Posted on Leave a comment

ประโยชน์จากไข่ไก่ ทำไมทุกคนจึงควรทาน

ไข่ไก่เป็นของขวัญที่ได้มาจากธรรมชาติ อุดมด้วยคุณค่าทางอาหาร ถือเป็นคลังโภชนาการของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ไข่ไก่มีคุณประโยชน์อะไรบ้าง และสำหรับกลุ่มคนที่ต่างกัน รับประทานอย่างไรจะได้ผลดีที่สุด

ไข่ไก่มีโปรตีน เลซิธิน (lecithin) วิตามิน A วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน D แคลเซียม และธาตุเหล็ก ล้วนเป็นสารโภชนาการที่ร่างกายต้องการ อย่างเช่น เลซิธิน มีคุณประโยชน์ในการบำรุงสมอง เพราะส่วนประกอบสำคัญของสมองคือเลซิธิน ถ้ารู้สึกสมองไม่สดใส เมื่อย จะต้องเสริมเลซิธิน ไข่แดงอุดมด้วยเลซิธิน สามารถช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองฟื้นฟูความสดใสได้ วิตามิน B มีประโยชน์คลายความเครียด ช่วยทำให้น้ำตาลกลายเป็นพลังงาน ในไข่แดงทุก 100 กรัม มีธาตุเหล็กถึง 150 มิลลิกรัม สามารถช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดได้มากขึ้น

สำหรับผู้ที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ไข่ไก่เป็นอาหารที่ดีในการช่วยคลายความเครียด บรรเทาความเมื่อยล้า และฟื้นฟูกำลังวังชา

ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องมีสารโภชนาการ 7 ประเภท ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เซลลูโรส แร่ธาตุ ไขมัน และน้ำ ไข่ไก่มีเกือบทุกอย่างยกเว้นเซลลูโรส
แต่ถ้ารับประทานไข่ไก่มากเกินควรอาจจะทำให้กระเพาะและลำไส้ทำงานหนักขึ้น และต้องรับประทานไข่ไก่ที่สุกเต็มที่ เพราะถ้าสุกๆ ดิบๆอาจมีเชื้อโรคตกค้างอยู่

ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยรับประทานไข่ไก่ เพราะนึกว่าไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ความจริง ไข่แดงยังมีเลซิธินมากด้วย ซึ่งสามารถทำให้ไขมันและคอเลสเตอรอลสูง แต่ความจริง ไข่แดงยังมีเลซิธินมากด้วย ซึ่งสามารถทำให้ไขมันและคอเลสเตอรอลละลายเป็นเม็ดเล็กๆ จนขับออกจากหลอดเลือดได้ เป็นผลดีต่อการป้องกันหลอดเลือดตีบ รักษาความยืดหยุ่น ดังนั้น ผู้สูงอายุควรรับประทานไข่ไก่วันละ 1 ฟองเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ปัจจุบัน ผู้หญิงให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นต่อการรักษาหุ่น และลดความอ้วน ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ไม่ต้องอดอาหาร เพียงแต่รับประทานไข่ไก่ 2 ฟองในช่วงเช้าก็จะได้ผล

เพราะในไข่ไก่อุดมด้วยสารโภชนาการที่ร่างกายต้องการ และแต่ละฟองมีเพียง 75 แคลอรีเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแต่ได้รับสารอาหารอย่างพอเพียงเท่านั้น แต่ยังทำให้รู้สึกอิ่มท้องด้วย นอกจากนี้ วิตามิน B1 และวิตามิน B2 ในไข่ไก่มีส่วนช่วยขจัดไขมัน และธาตุเหล็กในไข่ไก่สามารถช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือด ทำให้ใบหน้าสดใสด้วย

 

 

Posted on Leave a comment

15 สรรพคุณ…ประโยชน์ของทุเรียน กินพอดีได้ประโยชน์ กินมากได้โทษ

หากเอ่ยชื่อ “ราชาผลไม้ไทย” คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ทุเรียน”(Durian) ผลไม้ที่มีเปลือกเป็นหนาม เนื้อสีเหลืองทองกับรสชาติเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกับผลไม้ใดๆ ในโลก อีกทั้งกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ บางคนก็ว่าเหม็น บางคนก็ว่าหอม อีกทั้งในช่วงฤดูกาลของทุเรียน ราชาผลไม้เนื้อแน่นรสหวานมันก็จะมีราคาสูงขึ้นไปตามพันธุ์ และขนาดของมัน เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ทุเรียน” หากกินในปริมาณที่มากเกินไปก็จะให้โทษแก่ร่างกายได้ เพราะเป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และทำให้ตัวร้อน แต่จริงๆ แล้วทุเรียนมีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่นๆ อย่างที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

15 สรรพคุณของทุเรียน…ประโยชน์ที่ใครหลายคนอาจยังไม่รู้

1. ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง
2. เนื้อทุเรียนช่วยฆ่าเชื้อโรคในร่างกายได้ เพราะกำมะถันในเนื้อทุเรียนจะทำหน้าที่เสมือนยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ
3. ประโยชน์ของทุเรียนช่วยเผาผลาญ ทุเรียนเป็นผลไม้ที่กินแล้วทำให้ร่างกายเกิดความร้อน จึงเป็นผลไม้ที่ช่วยเผาผลาญได้
4. ทุเรียนมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ เนื้อทุเรียนมีกากใยอาหารสูงมากๆ ดีต่อระบบขับถ่าย กินแล้วช่วยระบายท้องได้ดี
5. ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง หากกินแต่พอดีก็จะได้รับไขมันดีที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย
6. ทุเรียนมีฟอสฟอรัส ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
7. ทุเรียนมีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะทุเรียนพันธุ์หมอนทอง มีใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าทุเรียนพันธุ์อื่นๆ
8. ทุเรียนพันธุ์หมอนทองช่วยลดไขมันเลวในร่างกายได้
9. เนื้อทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง ช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่แข็งแรง
10. เนื้อทุเรียนดิบมีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
11. ทุเรียนมีประโยชน์ ลดผมขาว ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีวิตามินบี 9 สูง ช่วยชะลอการเกิดผมหงอก ผมขาวได้
12. ทุเรียนมีสรรพคุณแก้ท้องเสีย รากทุเรียนเป็นยาตำรับโบราณ ใช้แก้ท้องร่วง ท้องเสียได้
13. ใบทุเรียนเป็นสมุนไพรใช้ขับพยาธิ
14. เปลือกทุเรียนช่วยเยียวยาแผลเปื่อย แผลพุพองได้
15. ประโยชน์ของทุเรียนบำรุงผิว เนื้อและเปลือกของทุเรียนสามารถแก้โรคผิวหนัง และทำให้สีผิวเสมอกัน
นอกจากสรรพคุณและประโยชน์ของทุเรียนทั้ง 15 ข้อนี้แล้วทุเรียนยังได้ชื่อว่าเป็นผลไม้แห่งความอุดมสมบูรณ์ และเป็นผลไม้ที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจ อยากจะได้ลิ้มลองมากที่สุด ด้วยรสชาติที่มีความเฉพาะตัว มีความหวานมันทำให้ทุเรียนสามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น ทุเรียนทอดกรอบ ทุเรียนแช่อิ่ม ทุเรียนกวน ทุเรียนดอง ทอฟฟี่ทุเรียน ไอศกรีมรสทุเรียน ไส้ขนมปังและขนมไหว้พระจันทร์ ส้มตำทุเรียน ข้าวเหนียวทุเรียนน้ำกะทิ เป็นต้น
เปลือกทุเรียน…มีประโยชน์ ทิ้งแล้วจะเสียดาย
นอกจากเนื้อทุเรียนจะสามารถนำไปแปรรูปได้แล้ว “เปลือกทุเรียน” ก็ยังมีประโยชน์ด้วยเหมือนกัน อย่าเพิ่งทิ้งเปลือกที่เต็มไปด้วยหนามแหลมเป็นอันขาด เพราะเปลือกทุเรียนเป็นยารักษาโรคตานซาง และโรคที่เกี่ยวกับน้ำเหลืองได้ อีกทั้งเปลือกของทุเรียนยังสามารถนำไปรีไซเคิลเป็นกระดาษชนิดต่างๆ ได้อีกด้วย
เห็นประโยชน์ของทุเรียนไปแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะกินทุเรียนได้ไม่อั้นนะ เพราะทางการแพทย์เคยได้ออกมาเตือนแล้วว่ากินทุกเรียนมากๆ ไม่ได้เป็นผลดีต่อร่างกาย ใครที่ขี้ร้อนง่ายๆ หรือมีธาตุร้อน กินทุเรียนมากๆ อาจถึงตายได้ โดยเฉพาะการกินทุเรียนพร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะยิ่งทำให้ร่างกายมีความร้อนสูง ส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุล

ผู้ป่วยโรคใดไม่ควรกินทุเรียน

1. ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรกินทุเรียน เพราะทุเรียนมีแป้งและน้ำตาลสูง
2. ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด หากกินทุเรียนในปริมาณมากจะทำให้จุก แน่น หายใจติดขัด
3. ผู้ป่วยโรคความดันสูง ไม่ควรกินทุเรียนมากเนื่องจากจะทำให้แน่นท้อง หายใจไม่ออกเช่นเดียวกับโรคหอบหืด
4. ผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ไม่ควรกินทุเรียนมากเนื่องจากจะทำให้เกิดอาการแน่นท้อง
5. ผู้ป่วยโรคหัวใจ ไม่ควรกินทุเรียนเนื่องจากในทุเรียนมีกำมะถันสูง
6. ผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่ควรกินทุเรียนที่สุกงอม หรือหวานจัดมากเกินไปเนื่องจากส่งผลต่อความดันเลือด
7. ผู้ป่วยโรคไต ไม่ควรกินทุเรียนเนื่องจากในทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง
ได้รู้ทั้งประโยชน์ และโทษของทุเรียนไปแล้ว ก็หวังว่าผู้ที่โปรดปรานความหอมมันของทุเรียนจะพึงกินอย่างระวัง และกินอย่างพอดี เพื่อไม่ให้ทุเรียนของโปรดมาส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เพราะกินพอดีๆ ก็จะได้ประโยชน์ไป แต่ถ้ากินแบบไม่รู้จักพอก็จะได้รับโทษจากทุเรียน ส่วนผู้ที่เป็นโรคตามที่กล่าวไปข้างต้นก็ควรเลี่ยงผลไม้อย่างทุเรียน หรือกินทุเรียนให้น้อยลง ด้วยความหวังดีนะจ๊ะ

Posted on Leave a comment

คุณอ้วนแบบไหน? ละมาดูว่าแต่ละแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?

หลายคนคงมีปัญหาเกี่ยวกับ หน้าท้อง หรือพุง ที่ยื่นออกมา แต่ช้าก่อนอย่าเพิ่งเหมารวมว่าอ้วน เพราะว่าทานเยอะอย่างเดียว วันนี้มาดูกันว่าความอ้วนแต่ละแบบนั้น บอกอะไร เราไปดูกันเลย

1. Obesity of food โรคอ้วนจากอาหารชนิดที่พบมากของโรคอ้วน ในโลก คือโรคอ้วนจากอาหาร มันเกิดขึ้นกับการรับประทานอาหารและ น้ำตาล มากเกินไป

2. Obesity “nervous stomach โรคอ้วนจากความวิตกกังวล ความเครียดลงกระเพราะ และภาวะซึมเศร้าเป็นเหตุ

3. Gluten obesity โรคอ้วนจากภูมิแพ้อาหารที่มี Gluten ประเภทขนมปัง และธัญพืช (เบเกอรี่)

4. Atheros Genic โรคอ้วนจากระบบเผาผลาญ อาหารรวมถึง ระบบการหายใจ

5. Obesity due to venous circulation โรคอ้วนเกิดจาก การไหลเวียนของเลือดดำ น่าจะเป็นโรคอ้วน มากที่สุดสืบทอดทางพันธุกรรม มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตั้งครรภ์ หรือคนที่มีขาบวม

6. Obesity of inactivity โรคขี้เกียจ แปลง่ายๆคือ ไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่ใช้งานอวัยวะ เลยอ้วนซะเลย

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส

 

 

 

 

Posted on Leave a comment

สังเวชนียสถาน ๔

พระบรมศาสดาจึงนำเหล่าภิกษุสงฆ์เสด็จพุทธดำเนินข้ามแม่น้ำหิรัญญวดีในเมืองกุสินารานคร แล้วเสด็จเข้าไปประทับ ณ สาลวันอุทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ใกล้เมือง กุสินารานคร แคว้นมัลละ โปรดให้พระอานนท์ปูลาดเตียงที่บรรทม ณ ระหว่างไม้รัง ต้นสาละ ทั้งคู่ แล้วเสด็จบรรทมสีหไสยา เป็นการนอนอย่างราชสีห์ คือนอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มือซ้ายพาดไปตามลำตัว มือขวาช้อนศีรษะไม่พลิกกลับไปมา มีสติสัมปชัญญะ แต่มิมีอุฏฐานสัญญามนสิการ คือ ไม่มีพุทธประสงค์จะลุกขึ้นอีกต่อไป เนื่องจากเป็นไสยาวสาน คือ นอนครั้งสุดท้ายจึงนิยมเรียกว่า อนุฏฐานไสยา คือนอนโดยไม่ลุกขึ้นอีก

ในเวลานั้น พระอานนท์เถระเจ้าได้กราบทูลว่า

ในกาลก่อนเมื่อออกพรรษาแล้ว บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายในทิศต่าง ๆ ได้เข้าใกล้ สนทนาปราศัยได้ความเจริญใจ ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายจักไม่ได้โอกาสอันดีเช่นนั้น เหมือนกับเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่อีกต่อไป

เมื่อพระอานนท์กราบทูลเช่นนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า

อานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ ตำบลนี้ เป็นสถานที่ควรแก่ความสังเวช เมื่อผู้มีศรัทธาได้ไปยังสถานที่ ๔ แห่งนี้ด้วยความเลื่อมใสเมื่อทำการกิริยา คือ ตายลงแล้ว จักได้ถึงสุคติ ไปเกิดในโลกสวรรค์ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ อันได้แก่

. สถานที่พระพุทธองค์ประสูติจากพระครรภ์

. สถานที่พระพุทธองค์ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

. สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจักร

สถานที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน

อนึ่ง สังเวชนียสถาน มีความหมายถึง เป็นสถานที่ตั้งแห่งความสังเวช แต่คำว่าสังเวชในทางธรรมนั้น มีความหมายลึกซึ้งกว่าความหมายของคำว่าสังเวชที่พบเห็นกันทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ ในทางธรรมหมายถึง ความรู้สึกสลดใจที่ทำให้คิดได้ถึงพระไตรลักษณ์ คือ ความเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ความทุกข์สลดใจ ความยึดมั่นถือมั่นไว้ไม่ได้ ทำให้จิตใจหันมานึกถึงสิ่งที่ดีงามเกิดความไม่ประมาท เพียรพยายามทำสิ่งที่เป็นกุศลต่อไป จึงจะเรียกว่า สังเวช

สถานที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสูติกาลจากพระครรภ์พระมารดา คือ อุทยานลุมพินี ตั้ง อยู่กึ่งกลางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวงของแคว้นสักกะ กรุงเทวทหะเป็นเมืองหลวงของแคว้นโกลิยะ ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาลห่างชายแดนภาคเหนือของประเทศอินเดีย ๖ กิโลเมตรครึ่ง บัดนี้เรียกว่า รุมมินเด

มายาเทวีวิหาร อุทยานสวนลุมพินีขอบคุณภาพจาก วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์


. สถานที่พระพุทธองค์ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือ ใต้ร่มไม้พระศรีมหาโพธิ์ ภายในป่าสาละ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ปัจจุบันคือ ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ ที่ตำบลพุทธคยา รัฐพิหารประเทศอินเดีย

มหาเจดีย์ที่พุทธคยาสถานที่ทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ


. สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจักร คือ สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา โปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทางทิศเหนือของเมืองพาราณสี แคว้นกาสี ปัจจุบันนี้เรียกว่า สารนาถพาราณสี บัดนี้เรียกว่า วาราณสี ประเทศอินเดีย

ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สารนาถพาราณสีสถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนาธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร

. สถานที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน คือ ที่สาลวโนยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ปัจจุบันนี้เรียก เมืองกาเซีย จังหวัดโครักขปุระ ประเทศอินเดีย

สาลวโนยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละสถานที่ปรินิพพานขอบคุณภาพจากวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์


สถานที่ทั้ง ๔ ตำบลนี้แล ควรที่พุทธบริษัท คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระตถาคตเจ้า จะดูจะเห็นและควรจะให้เกิดความสังเวชทั่วกัน

 

Posted on Leave a comment

ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว

►ออยล์พลูลิ่ง (Oil Pulling) ในคอร์สล้างพิษตับ

ออยล์พลูลิ่ง (Oil Pulling) ในคอร์สล้างพิษตับ
จะมีการอมน้ำมันมะพร้าวหรือที่เราเรียกกันว่า ออยล์พลูลิ่ง (Oil Pulling) ในช่วงเวลาประมาณ 05.30 น. ซึ่งการล้างพิษตับก็จะมีการทำออยล์พลูลิ่ง (Oil Pulling) เป็นวิธีการดูดสารพิษจากน้ำมัน เป็นวิธีธรรมชาติดั้งเดิมซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียเช่นกัน คือ การอมน้ำมันกลั่นเย็น โดยให้ผ่านช่องระหว่างฟันไปมา เข้าออก จนกระทั่งน้ำมันที่ข้นเหนียวผสมกับน้ำลายตนเจือจางความข้นจึงบ้วนทิ้งไป สามารถบำบัดรักษาอาการเหล่านี้อย่างเห็นผลได้ชัดเจน ได้แก่ อาการปวดศีรษะ ปวดฟัน โรคเกี่ยวกับหัวใจ และไต โรคหลอดลมอักเสบ เลือดตีบหรือคั่ง โรคเรื้อนกวาง หรือแผลเปื่อย ฝี แผลมีหนอง โรคเกี่ยวกับลำไส้ การย่อยอาหาร รวมทั้งโรคในผู้หญิง และยังสามารถป้องกันการเติบโตขึ้นใหม่ของเนื้องอกที่เป็นอันตรายหลังจากการรักษาโรคเรื้อรังจากเลือด อัมพาต โรคเกี่ยวกับเส้นประสาท ช่องท้อง ปอด และตับ หรือโรคนอนไม่หลับ

ออยล์พลูลิ่ง (Oil Pulling)
Dr.Bruce Fife N.D.
►นักโภชนาการผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเขียนหนังสือไว้หลายเล่ม รวมทั้ง Coco-nut Oil Miracle เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความสงสัยในรายงานดังกล่าว จึงได้ทดลองทำออยล์พลูลิ่งด้วยตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้ Dr.Fife ถึงกับออกปากว่า ออยล์พลูลิ่งเป็นการรักษาแบบแพทย์ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่สิ่งที่ Dr.Fife สงสัยคือ เหตุใดการอมน้ำมันจึงช่วยรักษาโรคได้ เขาเริ่มศึกษาการทำออยล์พลูลิ่งของ Dr.Karach อย่างจริงจัง รวมทั้งศึกษารายงานอีกเป็นร้อย ๆ ชิ้น ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่เป็นคำตอบทางวิทยาศาสตร์ซึ่ง Dr.Fife เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Oil Pulling Therapy มีใจความบางตอนดังนี้

►วิธีการ-►แนวคิด
ในปากของคนเราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไว้รัส เชื้อรา และโปรโตซัว แต่ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรีย เพราะปากเป็นแหล่งอาศัยที่เหมาะสม มีความร้อน ความชื้น และอุณหภูมิคงที่ ยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์จากเศษอาหารที่เรารับประทานเข้าไป กล่าวกันว่าปริมาณแบคทีเรียในปากของคนคนหนึ่ง มีมากกว่าจำนวนประชาการทั้งโลก แบคทีเรียบางชนิดอาศัยอยู่บนผิวฟัน บางชนิดอยู่ในช่องว่างระหว่างฟันและเหงือก บางชนิดอยู่ที่เพดานปาก และบางชนิดอยู่ใต้ลิ้นและโคนลิ้น การแปรงฟันและการใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยลดปริมาณแบคทีเรียเหล่านี้ลงได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งไม่นานก็จะกลับมาแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นเช่นเดิม
โรคร้ายทุกชนิดเริ่มต้นที่ปาก อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่หากไม่นับโรคทางพันธุกรรม โรคทางอารมณ์ หรือโรคจากการบาดเจ็บต่าง ๆ โรคร้ายเกือบทุกชนิดรวมทั้งการเจ็บป่วยเรื้อรังต่าง ๆ ล้วนเริ่มต้นที่ปาก เนื่องจากปากเป็นประตูเข้าสู่ร่างกาย การรับประทานอาหารไม่ถูกต้อง หรืออาหารมีพิษ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ยิ่งกว่านั้นในปากและลำไส้ยังเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียนับพันล้านตัว บางชนิดเป็นอันตราย บางชนิดไม่อันตราย และบางชนิดเป็นประโยชน์ ถ้าแบคทีเรียเหล่านี้สามารถเข้าสู่กระแสเลือด แม้แต่แบคทีเรียชนิดที่ไม่เป็นอันตรายก็สามารถทำให้เราถึงแก่ความตายได้ถ้าในปากของเรามีแผล หรือมีการอักเสบของเหงือกหรือเนื้อเยื่อ จะทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิด ตั้งแต่โรคไขข้ออักเสบไปถึงโรคหัวใจ

►ออยล์พลูลิ่งทำงานอย่างไร
ออยล์พลูลิ่งเป็นการบำบัดที่ทำได้ง่ายที่สุด แต่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในบรรดาการรักษาทางธรรมชาติ หลาย ๆ คนมีความรู้สึกว่า แค่การอมและเคลื่อนน้ำมันไปทั่ว ๆ ปากไม่น่าจะช่วยรักษาโรคได้ อันที่จริงออยล์พลูลิ่งไม่ได้รักษาโรค แต่มันช่วยขจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค หรือเป็นตัวการปล่อยสารพิษให้หมดไป เพื่อให้ร่างกายมีโอกาสได้ฟื้นฟู ออยล์พลูลิ่งเป็นกระบวนการทางชีววิทยาล้วน ๆ แบคทีเรียในช่องปากที่ก่อให้เกิดโรคส่วนใหญ่เป็นสัตว์เซลล์เดียว เซลล์เหล่านี้ปกคลุมด้วยน้ำมัน หรือเนื้อเยื่อที่เป็นไขมันซึ่งเป็เรื่องธรรมดาของผิวเซลล์ (เซลล์ของคนเราก็ล้อมรอบด้วยส่วนผสมของไขมันเช่นเดียวกัน) เมื่อคุณเทน้ำมันลงในน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือน้ำกับน้ำมันจะแยกกันอยู่ ไม่ยอมผสมรวมกัน แต่ถ้าคุณเทน้ำมันสองชนิดเข้าด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำมันทั้งสองชนิดจะผสมรวมกัน และดึงดูดซึ่งกันและกัน นี่คือความลับของออยล์พลูลิ่ง เมื่อคุณใส่น้ำมันลงในปากเนื้อเยื่อที่เป็นน้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรียจะถูกน้ำมันดูดไว้ ขณะคุณเคลื่อนน้ำมันไปทั่วช่องปาก แบคทีเรียที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยแยกของเหงือกและฟัน หรือตามซอกฟัน จะถูกดูดออกจากที่ซ่อน และติดแน่นอยู่ในส่วนผสมของน้ำมัน ยิ่งนานยิ่งมาก หลังจากผ่านไป 20 นาที ส่วนผสมของน้ำมันจะเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไว้รัส ฯลฯ คุณจึงควรบ้วนทิ้งไปมากกว่าที่จะกลืนมัน

เศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียจะถูกดูดออกไปด้วยเช่นกัน สิ่งที่ไม่ใช่น้ำมัน (Water based) จะถูกดูดออกด้วยน้ำลาย น้ำลายยังช่วยลดกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย เมื่อแบคทีเรียรวมทั้งพิษร้ายที่เกิดจากแบคทีเรียถูกดูดออกไป จึงเป็นโอกาสดีที่ร่างกายได้ฟื้นฟู การอักเสบทั้งหลายหมดไป กระแสเลือดเป็นปกติ เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการซ่อมแซม สุขภาพดีจึงกลับมาในที่สุด

►น้ำมันชนิดใดเหมาะ..ที่จะใช้ทำออยล์พลูลิ่ง
ตามตำราโบราณของอินเดียแนะนำให้ใช้น้ำมันดอกทานตะวัน หรือน้ำมันงา เนื่องจากเป็นน้ำมันที่หาได้ทั่วไปในอินเดียขณะนั้น Dr.Fife กล่าวว่าน้ำมันชนิดใดก็สามารถทำออยล์พลูลิ่งได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบน้ำมันมะพร้าว เพราะว่าน้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันงา หรือน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ เมื่อกรดลอริคในน้ำมันมะพร้าวถูกกับเอนไซม์ในน้ำลายจะแตกตัวเป็นโมเลกลีเซอไรด์ ชื่อว่าโมโนลอริน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นที่ผลิตอย่างมีคุณภาพ จะสะอาด ถูกอนามัย มีกลิ่นและรสชาดน่าพอใจอีกด้วย

►วิธีการทำออยล์พลูลิ่ง
* ทำขณะท้องว่าง จะดื่มน้ำก่อนหรือไม่ก็ได้
* ใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นประมาณ 2-3 ช้อนชา อมไว้ในปาก
* ค่อย ๆ ดูด ดัน และดึงให้น้ำมันไหลผ่านฟันและเหงือก
* น้ำมันจะเปลี่ยนเป็นขุ่น หรือมีสีเหลือง
* เคลื่อนน้ำมันไปทั่ว ๆ ปากอย่างต่อเนื่องนาน 15 – 20 นาที
* จากนั้นให้บ้วนน้ำมันทิ้งไป
* บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด ตามด้วยการดื่มน้ำ
* ทำเช่นนี้วันละครั้งเป็นอย่างน้อย

►โรคที่ได้รับรายงานว่าตอบสนองต่อการทำออยล์พลูลิ่ง
ผลของการทำออยล์พลูลิ่งที่เห็นได้ชัด คือ สุขภาพในช่องปากดีขึ้น ฟันขาวขึ้น แน่นขึ้น ไม่โยกคลอน เหงือกเป็นสีชมพู แลดูมีสุขภาพดี ลมหายใจสดชื่น นอกจากนี้ดูเหมือนว่าออยล์พลูลิ่งจะช่วยเยียวยาความเจ็บไข้ หรืออาการป่วยเรื้อรังได้อีกหลายชนิด โรคหรืออาหารเจ็บป่วยที่มีรายงานเข้ามาว่า มีการตอบสนองที่ดีกับการทำออยล์พลูลิ่ง เช่น สิว ภูมิแพ้ รังแค ไซนัส ปวดหัวไมเกรน น้ำมูกมาก หืด หลอดลมอักเสบ ผิวหนังอักเสบ เรื้อนกวาง ปวดหลัง ปวดคอ ข้ออักเสบ กลิ่นปาก ฟันผุ ฟันเป็นหนอง เลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก ท้องผูก แผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ ริดสีดวงทวาร นอนไม่หลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน ส่วนอาการโรคที่การศึกษาทางการแพทย์พบว่า เกี่ยวข้องกับสุขภาพในช่องปากโดยตรง และอาจมีผลตอบสนองกับการทำออยล์พลูลิ่ง ได้แก่ ปัสสาวะเป็นกรด ปอดอักเสบ (ARDS) ถุงลมโป่งฟอง การอุดตันของเส้นเลือด และเส้นเลือดในสมอง ผลเลือดผิดปกติ ฝีในสมอง มะเร็ง เกาต์ ถุงน้ำดี หัวใจ น้ำตาลในเลือดสูง แท้งลูก ไต ตับ ความผิดปกติของระบบประสาท กระดูกพรุน ปอดบวม ทารกคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย แพ้สารพิษ และโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกหลายชนิด

►ช่วงเวลาที่เหมาะ..จะทำออยล์พลูลิ่ง
จากกราฟแสดงให้เห็นว่า ปริมาณของแบคทีเรียในช่องปากมีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างวัน การรับประทานอาหารทำให้แบคทีเรียมีมากสุดในตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร การแปรงฟันช่วยลดปริมาณแบคทีเรียได้ไม่มากเนื่องจากฟันมีพื้นที่แค่ 10% ของช่องปาก ก่อนอาหารกลางวัน ปริมาณแบคทีเรียจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตัวก่อนอาหารเช้า และลดลงมากที่สุดภายหลังรับประทานอาหารเย็น เมื่อคุณหลับ แบคทีเรียมีโอกาสกลับมาเพิ่มจำนวนขึ้นใหม่โดยไม่มีสิ่งใดรบกวน การทำออยล์พลูลิ่งจึงควรทำเป็นสิ่งแรกในตอนเช้าซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แบคทีเรียในช่องปากมีปริมาณมากที่สุด