุ่นสามารถบรรเทาอาการให้กับผู้ที่มีภาวะหลอดอาหารเคลื่อนไหวผิดปกติได้ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการกลืนยาก สำลักอาหารและเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อกระตุก ผู้ที่มีความทุกข์ทรมานจากระบบย่อยอ่อนแอก็ควรดื่มน้ำอุ่นเป็นแก้วแรกเมื่อตื่นนอนด้วย
2. บรรเทาอาการท้องผูก
การดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำในขณะที่ท้องว่างยังช่วยควบคุมการเคลื่อนตัวของลำไส้ และช่วยต่อสู้กับอาการท้องผูกได้
อาการท้องผูกเกิดขึ้นเนื่องจากมีน้ำในลำไส้น้อยเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้อุจจาระแข็งและแห้ง จึงถ่ายออกมาได้ยาก การดื่มน้ำอุ่นจึงช่วยบรรเทาอาการท้องผูกอย่างได้ผล
การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยย่อยสลายอาหารที่เหลืออยู่ให้หมดไป ทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยลดอาการท้องอืด อาการปวดท้องอันเนื่องมากจากอาการท้องผูกได้
เพื่อต่อสู้กับอาการท้องผูก ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน 1 แก้วทุกเช้าในเวลาท้องว่าง ลองหยดน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวลงไปในน้ำอุ่น ยิ่งช่วยเพิ่มประโยชน์ต่อลำไส้ได้มากขึ้นไปอีก
3. บรรเทาอาการเจ็บคอ
. บรรเทาอาการเจ็บคออาการเจ็บคอ เป็นอาการที่พบได้บ่อยเวลาลำคอเกิดการระคายเคืองหรือติดเชื้อ อันเกิดจากโรคหวัด หรือไข้หวัดใหญ่ การดื่มน้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและช่วยให้รู้สึกสบายคอมากขึ้น อีกทั้งน้ำอุ่นยังช่วยละลายเสมหะที่ข้นเหนียว และขจัดออกมาจากทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น
นอกเหนือจากการดื่มน้ำอุ่นเปล่าๆ คุณยังเปลี่ยนไปดื่มชาสมุนไพรแทนได้ อีกทั้งยังควรกลั้วปากด้วยน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว ผสมเกลือครึ่งช้อนชา เพื่อช่วยให้อาการเจ็บคอดีขึ้นและลดการติดเชื้อในลำคอได้ด้วย
4. ช่วยรักษาอาการคัดจมูก
การดื่มน้ำอุ่นเป็นอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรักษาอาการคัดจมูก น้ำอุ่นช่วยทำความสะอาดโพรงจมูกทำให้รู้สึกโล่งขึ้น หายใจได้สะดวกไม่อึดอัด
เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่นๆ เข้าไป มันจะช่วยให้เสมะหรือน้ำมูกที่ข้นเหนียวอยู่ละลายแล้วขับออกทั้งจากในโพรงจมูกและทางเดินหายใจ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ นอกจากนี้ยังช่วยล้างพิษออกจากร่างกาย ทำให้หายป่วยได้เร็วขึ้นไปด้วย
5. ช่วยขจัดน้ำหนักส่วนเกิน
ผู้ที่กำลังควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดและออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ควรดื่มน้ำอุ่นมากกว่าน้ำเย็น การลดน้ำหนักจึงจะได้ผลดีกว่า
น้ำอุ่นช่วยเพิ่มอุณหภูมิบริเวณกลางลำตัวให้สูงขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหาร ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นไปอีก
การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยลดไขมันในร่างกายลงได้ และเพื่อเพิ่มประโยชน์มากขึ้น ให้ลองดื่มน้ำอุ่นกับน้ำมะนาวสักเล็กน้อยทุกวันในตอนเช้า มันจะช่วยลดเนื้อเยื่อไขมันหรือไขมันในร่างกาย นอกจากนี้เส้นใยเพคตินในมะนาวยังช่วยควบคุมความอยากอาหาร ทำให้คุณกินอาหารมันๆ หรือไม่ดีต่อสุขภาพได้น้อยลงไปด้วย
6. ช่วยล้างพิษในร่างกาย
การดื่มน้ำอุ่นสามารถชำระชะล้างสารพิษในร่างกายออกไปได้ เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น 2-3 ถ้วย มันจะช่วยให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น ช่วยให้เหงื่อออกจึงรู้สึกเย็นลง ซึ่งเหงื่อที่ไหลออกมานี่ช่วยชะล้างสารพิษออกมาจากร่างกายนั่นเอง
การดื่มน้ำอุ่นทุกวันยังช่วยล้างพิษออกจากผิวพรรณได้ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคผิวหนังชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สิวผื่น สิวเสี้ยน การดื่มน้ำโดยทั่วไปแล้วยังเหมาะสำหรับการล้างพิษและชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปจากร่างกาย ลองบีบน้ำมะนาวลงไปผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อยก่อนดื่ม จะช่วยให้ได้ผลดีขึ้นไปอีก
7. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน
แม้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลก แต่การดื่มน้ำอุ่นช่วยป้องกันและลดอาการปวดประจำเดือนได้ เพราะน้ำอุ่นช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูกที่กำลังหดตัว บรรเทาอาการเกร็งและกระตุกตัวของมดลูกได้ดี
นอกจากนี้ยังหยุดการเก็บกักน้ำ ป้องกันอาการเจ็บปวดในช่วงกำลังมีรอบเดือน ในครั้งต่อไปที่คุณเริ่มมีอาการปวดประจำเดือน ดื่มน้ำอุ่นสักแก้วช่วยบรรเทาอาการแล้วนำเอากระเป๋าน้ำร้อนวางประคบบริเวณท้องน้อย ก็จะยิ่งช่วยให้อาการปวดดีขึ้นด้วย
8. ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต
การดื่มน้ำอุ่นช่วยปรับการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น ซึ่งสำคัญเพราะช่วยให้เลือดนำส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไหลผ่านไปสู่เนื้อเยื่อและอวัยวะทั่วร่างกาย การไหลเวียนโลหิตที่เหมาะสมสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายจะเผาผลาญ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตในร่างกายและยังล้างพิษที่เป็นอันตรายออกไปได้ โปรดหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นมากเกินไป เพราะอาจทำให้หลอดเลือดดำอุดตันได้
9. ช่วยให้แก่ช้าลง
การดื่มน้ำอุ่นดีต่อผิวพรรณอีกด้วยนะ เพราะมันช่วยกำจัดสารพิษต่างๆ ออกไปจากร่างกาย ซึ่งสารพิษเหล่านี้เป็นต้นเหตุของริ้วรอยก่อนวัยและปัญหาสุขภาพต่างๆ
การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว ทั้งยังช่วยฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณของคุณ ลองดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมน้ำมะนาวลงไปสักครึ่งลูก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการล้างพิษได้
10. ช่วยกระตุ้นการนอนหลับ
หากคุณมีปัญหาการนอนหลับ ลองจิบน้ำอุ่นสักแก้วก่อนนอน จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น น้ำอุ่นๆ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ทำให้รู้สึกสบายขึ้น ช่วยระงับประสาท ทำให้ง่วงและสงบลงได้
นอกจากนี้ยังช่วยลดความอยากอาหารกลางดึกและทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อตื่นตอนเช้า
ข้อแนะนำในการดื่มน้ำอุ่น
ควรดื่มน้ำอุ่นเสมอ ไม่ควรร้อนจนเกินไป เพราะการดื่มน้ำร้อนอาจเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อในปากและหลอดอาหารได้
หลังจากน้ำเดือดแล้ว ปล่อยให้เย็นลงสักครู่จึงค่อยดื่ม
ดื่มน้ำอุ่นเสมอหลังจากทานอาหาร หากคุณดื่มน้ำเย็น ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ ทำให้ประสิทธิภาพการย่อยอาหารลดลง
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอุ่นหลังการออกกำลังกาย เพราะในขณะนั้นร่างกายมีอุณหภูมิสูงมากอยู่แล้ว
4สี 4ระยะ กล้วยน้ำว้าประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างไร วันนี้เรามีข้อมูลมาบอกกันค่ะ
กล้วยน้ำว้า เชื่อว่าเป็นผลไม้ที่หลายๆบ้านต้องมีติดครัวไว้เสมอ เอาไว้รับประทานรองท้องหรือรับประทานเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก กล้วยน้ำว้ามีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 10 ชนิด เช่น โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินบี12 วิตามินซี ธาตุเหล็ก ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เป็นต้น อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่สนับสนุนว่ากล้วยมีน้ำตาลจากธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส กลูโคส และ ฟรุคโทส ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกาย จึงทำให้การรับประทานกล้วยเพียงวันละ 2 ลูก สามารถเพิ่มพลังงานในร่างกายเท่ากับการออกกำลังกาย 90 นาทีกันเลยทีเดียว
นอกจากประโยชน์โดยรวมของกล้วยแล้ว กล้วยยังมีประโยชน์และสรรพคุณที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสีอีกด้วยนะคะ
สีเขียวเข้ม (กล้วยดิบ)
เป็นกล้วยที่มีเปลือกสีเขียวค่อยข้างเข้มหรือกล้วยดิบนั้นเอง มีสรรพคุณช่วยแก้โรคกระเพาะ เพราะในกล้วยดิบมีสารที่ให้ความฝาด เรียกว่า แทนนิน (Tannin) เป็นกรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ในการเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ แต่กล้วยดิบนั้นไม่สามารถนำมารับประทานได้ทันที ต้องนำผลดิบไปบดเป็นผง แล้วนำมารับประทาน ครั้งละ 1 ช้อนชา 3 ครั้งก่อนอาหาร ซึ่งสามารถเพิ่มความอร่อยด้วยการผสมกับน้ำผึ้งก็ได้ค่ะ
สีเขียวอ่อน (กล้วยห่าม)
อาจเรียกได้ว่าเป็นกล้วยกึ่งสุกกึ่งดิบ เปลือกมีสีเขียวอมเหลือง สามารถนำมารับประทานได้ทันที ซึ่งกล้วยห่ามจะมีโพแทสเซียมสูง ที่มีสรรพคุณช่วยชดเชยโพแทสเซียมให้แก่ร่างกายและแก้โรคท้องเสียได้เป็นอย่างดี แล้วยังช่วยเพิ่มกากใยที่ช่วยในการขับถ่าย และเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วยเช่นกัน
สีเหลืองนวล (กล้วยสุก)
เป็นกล้วยที่มีสีเหลืองสดพร้อมรับประทาน มีสารเพ็กติน (Pectin) ที่เป็นเส้นใย ช่วยเพิ่มกากอาหารหรือพรีไบโอติก (Prebiotic) ตามธรรมชาติ ทำให้สามารถขับถ่ายได้ดี ถือว่าเป็นยาระบายอ่อนๆอย่างดีกับคนที่มีอาการท้องผูก ซึ่งในคนที่มีอาการท้องผูกมากๆควรรับประทานวันละ 5 – 6 ลูก นะคะ เพื่อให้ได้ผลดีกับระบบขับถ่ายค่ะ
สีเหลืองเข้ม (กล้วยงอม)
เป็นกล้วยสีเหลืองเข้มคล้ำๆ เนื้อกล้วยจะค่อยข้างเละ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรับประทาน แต่ในทางกลับกันกล้วยงอมกลับมีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ทำให้มีปริมาณเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีสาร Tumor Necrosis Factor (TNF) ที่ช่วยป้องกันจากเซลล์ที่ผิดปกติ โดยเฉพาะกล้วยที่มีจุดดำมากเท่าไหร่ยิ่งดี คุณสามารถเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโรคหวัดได้ด้วยการรับประทานกล้วยน้ำว้าวันละ 1-2 ลูก เพื่อสุขภาพที่ดีได้ค่ะ
เมื่อรู้ถึงประโยชน์ของกล้วยที่มีมากมายขนาดนี้แล้ว ลองเลือกรับประทานกล้วยให้ตรงกับความต้องการของร่างกายคุณดูนะคะ ตามด้วยมื้ออาหารเมนูอร่อยของคุณกับข้าวสวยไรซ์เบอร์รี่ร้อนๆสักจาน รับรองหมดกังวลเรื่องระบบขับถ่าย หุ่นสวย สุขภาพดีได้แน่นอนค่ะ
น้อยคนนัก ที่จะไม่รู้จัก ชายแก่ หน้าตาใจดี
มหาเศรษฐี อันดับ 3 ของโลกในปัจจุบัน
ด้วยทรัพย์สินรวม 40,000 ล้านดอลลาห์
CEO ของบริษัท Berkshire Hathaway
หรือเรียกว่า ปู่บัฟ ในวงการเล่นหุ้น
—
นี่คือ12 สิ่งที่ควรเรียนรู้จากมหาเศรษฐี
อย่างวอเรน บัฟเฟต์
1. ให้คุณค่าชื่อเสียง และเกียรติยศของคุณ
“เราใช้เวลา 20 ปีในการสร้างชื่อเสียง เกียรติยศ
แต่เราสามารถทำลายมันทั้งหมด ได้เพียงแค่ 5 นาที
ถ้าคุณระลึกถึงมัน คุณจะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป”
กว่าจะสร้างชื่อเสียง และเกียรติให้แก่ สิ่งที่เรามีได้
มันอาศัยเวลาที่ยาวนาน
ดังนั้น ก่อนที่เราจะทำอะไร
ควรคิดให้ดีๆก่อน
ถ้าเรามีสติ คิดตรึกให้ดีๆ
เราจะไม่ทำสิ่งที่เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ
แต่สามารถทำลายทุกอย่างที่เรามีได้ในชั่วพริบตา
—
2. ทำงานเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น
“คนบางคน ได้นั่งอยู่ใต้ร่มเงาในวันนี้
ก็เพราะเคยมีคนปลูกต้นไม้ต้นนี้ เมื่อนานมาแล้ว”
ถ้าเราอยากมีอนาคตที่ดี
เราจึงควรเริ่มเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ ตั้งแต่วันนี้
เพราะสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ในวันนี้
คือผลลัพธ์ของการกระทำในครั้งก่อน
สิ่งที่เราทำในอดีต ก็คือผลในปัจจุบัน
ดังนั้น
ถ้าตอนนี้เรายอมทำอะไรบางอย่าง
ที่อาจจะเหนื่อยสักหน่อย เพื่ออนาคต
มันก็คงดีกว่า การที่ไม่ทำอะไรในวันนี้
แล้วไปลำบากวันข้างหน้า
—
3. เพิ่มเติมคุณค่า
“สิ่งที่จ่ายไปคือ ราคา
แต่สิ่งที่ได้มาคือ คุณค่าของมัน”
เวลาเราซื้ออะไร
มันเพราะเราเล็งเห็นคุณค่า ของสิ่งๆ นั้น ใช่หรือไม่?
คนอื่นจะมองเห็นคุณค่า
ของสินค้า และบริการของเรา มากแค่ไหน
ย่อมขึ้นอยู่กับว่า
เราให้คุณค่าสินค้า และบริการของเรา เพียงพอหรือยัง??
—
4. เลือกคบเพื่อนให้ดี
“มันดีกว่า ที่เราจะคลุกคลีกับคนที่ดีกว่าเรา
เลือกคบกลุ่มเพื่อน ที่นิสัยที่ดีกว่าเรา
และเราจะถูกนำพา ไปในทางเดียวกัน”
ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ
เราควรคบหาสมาคม กับคนที่ประสบความสำเร็จ
มีคนกล่าวว่า
“เรามักจะมีค่าเฉลี่ย เท่ากับคนที่เราสนิทด้วยที่สุด 5 คน”
—
5. ความอดทน คือกุญแจสำคัญ
“ไม่ว่าเราจะเก่ง หรือขยันแค่ไหน
บางสิ่งบางอย่างก็ต้องใช้เวลา
เราไม่สามารถ ทำให้เด็กคลอดออกมา
อย่างปกติได้ภายใน 1 เดือน
โดยการทำให้ผู้หญิง 9 คนท้องแทน”
นอกจาก
ความขยัน และความสามารถของเราแล้ว
อีกสิ่งที่ต้องมีคือ “ความอดทนรอคอย”
—
6. กล้าเสี่ยง (หลังจากวิเคราะห์ดีแล้ว)
“ความเสี่ยง มาจากการที่เราไม่ทราบ ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
แน่นอนว่าธุรกิจมีความเสี่ยง
แต่บัฟเฟต์เชื่อว่า จะเสี่ยงมากเสี่ยงน้อย
ขึ้นอยู่กับว่าเราคำนวณ และวิเคราะห์
สิ่งที่เราจะทำดีพอหรือยัง
—
7. ทำสิ่งที่รัก
“มันจะมีช่วงเวลา ที่เราควรทำสิ่งที่เราต้องการ
ทำงานที่เรารัก ที่มันทำให้เรา
รีบกระโดดออกจากเตียงในตอนเช้า
เพราะผมคิดว่า คุณต้องบ้าแน่ๆ
ถ้าคุณต้องทนทำงานที่ไม่ชอบ
เพื่อแค่ให้มันดูดีในเรซูเม่
นั่นมันไม่ใช่การเก็บ Sex เอาไว้ สำหรับยามแก่หรอกหรือ?”
สรุปง่ายๆ ก็คือ ทำสิ่งที่คุณรัก
เพราะคนส่วนมาก กำลังทำลายชีวิตของตัวเอง
โดยการเลือกทำตามสิ่งที่คนอื่นต้องการ
—
8. รู้จักคู่แข่งของเรา
“ในโลกของธุรกิจ
กระจกมองหลัง ชัดกว่ากระจกหน้ารถเสมอ”
การรู้จักคู่แข่งของเรา ดีกว่ารู้จักตัวเราเอง
เพราะเราจำเป็น ต้องติดตามคู่แข่งของเราเสมอ
ว่าเขาจะไปทางไหน จะทำอะไร
รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง
—
9. เดินทีละก้าว
“ผมไม่ได้มองหา
ว่าจะกระโดดไปข้างหน้าทีละ 7 ฟุตได้อย่างไร
แต่ผมมองไปรอบๆ ว่ามีบาร์ 1 ฟุต
ที่สามารถจะข้ามไป ได้หรือไม่”
บัฟเฟต์ไม่เชื่อในเรื่อง
การประสบความสำเร็จ เพียงชั่วข้ามคืน
แต่เขาเชื่อว่า เราควรเดินทีละก้าว
แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ เพื่อค่อยๆเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น
—
10. เรียนรู้ ที่จะปฏิเสธ
“ข้อแตกต่าง
ระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ
คือ คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ รู้จักการปฏิเสธ”
ควรรู้จักการพูดปฏิเสธ
เสียงรอบข้าง หรือคำแนะนำต่างๆ
เพราะสุดท้ายแล้ว การตัดสินใจทุกอย่าง
ก็ขึ้นอยู่กับเราฝ่ายเดียว
การฟังคนอื่น หรือแม้แต่เสียงในหัวมากไป
จะทำให้เราเกิดความลังเลสงสัย และตัดสินใจผิดพลาดได้
จงเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ อย่างเด็ดขาดเสียบ้าง
—
11. ความซื่อสัตย์ หาได้ยาก
“ความซื่อสัตย์ เป็นของขวัญราคาแพง
อย่าคาดหวังว่า จะได้มันจากคนราคาถูก”
คนราคาถูก ไม่ได้หมายถึงคนยากจน
แต่ในที่นี้หมายถึง คนที่ไม่จริงใจ
เพราะความจริงใจ หาได้ยาก
ถ้าเราเจอแล้ว ก็อย่าทำให้ตัวเองเสียคนพวกนี้ไป
—
12. หัดที่จะควบคุม
“เราต้องควบคุมเวลา และสิ่งที่เรามี
เราไม่สามารถ ให้คนอื่นกำหนดชีวิตของเราได้”
อย่าลืมว่า ชีวิตเป็นของเรา
เรา คือเสาหลักของชีวิตเราเอง
ดังนั้น เราจึงไม่ควร ให้คนอื่นคุมบังเหียนชีวิตของเรา
—
Cr. ข้อมูลจาก internet
มีคนเป็นจำนวนมาก ทำลายเวลาพักผ่อนของตัวเองด้วยการทำงานโดยไม่พักผ่อน ถึงแม้ว่าความคาดหวังของคนทุกคนสูงขึ้นทุกวัน จนทำให้ต้องทุ่มเททั้งความสามารถทางสติปัญญา ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และความสามารถด้านคุณธรรมความดีงาม เพื่อเผชิญหน้ากับภารกิจที่ท้าทาย แต่ก็ไม่ควรมองข้ามสังขารตัวเอง มันจะมีประโยชน์อะไรหาก IQ EQ และ MQสูง แต่ HQ ต่ำ
ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ หรือ HQ (Health Quotient) จึงกลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้คนต้องนับรวมอยู่ในตัวแปรแห่งความสำเร็จด้วย คงดูไม่จืดแน่ๆ หากทรุดก่อนงานจะเสร็จ
Werner W. K. Hoeger และ Sharon A. Hoeger ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา ให้คำแนะนำไว้ในหนังสือ Lifetime Physical Fitness and Wellness : A Personal Program ว่า คนที่จะมี HQ สูงต้องมีองค์ประกอบ 9 ประการดังนี้
1) เสริมสร้างสมรรถภาพทางกายให้ฟิตอยู่เสมอ (Health related Fitness) สุขภาพที่ดีต้องมาจากร่างกาย กล้ามเนื้อ และหัวใจที่แข็งแรง ซึ่งจะช่วยให้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างกระฉับกระเฉง มีความอึด และมีกำลังสำรองมากพอยามฉุกเฉิน
2) รู้ว่าอะไรควรกิน ไม่ควรกิน (Nutrition) คนในยุคของกินหาง่าย กินได้ 24 ชม. ต้องมีความรู้เรื่องโภชนาการ คิดเป็นว่าควรกินอะไรจึงจะเหมาะสมกับสุขภาพ และควรหยุดพฤติกรรมการกินแบบไหนที่ทำร้ายตัวเอง
3) หลีกเลี่ยงสารเคมีและสารเสพติด (Avoiding Chemical Dependency) ให้ตระหนักเสมอว่าสิ่งเหล่านี้คือปฏิปักษ์ที่สุขภาพต้องรีบปฏิเสธทันที
4) หมั่นดูแลสุขอนามัยตนเอง (Personal Hygiene) แม้เรื่องการแปรงฟัน การล้างมือ การอาบน้ำ การดูแลเสื้อผ้า เครื่องนอน ดูเหมือนจะเป็นของง่าย ที่เราคิดว่ารู้อยู่ดีแล้ว แต่อย่าแค่รู้ดี ต้องทำให้ถูกวิธีด้วย
5) วางแผนดูแลสุขภาพตนเองเพื่อป้องกันโรคร้าย (Disease Prevention) โดยการตรวจสุขภาพประจำปีตามความเสี่ยงของวัย ตามความเสี่ยงของอาชีพ การฉีดวัคซีนที่จำเป็น และการใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคต่าง ๆ
6) อย่าประมาท (Personal Safety) ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใด ต้องตระหนักถึงความปลอดภัย และควรโยนความคิดแบบ “ไม่เป็นไร” ทิ้งไปเสียที จงศึกษาและปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยในทุกกรณี เช่น ไฟเหลืองแปลว่า เตรียมหยุด ไม่ได้แปลว่า เหยียบเต็มแรง
7) อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี (Environmental Health and Protection) คนฉลาดจะรู้ว่าเขาควรเลือกอยู่ในสถานที่ไหน เลือกคบใคร เลือกทำกิจกรรมแบบใด และเลือกรับข้อมูลข่าวสารอะไรจึงจะมีประโยชน์ที่สุด
8) มีความสามารถในการตอบโต้ความเครียดได้ดี (Stress Management) เมื่อเผชิญหน้ากับความกดดัน ต้องมีสติ รู้จักมองโลกในแง่ดี พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
9) มีสุขภาวะทางอารมณ์ที่ดี (Emotional Well Being) สามารถรับรู้และบริหารจัดการอารมณ์ของตนเองและผู้อื่นได้อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์
ลองศึกษา และนำไปปฏิบัติดูนะครับ
ขอให้ทุกคนมี HQ ที่ดีครับ
Cr. ดร.วรวุฒิ เจริญศรีพรพงศ์
การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี
น้ำ ที่ดื่มถ้าจะให้ดีต้องเป็นน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนมากหรือเย็นจัด แต่ก็ยกเว้นในบางกรณี เช่น ตอนเช้าถ้าเป็นไปได้ควรดื่มน้ำอุ่นเพราะจะช่วยในการขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น ลำไส้ก็จะสะอาดมากขึ้นตามไปด้วย
การ ดื่มนั้นที่ถูกต้องนั้น ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือจะให้ดีก็วันละ 14 แก้ว หรือโดยเฉลี่ยแล้วควรดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัวของคุณ เช่น ถ้าคุณมีน้ำหนัก 60 kg. ก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือประมาณ 10 แก้วนั่นเอง (กรณีนี้ให้นับรวมปริมาณอื่น ๆด้วย เช่น น้ำจากผักผลไม้ แกง ก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ ด้วย)
ใน ตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือก่อนแปรงฟัน ควรดื่มน้ำ 2-4 แก้ว เป็นน้ำอุ่น ๆ ได้ก็จะดีมาก
ใน ระหว่างวันควรดื่มน้ำ 1 แก้วทั้งก่อนและหลังมื้ออาหารทุก ๆ มื้อ และในระหว่างช่วงสาย บ่าย เย็น ก็ควรดื่มน้ำอีกครั้งละ 1 แก้ว
ใน ช่วงก่อนนอน น้ำอุ่น ๆ สัก 1 แก้วจะดีมาก
การ ดื่มน้ำควรดื่มครั้งละแก้ว และที่สำคัญไม่ควรดื่มรวดเดียวหลาย ๆ แก้ว เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ “น้ำเป็นพิษได้”
ประโยชน์ ของน้ำอย่าดื่มน้ำมากเกินไปก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือถ้าจะดื่มก็ควรดื่มน้ำก่อนสักประมาณครึ่งชั่วโมง หรือ 45 นาที
ใน ระหว่างรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ไม่ดี
ภาย หลังจากรับประทานอาหารเสร็จไม่ควรดื่มน้ำทันที เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยควรดื่มหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วครึ่งชั่วโมง
หลีก เลี่ยงการดื่มน้ำเย็นและน้ำอัดลม เพราะน้ำเย็นจะไปดึงความร้อนในร่างกายมาทำให้น้ำที่เราดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิเท่ากับร่างกายจึงจะดูดซึมได้ ทำให้ร่างกายเสียเวลาในการปรับสมดุลและสูญเสียพลังงาน
สำหรับ คุณผู้หญิงบางท่านที่มักมีอาการปวดประจำเดือน ช่วงที่มีประจำเดือนควรงดดื่มน้ำเย็น เพราะการดื่มน้ำเย็นจะทำให้อาการปวดทวีความรุนแรงมากขึ้น
ดื่มน้ำเป็น เห็นประโยชน์ นะคะ
error: Content is protected !!