Posted on Leave a comment

ชาเขียวกำจัดหน้าท้อง

ชาเขียว

สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียว
ไม่เพียงช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่างๆเท่านั้นแต่ยังช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินได้อีกด้วย

ผลการวิจัยพบว่าผู้ออกกำลังกาย ซึ่งดื่มชาเขียววันละ 4 ถ้วย เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยให้ไขมันหน้าท้องลดลงมากกว่าผู้ที่ออกกำลังกายเหมือนกัน แต่ดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนอื่นๆ ถึง 8เท่า นักวิจัยเชื่อว่า เป็นเพราะสารในชาเขียว ช่วยเร่งให้ไขมันสลายไปเร็วขึ้น

TIP นักวิจัยในญี่ปุ่นพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดจับตัวการซึ่งจะส่งผลให้เกิดการอุดตันใน Siri เลือดโดยผลการวิจัยพบว่าการดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละห้าขวดเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมองลงได้ 62 เปอร์เซ็นต์

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
Posted on Leave a comment

กินป้องกันเหี่ยว

แสงแดดเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำร้ายผิวหนังนอกจากเสี่ยงเป็นมะเร็ง แล้วยัง…
ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรอีกด้วยการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระฟลาโวนอยด์สูง..ช่วยลดอาการดังกล่าว

จากการทดสอบให้ผู้หญิงรับประทานสารฟลาโวนอยด์ วันละ 329 มิลลิกรัม(เท่ากับดื่มเครื่องดื่มช็อกโกแลตเข้มข้น3.5ออนซ์) เป็นเวลา 12 สัปดาห์

พบว่าช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหนังมีรอยแดงจากการอยู่กลางแดดเป็นเวลานานได้ 25 เปอร์เซ็นต์ เพราะฟลาโวนอยด์ มีส่วนช่วยให้เลือดภายในเซลล์ผิวหนังไหลเวียนได้ดีขึ้น จึงป้องกันเซลล์ผิวหนังจากการถูกแสงแดดทำร้ายได้

อาหารที่มีโฟลวานอยด์สูง ได้แก่ช็อกโกแลต ชาดำ ชาเขียว กะหล่ำปลี แอปเปิ้ลแดง และบรอกโคลี เป็นต้น

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส

Posted on Leave a comment

►ขาดไปก็กินเพิ่ม‼️

ขาดไปก็กินเพิ่

‼️ ✺สัญญาณต่อไปนี้ แสดงให้รู้ว่า ร่างกายกำลังขาดสารอาหารบางอย่าง

ซึ่ง ไม่ควรชะล่าใจ เพราะอาจลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่โตสุขภาพในภายหลังได้

►ผิวแห้ง ►ผมแห้ง ►ผิวหนังอักเสบ ►เล็บเปราะบาง

ปัญหา : ขาดโอเมก้า3
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น :
ปลาไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาสวาย ผักใบเขียวเข้ม ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง ธัญพืช ถั่ว สาหร่าย ถั่ วเหลือง

►จุดสีขาวบนเล็บ ►ผมร่วงแผลหายยาก
ปัญหา : ขาดธาตุสังกะสี
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น :
ถั่วเหลือง ถั่ว ธัญพืช เมล็ดฟักทอง
เมล็ดทานตะวัน เนื้อไร้ไขมัน ปลา ไก่ นม ชีส ไข่แดง

►อ่อนเพลีย ►ลิ้นเลี่ยนแดงเป็นมัน
ปัญหา : ขาดธาตุเหล็ก
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
ตับ เนื้อ ไก่ ปลา ธัญพืช ผักโขม ถั่ว รวมถึงอาหารที่มีวิตามินซีสูง
เช่นผลไม้รสเปรี้ยว เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น

►เล็บแยกปวดกล้ามเนื้อ
ปัญหา: ขาดแคลเซียม
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
นม โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว ถั่วเหลืองเต้าหู้ ปลาแซลมอน อัลมอนด์

►เป็นตะคริว
ปัญหา : ขาดแมกนีเซียม
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียว

►เล็บนิ่มและเป็นรอน เหงือกร่น
ปัญหา : ขาดโปรตีน
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จาก นมถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้
น้ำถั่วเหลือง ธัญพืช ถั่ว

►เปลือกตาด้านล่างเป็นสีขาวหรือชมพูอ่อน
ปัญหา : ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
แครอท ผักโขม บีตรู้ต ถั่วเหลือง อัลมอนด์

►ปากเปื่อย ►ตาแห้ง
ปัญหา : ขาดวิตามินเอ
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น :
นม ไข่แดง ผักโขม แครอท มะม่วงฟักทอง มันเทศ

ส่งต่อความปรารถนาดี by Ammie @club.agirl สวยทั้งภายในและภายนอก

#789beauty สวยครบ จบที่นี่

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส

Posted on Leave a comment

การหัวเราะ มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

การหัวเราะ

ประโยชน์ในการหัวเราะ

เสียงหัวเราะถือเป็นยาขนานเอก ที่ทุกคนมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซึ่งก็แล้วแต่ว่าเราจะหยิบออกมาใช้หรือไม่ หรือบ่อยแค่ไหน ยิ่งในสังคมปัจจุบันที่ต้องเร่งรีบ พบเจอกับความเครียดเป็นประจำความวิตกกังวลต่างๆ อาจทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง ขาดชีวิตชีวาในการดำเนินชีวิต บทความนี้มีสาระดีๆ เกี่ยวกับประโยชน์จากการหัวเราะ มาฝากกันจ้า

1.การหัวเราะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ คนเราเมื่ออารมณ์ดีจะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ ในงานวิจัยจากคณะจิตวิทยามหาวิทยาลัยโตรอนโตแคนาดา บอกว่า อารมณ์ของเราน่าจะมีผลต่อการประมวลผลข้อมูลของสมอง ถ้าอารมณ์ดี จะช่วยขยายความคิดสร้างสรรให้กว้างขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าอยู่ในอารมณ์หวาดวิตก ถึงเครียดหรือ แม้แต่ความมุ่งมั่นมากเกินไป จะมีผลต่อความคิด จะมีผลต่อความคิด จะหดเข้ามา อารมณ์ดีหรือไม่ดี มีผลต่อกระบวนการคิด และแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ของคนเรา

2.การหัวเราะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เมื่อหัวเราะร่างกาย จะหลั่งสารชีวเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า ❝endorphin ❞ หรือเรียกว่า “เพชฌฆาตความเจ็บปวด ” หรือสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสุข ส่งผลทำให้อารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน สมองก็จะมีการถูกกระตุ้น ให้เพิ่มพื้นที่การประมวลผลความคิดในเชิงบวก และสร้างสรรค์ มีผลทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการบำบัด และฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว คนป่วยที่อารมณ์ดีจะหายป่วย ได้เร็วกว่า คนป่วยที่อารมณ์ไม่ดี

3.การหัวเราะแก้โรคซึมเศร้า การหัวเราะจะช่วยทำให้ร่างกายหลั่งสารสื่อประสาทชื่อว่า ซีโรโทนิน (Serotonin) และ ดูพามีน (Dopamine) เพิ่มมากขึ้นทำให้จิตใจสงบเยือกเย็นผ่อนคลาย

4.การหัวเราะเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค เมื่อหัวเราะร่างกายมีการหายใจเข้า การหายใจออก และหัวเราะหายใจออกยาวๆ ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนถ่ายออกซิเจน ฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดง จะทำให้เซลล์ประสาท หัวใจปอด คอ แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยบริหารร่างกาย ให้เกิดความร้อนและการเผาผลาญ พลังงานสูง ช่วยฆ่าเชื้อโรค และป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัดภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส กรน ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคปอด

5.การหัวเราะช่วยลดน้ำหนักและลดโรคทางเดินอาหาร เวลาเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า ❝คอร์ติซอล ❞(coltisol) ออกมา ทำให้เกิดความรู้สึกอยากอาหาร และกินมากขึ้น การหัวเราะ 30 วินาที ถึง 5 นาที 10 ครั้งต่อวัน จะช่วยให้ความอยากอาหารลดลง การหัวเราะช่วยให้อวัยวะส่วนท้อง อาทิ ลำไส้ใหญ่ ตับ ไต ไส้ กระเพาะ มีการเคลื่อนไหว เกิดการบริหารกระเพาะและลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหาร และการขับถ่ายดีขึ้น ป้องกันโรคอ้วนท้องผูก ท้องเสีย โรคกระเพาะโรคลำไส้ เป็นต้น

6. การหัวเราะบริหารหัวใจ การหัวเราะเป็นการออกกำลังทุกส่วน ของร่างกาย ทำให้อวัยวะต่างๆได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะ เร็วบ้างช้าบ้าง หัวใจสามารถสูบฉีดเลือด ไปเลี้ยงส่วนต่างๆมากขึ้น หัวใจทำงานเป็นระบบขึ้น ป้องกันอาการเวียนศรีษะ ปวดศีรษะ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็วเจ็บแน่นหน้าอก โรคขาดเลือด เส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคหัวใจการหัวเราะเพียง 15-20 นาที ในแต่ละวัน ช่วยทำให้หัวใจได้ออกกำลังกาย 3- 5 นาทีถือเป็นการบริหารหัวใจง่ายๆ ที่เหมาะกับผู้สูงอายุ ที่นอนอยู่บนเตียง และเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้

ประโยชน์ของการหัวเราะมีมากมายขนาดนี้ เรามาลองเปลี่ยนตัวเอง เป็นคนยิ้มง่าย หัวเราะง่าย ไม่เครียดกันดีกว่านะคร้า เริ่มที่ตัวเรา ขยายไปคนใกล้ชิด คนในครอบครัว เพื่อนร่วมงานสังคมของเราก็จะน่าอยู่มากขึ้นนะจ้า

Posted on Leave a comment

กินคาร์โบไฮเดรตเยอะทำให้อ้วนจริงเหรอ⁉️

คาร์โบไฮเดรต

?✦ทานคาร์โบไฮเดรตอย่างฉลาด ❝ไม่มีอ้วน ❞

อย่างที่เราเคยเรียนกันมาสมัยเด็กๆ อาหารหมู่สองจากอาหาร 5 หมู่ที่จำเป็นต่อร่างกายคือ คาร์โบไฮเดรต หรือเรียกสั้นๆย่อๆว่า “คาร์บ”

คาร์บเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย มีอยู่ในอาหารจำพวก ข้าว เมล็ดพืช ผลไม้ ผัก พืชหัว เครื่องปรุงที่มีรสหวาน นอกจากนี้การการผลิตอาหารเกือบทุกชนิด จะมีน้ำตาลอยู่ ซึ่งน้ำตาลก็มากจากอ้อย หรือ น้ำหวานของพืชนั่นเอง เรียกได้ว่าเราทานคาร์บกันตลอดแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมจะให้พลังงานแก่ร่างกายประมาณ 4 kcal

?✦ทำไมร่างกายของเราจึงต้องการคาร์โบไฮเดรต

ร่างกายคนเราใช้พลังงานจากสองแหล่งใหญ่คือ พลังงานจากไขมัน และ พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ซึ่งคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญแหล่งใหญ่ของร่ายกายเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นพลังงานที่ใช้ในการทำกิจกรรมและการขับเคลื่อนระบบอวัยวะต่างๆ สมอง หัวใจ ระบบการหายใจ ให้ทำงานและดำรงค์ชีวิตอยู่ได้นั่นเอง

?✦กินคาร์โบไฮเดรตเยอะๆแล้วทำให้อ้วนจริงเหรอ?

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจหลักการของการย่อยคาร์บมาเป็นพลังงานเสียก่อน เมื่อร่างกายได้คาร์บเข้าไปไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด จะข้าว น้ำตาล แป้ง ขนมปัง ผลไม้ ผัก คาร์บเหล่านี้จะถูกย่อยเป็นโมเลกุลที่เล็กลง คือกลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวหรือที่เรียกว่า กรูโคส และจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด กระจายไปตามเซลต่างๆและนำไปใช้เป็นพลังงานของระบบอวัยวะต่างๆในร่างกาย

จากนั้นส่วนที่เหลือจะถูกลำเลียงนำไปเก็บเอาไว้ในตับและกล้ามเนื้อ หรือ ที่เรียกว่า “ไกลโคเจน” ส่วนที่เหลือจากเก็บในกล้ามเนื้อและตับ (ไกลโคเจน) อีกส่วนที่เหลือจากเก็บจะถูกตับแปรสภาพกักเก็บไว้เป็นพลังงานสำรองในรูปแบบของไขมัน ซึ่งไขมันเหล่านี้จะค่อยๆสะสมพอกพูนขึ้นใต้ชั้นผิวหนังและตามอวัยวะภายในต่างๆ เราจึงค่อยๆอ้วนขึ้น เพราะอย่าลืมว่าทุกครั้งที่ร่างกายใช้พลังงาน ร่างกายจะใช้พลังงานจากอาหารที่ทานเข้าไปก่อน จากนั้น มาใช้พลังงานไกลโคเจน เมื่อทั้งสองแหล่งนี้หมดลงจึงจะดึงไขมันสะสมมาใช้ ตามลำดับ

?✦นอกจากนี้อีกเหตุผลนึงที่ทำให้คาร์บเป็นตัวการของความอ้วน..คือ**การทานคาร์บที่ย่อยไว อย่างแป้งขาว ขนมปัง น้ำตาล ขนมหวาน น้ำอัดลมใน**ปริมาณมากเกินไป คาร์บเหล่านี้เป็นคาร์บที่ร่างกาย**ดูดซึมได้ง่ายเมื่อดูดซึมง่ายก็จะทำให้มีน้ำตาล(กลูโคส)อยู่ในกระแสเลือดมาก

เมื่อมีน้ำตาลมากขนาดนั้น ร่างกายจะส่งสัญญาณไปที่ตับอ่อนให้เพิ่มระดับอินซูลินขึ้นเพื่อลดระดับน้ำตาลเลือด โดยการเร่งนำพลังงานไปใช้ในระบบ เก็บเป็นไกลโคเจน แต่ด้วยกลูโคสมีจำนวนมากและปริมาณกล้ามเนื้อมีจำนวนจำกัดหรือไม่สามารถกักเก็บได้ทัน จึงนำไปเก็บไว้ในรูปไขมันสะสมที่ทำได้ง่ายและไม่มีพื้นที่จำกัดแทนกรณีที่จะทำให้ได้รับคาร์บมากเกินไปทานคาร์บรวมต่อวันมากเกินไป

?✦การทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต

❝มากเกิน ❞ กว่า ❝ การนำไปใช้ ❞
และการเก็บในแต่ละวัน ทำให้มีส่วนของพลังงานเหลืออยู่มาก พื้นที่ในการจัดเก็บไกลโคเจนก็มีจำนวนจำกัด เมื่อเป็นเช่นนี้พลังงานส่วนที่เหลือจึงแปรสภาพเป็น>>>ไขมันสะสม ทานเยอะเกินไปในคราวเดียว

การทานมื้อหนัก หรือการทานคาร์บที่ย่อยเร็วครั้งละมากๆจะทำให้ร่างกายไม่สามารถกักเก็บพลังงานได้ทัน ทั้งที่ยังมีพื้นที่ในกล้ามเนื้อว่างอยู่ ร่างกายจึงเลือกที่
่ลดปริมาณน้ำตาลโดยการจัดเก็บในรูปแบบของไขมันที่ง่ายและเร็วกว่า ไม่ทานคาร์โบไฮเดรตเลยได้ไหม

เมื่อมาถึงตรงนี้หลายคนคงขยาดกลัวกับการทานแป้งไปเลย พาลจะบอกเลิกตัดขาดการทานคาร์บไป ซึ่งมีหลายทฤษฎีลดน้ำหนักที่ใช้วิธีการพร่องแป้ง หรือการจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้อยู่ในระดับต่ำ อย่าง ทฤษฎี Atkins และ Ketogenic (จะมานำเสนอในคราวต่อไป)

ซึ่งสามารถลดปริมาณไขมันได้จริง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน

?✦เพราะการที่ลดปริมาณคาร์บให้ต่ำมากๆ จะทำให้✦ร่างกายขาดสารอาหาร กลุ่ม วิตามินบี และด้วยที่คาร์บเป็นพลังงานหลักในการดำรงค์ชีวิต การลดคาร์บให้ต่ำจำเป็นจะต้องเพิ่มพลังงานให้ร่างกายจากส่วนอื่นแทนโดยการเพิ่มปริมาณการทานไขมันและเนื้อสัตว์ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับไขมันไขมันอิ่มตัวและคอเรสเตอรอล ที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตได้ ***

***นอกจากนี้เมื่อเราตัดคาร์บปริมาณน้ำตาลในเลือดของเราจะต่ำลง ***

?✦ปริมาณพลังงานคาร์บไม่เพียงพอ✦ทำให้การเผาผลาญไขมัน..✦ไม่สมบูรณ์ ทำให้ไขมันก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารประเภท ketone ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ตับ มีผลทำให้ร่างกาย>>อ่อนเพลีย >>วิงเวียน >>หน้ามืด >>หงุดหงิด >>อารมณ์แปรปรวน

ในกรณีที่อดอาหารอย่างอื่นร่วมด้วยร่างกายจะลดการเผาผลาญไขมันลง พร้อมกลับค่อยๆย่อยสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาแทน เมื่อกล้ามเนื้อน้อยจะทำให้เมื่อกลับมาทานคาร์โบไฮเดรตเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้เกิดไขมันสะสมได้ไวกว่าปรกติ หรือเกิดภาวะโยโย่เอฟเฟกนั่นเอง
ทานคาร์โบไฮเดรตอย่างฉลาดไม่มีอ้วน

ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้

?✦เราต้องเลือกวิธีการทานคาร์บอย่างฉลาด คือในแต่ละวันจะต้องกำหนดปริมาณการทานคาร์บให้พอเหมาะกับความต้องการ คือประมาณ 40% ของปริมาณพลังงานรวมที่ต้องใช้ต่อวัน และควรเลือกทานคาร์บเชิงซ้อนจำพวก #ข้าวแป้งไม่ขัดสี #ธัญพืช #ที่ย่อยและดูดซึมได้ช้า #ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อยๆขึ้นอย่างช้าๆ #มีเวลาในการจัดเก็บพลังงานไกลโคเจนได้ทัน

นอกจากนี้การเลือกเวลาในการทานคาร์บก็สำคัญ ควรเลือกทานคาร์บในมื้อก่อนที่จะต้องใช้พลังงาน เช่นมื้อเช้า หรือมื้อก่อนออกกำลังกาย และลดปริมาณการทานคาร์บในมื้อ…ดึก หรือ ช่วงก่อนเข้านอน เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานไกลโคเจน และลดการสะสมคาร์บเป็นไขมัน

สิ่งสำคัญอีกสิ่งคือ การเพิ่มพื้นที่การกักเก็บคาร์บ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยระบายไกลโคเจน ทำให้มีพื้นที่ในกล้ามเนื้อเหลือพอที่จะกักเก็บ และการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ เมื่อมีกล้ามเนื้อมากก็สามารถเก็บไกลโคเจนได้มาก คนที่ออกกำลังกายจึงอ้วนยากกว่าคนที่คุมอาหารเพียงอย่างเดียว

ส่งต่อความปราราถนาดี by Ammie @club.agirl

Posted on Leave a comment

ทำไมอ้วนลงพุง จึงลดไม่ได้ด้วยการอดอาหาร และออกกำลังกาย

หลายๆคนที่ลงพุง คงเคยตั้งคำถามนี้กับตัวเอง และหมดกำลังใจกับการลดน้ำหนัก เพราะไม่ว่าจะอดอาหารอย่างไร หรือออกกำลังกายวันละหลายชั่วโมง สัปดาห์ละหลายวัน ก็ยังไม่สามารถเอาห่วงยางรอบเอวออกไปได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ..เรามาดูคำตอบของเรื่องนี้กันค่ะ

อ้วนลงพุง

ร่างกายก็เหมือนกับโรงงาน
มีฮอร์โมนเป็นตัวควบคุมการทำงานของเครื่องจักรให้ทำงานปกติ
กลไกการทำงานภายในร่างกายคนเรา ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็คงคล้ายกับโรงงาน เราต้องการพลังงาน ก็คือการรับประทานอาหาร มีการใช้พลังงาน มีการเผาผลาญอาหารเป็นพลังงาน และใช้หมดไป

เครื่องจักรต้องมีการควบคุมให้ทำงานได้ตามปกติ ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับฮอร์โมน ที่คอยควบคุมการทำงานของกลไกต่างๆของร่างกายให้ทำงานได้เป็นปกติ

ร่างกายที่ทำงานปกติ ก็จะมีการใช้พลังงาน เผาผลาญอาหารเป็นพลังงานตลอดเวลา ก็จะไม่เกิดการสะสมของไขมัน ก็คือ ❝ ไม่อ้วน ❞

แล้วเกิดอะไรกับคนอ้วน ทำไมร่างกายไม่นำพลังงานไปใช้

คนที่อ้วนลงพุง เกิดจากร่างกายไม่ยอมเผาผลาญ หรือเรียกอีกอย่างว่า
” metabolic syndrome “

ซึ่งจำเป็นต้องตรวจเช็คดูว่า เป็นเพราะอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ พบว่าเกิดจากความ*ผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งมีสาเหตุเริ่มต้นมาจากการสะสมของท๊อกซินในเซลล์ไขมัน ( fat cell ) พอสะสมนานๆ อินซูลิน ซึ่งเป็น ฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ทำหน้าที่นำน้ำตาลจากเลือดเข้าไปในเซลล์ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานเริ่มทำงานได้ไม่ดี ไม่สามารถนำเอาน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ น้ำตาลก็เก็บเป็นไขมัน ร่างกายก็ต้องใช้อินซูลินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในการนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน จนเกิดภาวะที่อินซูลินดื้อ ไม่ทำงาน พอถึงตรงนั้นก็*ไม่เผาผลาญน้ำตาลแล้ว *เก็บเป็นไขมันอย่างเดียว

✿ ถ้าร่างกายขาดพลังงาน มันก็จะดึงเอากล้ามเนื้อไปใช้แทน เพราะมันดึงไขมันออกมาไม่ได้ จึงเป็นที่มาของความเหี่ยว ผิวหย่อนคล้อย

จะเห็นได้ว่าขบวนการนำพลังงานไปใช้ในร่างกายมีความสำคัญมาก มีผลต่อสุขภาพ และความเป็นหนุ่มเป็นสาว ถ้าระบบเผาผลาญเราดี ขบวนการใช้พลังงานในร่างกายเราก็จะดี ถ้าร่างกายเราเริ่มเสื่อม เริ่มเฉื่อย ก็จะไม่ใช้พลังงาน แต่เก็บเป็นไขมัน อย่างเดียว

จะพบว่า ในคนส่วนใหญ่เมื่ออายุยังน้อยจะไม่มีปัญหาเรื่องอ้วนลงพุง แต่พออายุเริ่มใกล้ 50 รอบเอวเริ่มหาย เริ่มมีห่วงยางรอบเอว ทำยังไงก็ไม่หาย

ทั้งนี้เพราะเซลล์ในร่างกายเริ่มเสื่อม ฮอร์โมนเริ่มไม่ทำงาน เหมือนเมื่อตอนอายุยังน้อย กลไกการทำงานต่างๆของร่างกายจึงเริ่มผิดปกติ เสียสมดุล และเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆตามมา ไม่เพียงเฉพาะโรคอ้วนเท่านั้น จึงเป็นที่มาว่าถ้ามีอาการอ้วนที่รอบเอว จะมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และโรคหัวใจมากกว่าอ้วนในส่วนอื่นๆ ทั้งนี้ก็เพราะเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานนั่นเอง

ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามปัญหาเรื่องอ้วน ว่าเป็นเพียงเรื่องความสวยความงามเท่านั้น เพราะที่จริงมันคือสัญญาณเตือนโรคร้ายให้กับเรา ที่ต้องหันมาเอาใจใส่ และดูแลตัวเองอย่างจริงจัง

อ้วนลงพุง

ความอ้วนที่เกิดจากการเสียสมดุลฮอร์โมนเช่นนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการแพทย์ชลอวัย ( Anti Aging )
การรักษาตามหลักการแพทย์ชลอวัย (Anti Aging) เริ่มต้นจากการตรวจเช็คร่างกายเพื่อให้รู้ที่มาของปัญหา และจะได้แก้ไขได้ถูกต้อง มีการปรับสมดุลร่างกาย

ด้วยการกำจัดสารพิษ และปรับสมดุลฮอร์โมนด้วยวิธีธรรมชาติ เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำงานได้ตามปกติ มีการเผาผลาญ นำพลังงานไปใช้ได้ตามปกติ นอกจากนี้ก็อาจจะมีการดูแลเรื่องอาหาร และการออกกำลังกายเพิ่มเติม ตลอดจนการใช้เครื่องมือต่างๆเพื่อช่วยให้เกิดการทำลายเซลล์ไขมัน และเร่งการเผาผลาญให้มากขึ้น ก็จะทำให้เห็นผลได้เร็วขึ้น

จะเห็นได้ว่า อ้วนลงพุง แก้ไขได้ ตามวิธีการที่เล่ามา ดังนั้นอย่าปล่อยให้ห่วงยางอยู่รอบเอวอีกต่อไปเลยค่ะ เพราะไขมันที่รอบเอวมีอันตรายมากกว่าความไม่ดูดีมากมายจริงๆ

Posted on Leave a comment

ไขความลับ! 5อ.ชะลอวัย

ชะลอวัย

วัยทำงานมักต้องเจอปัญหาความเครียด อาการไม่สดชื่น หงุดหงิดง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย นอนไม่ค่อยหลับ อ้วนง่าย เหล่านี้เป็นปัญหาที่พบเห็นได้บ่อยๆ ของชาวออฟฟิศและคนเมืองเลยทีเดียว

อยู่แบบ 5 อ.ช่วยชะลอวัยได้

ชะลอวัย

เมื่อไปพบแพทย์ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นโรคอะไร แต่สำหรับทางการแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยหรือ Anti – Aging Medicine

เรียกอาการเหล่านี้ว่าร่างกายเริ่มเกิดความเสื่อม เมื่อร่างกายเริ่มเสื่อมอวัยวะต่างๆ ก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ อาการหรือโรคที่เกิดจากความเสื่อมก็จะตามมา เช่น โรคมะเร็งต่างๆ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคต้อกระจก โรคระบบประสาทเสื่อม โรคกระดูกพรุน เป็นต้น

แล้วเราจะสามารถชะลอความเสื่อมของร่างกายได้หรือไม่ และมีวิธีไหนบ้าง พญ.กฤดากร เกษรคำ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านชะลอวัย จาก AddLife Anti-Aging Center ไลฟ์เซ็นเตอร์ คิวเฮ้าส์ ลุมพินี กล่าวว่า ภาวะเสื่อมของร่างกายเกิดขึ้นได้เมื่อเราอายุมากขึ้น โดยเฉลี่ยจะเริ่มเกิดความเสื่อมของร่างกายเมื่ออายุ 30 ปี แต่ในปัจจุบันสภาพแวดล้อม อาหาร อากาศ และมลภาวะที่เป็นพิษทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมเร็วขึ้น

การแพทย์เฉพาะทางด้านชะลอวัย จึงเข้ามาช่วยรักษาหรือแก้ไข โดยจะมุ่งเน้นที่การป้องกันโรค การฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงการรักษาสุขภาพก่อนที่จะเกิดโรค ทั้งการใช้สารอาหาร แร่ธาตุ ฮอร์โมนต่างๆ มาช่วยทำให้ร่างกายชะลอความเสื่อมให้ช้าลง สำหรับผู้ที่อยากชะลอความเสื่อมของร่างกาย เพื่อช่วยชะลอวัยให้ดูเด็กลง สามารถทำได้ง่ายๆ คือ ให้อยู่แบบ 5 อ.

ชะลอวัน

อากาศ : อยู่ในที่ๆ มีอากาศบริสุทธิ์ หลีกเลี่ยงมลภาวะเป็นพิษต่างๆ ทั้งรังสี UVA และ UVB ในแสงแดด ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ที่ช่วยเร่งความเสื่อมของร่างกาย หาเวลาไปพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์นอกเมืองแล้วคุณจะรู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่งขึ้น

อาหาร : ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เปลี่ยนกลุ่มอาหารให้หลากหลาย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแป้ง และไขมันสูง อาหารที่มีสารปนเปื้อน ถ้าเป็นไปได้ควรทำอาหารทานเองบ้าง

ออกกำลังกาย : การออกกำลังช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีและแลดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย แต่คนเรามักจะบอกว่าไม่มีเวลา ควรจัดสรรเวลาให้ออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 150 นาที และการออกกำลังที่ดีควรมีการผสมผสานให้หลากหลาย เช่น แอโรบิค วิ่ง ว่ายน้ำ จ๊อกกิ่ง ช่วยกระตุ้นเลือดลม ทำให้หัวใจแข็งแรง โยคะ ช่วยให้ข้อต่อมีการยืดหยุ่นที่ดี การยกเวท จะช่วยเรื่องมวลกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ป้องกันกระดูกบาง เป็นต้น

อารมณ์ : หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส เป็นคำที่ใช้ได้กับทุกๆ สมัย คนเราสมัยนี้มักมีความเครียด การคิดบวก ปรับวิธีคิดหามุมบวก นั่งสมาธิ จะช่วยคลื่นในสมองได้หลับสนิท ลองหาเวลานั่งสมาธิวันละ 5นาที

แอนไท-เอจจิ้ง : การแพทย์แนวรุกมุ่งเน้นการฟื้นฟูรักษาภาวะเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เพราะแม้ว่าเราจะทำครบ 4 อ. ข้างต้น แต่เมื่อร่างกายเสื่อมถึงจุดหนึ่ง มีอาการ “แก่” เกิดขึ้นแล้ว เราจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้การรักษาและชะลอไม่ให้สุขภาพเสื่อมถอย แต่ฟื้นฟูให้แข็งแรงขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข

วิธีง่ายๆ ที่คุณก็สามารถดูแลสุขภาพตนเองให้ดูอ่อนวัยห่างไกลโรคได้ เริ่มปฏิบัติวันนี้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวน่ะค่ะ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก healthy

 

 

 

 

Posted on Leave a comment

10 เทคนิค กินยังไงไม่ให้อ้วน

กินไม่ให้อ้วน

อยากกินก็อยาก แต่ไม่อยากอ้วน ดูเหมือนย้อนแย้ง แต่เชื่อว่าสาวๆหลายคนรู้สึกแบบนี้จริงๆ แอดมินเองก็เช่นกันค่ะ แต่ใช่ว่าเราจะไม่มีวิธีไปซะเลยทีเดียวนะ การกินให้ไม่อ้วน น้ำหนักไม่ขึ้นมันมีเคล็ดลับอยู่จ๊ะ ลองอ่านดูนะ เผื่อจะเอาไปใช้ได้

 

1.กินน้อยหน่อยได้แต่อย่าปล่อยตัวเองให้หิวจนตาลาย การที่เราปล่อยให้ตัวเองหิวมากๆ สุดท้ายเกือบร้อยทั้งร้อยก็ตบะแตก จัดหนักไปเลยทีเดียวอย่าทำให้ตัวเองหิว เพราะมันอันตรายกับหุ่นของเรามากกว่าเยอะ

2.ออกกำลังกายด้วย อย่ากินอย่างเดียวเด็ดขาด ต้องออกกำลังกายด้วย เลิกใช้ลิฟท์แล้วมาเดินขึ้นบันไดเถอะนะช่วยได้มากเลย

3.ลดปริมาณการกินแป้ง หรือข้าว ที่เป็นคาร์โบไฮเดรตไม่ต้องถึงกับงด เพียงแต่ลดปริมาณลงนิดนึง ถ้าไม่อิ่มก็ให้เพิ่มเป็นผักและผลไม้เข้าไปแทน

4.กลัวกินเยอะก็ให้ลองดื่มน้ำเยอะๆ การดื่มน้ำเยอะๆ ช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสเปล่งปลั่ง ช่วยเรื่องระบบขับถ่ายแล้วก็ทำให้เราอิ่มเร็วด้วย

5.งดรับประทานน้ำอัดลม ของชอบที่หวานๆ ทั้งหลาย บอกเลยว่านี่แหละเป็นตัวการที่ทำให้เราอ้วน แล้วก็อ้วนมากด้วยนะ ใครที่รู้ตัวก็ให้ห้ามใจ และฝึกควบคุมตัวเองตั้งแต่ตอนนี้เลย จะได้หุ่นดีไงจ๊ะ

6.ทานอาหารเช้า อย่าอดข้าวมื้อนี้เป็นอันขาด เพราะมันจะเหมือนกับข้อ 1 ที่ว่าพออดแล้วยิ่งทำให้เราโหย อยากกินเยอะขึ้นทั้งที่ไม่ควรเลย

7.เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าฟิต พอดีตัวดูมั้ย!? สาวๆ ที่ใส่เสื้อตัวเล็ก โชว์พุงนิดๆ มักจะกลัวไขมันโผล่ เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นการบังคับตัวเองไปในตัว ยิ่งใส่เสื้อตัวเล็กยิ่งไม่กล้ากินเยอะ

8.ของกินเล่น พวกขนมขมเคี้ยวทั้งหลาย เอาไว้ให้ห่างๆ มือเลย เวลานั่งทำการบ้าน เล่นมือถือ เล่นคอมพิวเตอร์ ก็ไม่ควรมีของกินวางใกล้ๆ เพราะเราชอบเผลอหยิบกินโดยไม่รู้ตัว หรือไม่ก็ ลองเปลี่ยนจากขนมอบกรอบมาเป็นผลไม้แทนแล้วกัน แบบนี้มีประโยชน์ ไม่อ้วนด้วย

9.ไม่ซื้อของอ้วนๆ มาไว้ในบ้าน ถ้าไม่มีของกิน เราก็จะไม่กิน นี่เป็นการแก้ปัญหาที่ได้ผลดีทีเดียว อันนี้อาจต้องขอให้คนในบ้านช่วยให้ความร่วมมือด้วย ประมาณว่าอย่าห่วงว่าเราจะหิวเกินไป ถ้าเป้าหมายของเราคือการลดความอ้วน ก็ขอให้เอาศัตรูของการเป็นสาวหุ่นสวยออกไปไกลๆ เลย

10.กินอาหารทุกหมู่ ไม่ต้องกลัวเรื่องแคลอรี่ให้มันมากเกินไป เพราะถ้าเราป่วยขึ้นมา มันก็ไม่คุ้ม ผอมสวยแบบคนสุขภาพดี ดูโอเคกว่าผอมแบบป่วยๆ เยอะนะจ๊ะ

กินไม่ให้อ้วน

ขอบคุณที่มา :lady108.com

renuva

No posts found!

Posted on Leave a comment

ลำดับการสะสมไขมันในร่างกายของคน

สะสมไขมัน

เรารู้ๆกันอยู่แล้วว่า ถ้าหากเราทานอาหารมากเกินกว่าที่ร่างกายได้รับ พลังงานส่วนเกินก็จะสะสมในรูปของไขมัน

ซึ่งลำดับการสะสมไขมันในร่างกายของคนจะมีดังนี้

1. ไขมันช่องท้อง หรือ Visceral fat หรือ Intra-Abdominal fat
เป็นส่วนแรกที่ไขมันจะมาสะสมในร่างกาย แต่ใช้เป็นไขมันสำรองอันดับสุดท้าย ยิ่งอ้วนก็ยิ่งมาก และกดทับอวัยวะภายใน ทำให้พุงยื่นออกมา หรือ อ้วนแบบขุนช้าง (พุงช้าง) ทำให้เกิดสารพัดโรค รวมภึงภาวะภูมิแพ้
การลดไขมันส่วนนี้ ต้องควบคุมอาหาร และ ออกกำลังกายแบบแอโรบิค เพื่อให้ร่างกายเอาไขมันมาใช้เป็นพลังงานให้มากที่สุด

วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ตื่นมาเดิน หรือ ปั่นจักรยานตอนเช้า (ไม่ต้องวิ่ง)ให้ได้ครั้ง 45-60 นาที สัปดาห์ละ 4-5 ครั้ง
แต่ปัญหาที่พบก็คือ ถ้าร่างกายใช้ไขมันส่วนนี้เป็นพลังงาน เซลล์ไขมันส่วนนี้จะปล่อยสารกลุ่ม allergenic ออกมาได้เช่นกัน ส่งผลให้บางคนเป็นไข้
ในส่วนของคนผอมมากๆ แต่ที่มีพุงป่องออกมา จะเกิดจากการที่ไม่เคยบริหารกล้ามเนื้อท้องส่วนที่รั้งอวัยวะภายใน ที่เรียกว่า “Transverse abdominis” ซึ่งสามารถฝึกได้ง่ายๆ โดยการเขม่วพุงเข้าไปให้ได้มากที่สุด หรือที่เรียกว่า ” Stomach Vacuum”

2. Subcutaneous fat หรือ ไขมันใต้ผิวหนัง
เป็นส่วนที่สองที่ไขมันจะมาสะสม และใช้เป็นพลังงานต่อจากไกลโคเจน โดยร่างกายส่วนที่สามารถสะสมไขมันส่วนนี้ได้ดี จะมีส่วนของ Alpha receptor ที่ทำหน้าที่ในการดึงไขมันมาสะสมในร่างกาย ซึ่งพบมาก ตั้งแต่ ใต้แนวลิ้นปี่ ลงไปจนถึง ต้นขาครึ่งบน ซึ่งก็คือ ส่วนของ ท้อง เอว สะโพก และ ต้นขาส่วนบน นั่นเอง
หรือที่สาวๆเรียกกันว่า “เซลลูไลต์” ก็คือ ไขมันที่สะสมใต้ผิวหนังส่วนนี้”
การลดไขมันส่วนนี้ ใช้วิธีเดียวกับการลดไขมันในช่องท้อง แต่ไขมันใต้ผิวหนังจะลดได้ง่ายกว่า

3. Inter-muscular fat หรือ ไขมันแทรกระหว่างกล้ามเนื้อ 2 มัด
จะพบในคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน และ เบาหวาน รวมถึงคนที่อ้วนมากๆ (ไขมันร่างกาย >35%)
ใช้เป็นตัวใช้วัดว่า ร่างกายเริ่มมีปัญหาแล้วนะ

4. Intra-muscular fat หรือ ไขมันแทรกภายในกล้ามเนื้อ
จะพบเช่นเดียวกับกลุ่มแรก เพียงแต่อาการหนักกว่า
ส่วนในสัตว์ก็จะพบได้ในเนื้อวัว โดยเฉพาะเนื้อโกเบบีฟ หรือ โคมัตซึซากะ
คนกลุ่มนี้ควรออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ร่วมกับเดินหรือ ปั่นจักรยานสัปดาห์ละ 4-5 วัน

เขียนให้รู้ว่าไขมันสะสมที่ส่วนไหนบ้าง และลดความอ้วนง่ายๆได้อย่างไร บางทีคนที่อ้วนก็น่าจะลดไขมันที่สะสมในร่างกายแล้วนะคะ

อย่าไปใช้คำว่า “อ้วนอย่างมีความสุข” ไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะมีความสุข อย่าไปคิดในโลกสวยแบบนั้น มันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณเอง ทั้งความดันโลหิตสูง หาเสื้อผ้าใส่ยาก ข้อเข่า ข้อเท่ารับภาระหนัก

แถมยังต้องเป็นขี้ปากของชาวบ้านที่จะเรียกคุณว่า “ไอ้อ้วน หรือ อีอ้วน” แต่ตอนที่หุ่นดีแล้ว ไม่เห็นมีใครเรียกว่า “ไอ้หุ่นดี หรือ อีหุ่นดี”กันบ้างเลย

คุณอาจจะย้อนมาว่า “แล้วมันหนักหัวกบาลส่วนไหนของใคร” ซึ่งมันก็ไม่หนักหรอกนะ คุณเองต่างหากที่หนักทั้งตัวเลย แถมหนักรถอีกตะหาก

ดูแลสุขภาพดีๆ อยู่กับคนที่เรารัก และรักเราไปนานๆนะคะ

 

 

Posted on Leave a comment

12 ข้อคิด จากมหาเศรษฐีพันล้าน Warren Buffet

ข้อคิดมหาเศรษฐี

น้อยคนนัก ที่จะไม่รู้จัก ชายแก่ หน้าตาใจดี
มหาเศรษฐี อันดับ 3 ของโลกในปัจจุบัน

ด้วยทรัพย์สินรวม 40,000 ล้านดอลลาห์
CEO ของบริษัท Berkshire Hathaway
หรือเรียกว่า ปู่บัฟ ในวงการเล่นหุ้น


นี่คือ12 สิ่งที่ควรเรียนรู้จากมหาเศรษฐี
อย่างวอเรน บัฟเฟต์

1. ให้คุณค่าชื่อเสียง และเกียรติยศของคุณ

“เราใช้เวลา 20 ปีในการสร้างชื่อเสียง เกียรติยศ
แต่เราสามารถทำลายมันทั้งหมด ได้เพียงแค่ 5 นาที

ถ้าคุณระลึกถึงมัน คุณจะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป”

กว่าจะสร้างชื่อเสียง และเกียรติให้แก่ สิ่งที่เรามีได้
มันอาศัยเวลาที่ยาวนาน

ดังนั้น ก่อนที่เราจะทำอะไร
ควรคิดให้ดีๆก่อน

ถ้าเรามีสติ คิดตรึกให้ดีๆ
เราจะไม่ทำสิ่งที่เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ
แต่สามารถทำลายทุกอย่างที่เรามีได้ในชั่วพริบตา


2. ทำงานเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น

“คนบางคน ได้นั่งอยู่ใต้ร่มเงาในวันนี้
ก็เพราะเคยมีคนปลูกต้นไม้ต้นนี้ เมื่อนานมาแล้ว”

ถ้าเราอยากมีอนาคตที่ดี
เราจึงควรเริ่มเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ ตั้งแต่วันนี้

เพราะสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ในวันนี้
คือผลลัพธ์ของการกระทำในครั้งก่อน

สิ่งที่เราทำในอดีต ก็คือผลในปัจจุบัน

ดังนั้น
ถ้าตอนนี้เรายอมทำอะไรบางอย่าง
ที่อาจจะเหนื่อยสักหน่อย เพื่ออนาคต

มันก็คงดีกว่า การที่ไม่ทำอะไรในวันนี้
แล้วไปลำบากวันข้างหน้า


3. เพิ่มเติมคุณค่า

“สิ่งที่จ่ายไปคือ ราคา
แต่สิ่งที่ได้มาคือ คุณค่าของมัน”

เวลาเราซื้ออะไร
มันเพราะเราเล็งเห็นคุณค่า ของสิ่งๆ นั้น ใช่หรือไม่?

คนอื่นจะมองเห็นคุณค่า
ของสินค้า และบริการของเรา มากแค่ไหน

ย่อมขึ้นอยู่กับว่า
เราให้คุณค่าสินค้า และบริการของเรา เพียงพอหรือยัง??


4. เลือกคบเพื่อนให้ดี

“มันดีกว่า ที่เราจะคลุกคลีกับคนที่ดีกว่าเรา
เลือกคบกลุ่มเพื่อน ที่นิสัยที่ดีกว่าเรา

และเราจะถูกนำพา ไปในทางเดียวกัน”

ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ
เราควรคบหาสมาคม กับคนที่ประสบความสำเร็จ

มีคนกล่าวว่า
“เรามักจะมีค่าเฉลี่ย เท่ากับคนที่เราสนิทด้วยที่สุด 5 คน”


5. ความอดทน คือกุญแจสำคัญ

“ไม่ว่าเราจะเก่ง หรือขยันแค่ไหน
บางสิ่งบางอย่างก็ต้องใช้เวลา

เราไม่สามารถ ทำให้เด็กคลอดออกมา
อย่างปกติได้ภายใน 1 เดือน

โดยการทำให้ผู้หญิง 9 คนท้องแทน”

นอกจาก
ความขยัน และความสามารถของเราแล้ว

อีกสิ่งที่ต้องมีคือ “ความอดทนรอคอย”


6. กล้าเสี่ยง (หลังจากวิเคราะห์ดีแล้ว)

“ความเสี่ยง มาจากการที่เราไม่ทราบ ว่ากำลังทำอะไรอยู่”

แน่นอนว่าธุรกิจมีความเสี่ยง
แต่บัฟเฟต์เชื่อว่า จะเสี่ยงมากเสี่ยงน้อย

ขึ้นอยู่กับว่าเราคำนวณ และวิเคราะห์
สิ่งที่เราจะทำดีพอหรือยัง


7. ทำสิ่งที่รัก

“มันจะมีช่วงเวลา ที่เราควรทำสิ่งที่เราต้องการ
ทำงานที่เรารัก ที่มันทำให้เรา
รีบกระโดดออกจากเตียงในตอนเช้า

เพราะผมคิดว่า คุณต้องบ้าแน่ๆ
ถ้าคุณต้องทนทำงานที่ไม่ชอบ

เพื่อแค่ให้มันดูดีในเรซูเม่
นั่นมันไม่ใช่การเก็บ Sex เอาไว้ สำหรับยามแก่หรอกหรือ?”

สรุปง่ายๆ ก็คือ ทำสิ่งที่คุณรัก

เพราะคนส่วนมาก กำลังทำลายชีวิตของตัวเอง
โดยการเลือกทำตามสิ่งที่คนอื่นต้องการ


8. รู้จักคู่แข่งของเรา

“ในโลกของธุรกิจ
กระจกมองหลัง ชัดกว่ากระจกหน้ารถเสมอ”

การรู้จักคู่แข่งของเรา ดีกว่ารู้จักตัวเราเอง

เพราะเราจำเป็น ต้องติดตามคู่แข่งของเราเสมอ
ว่าเขาจะไปทางไหน จะทำอะไร

รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง


9. เดินทีละก้าว

“ผมไม่ได้มองหา
ว่าจะกระโดดไปข้างหน้าทีละ 7 ฟุตได้อย่างไร

แต่ผมมองไปรอบๆ ว่ามีบาร์ 1 ฟุต
ที่สามารถจะข้ามไป ได้หรือไม่”

บัฟเฟต์ไม่เชื่อในเรื่อง
การประสบความสำเร็จ เพียงชั่วข้ามคืน

แต่เขาเชื่อว่า เราควรเดินทีละก้าว
แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ เพื่อค่อยๆเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น


10. เรียนรู้ ที่จะปฏิเสธ

“ข้อแตกต่าง
ระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ

คือ คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ รู้จักการปฏิเสธ”

ควรรู้จักการพูดปฏิเสธ
เสียงรอบข้าง หรือคำแนะนำต่างๆ

เพราะสุดท้ายแล้ว การตัดสินใจทุกอย่าง
ก็ขึ้นอยู่กับเราฝ่ายเดียว

การฟังคนอื่น หรือแม้แต่เสียงในหัวมากไป
จะทำให้เราเกิดความลังเลสงสัย และตัดสินใจผิดพลาดได้

จงเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ อย่างเด็ดขาดเสียบ้าง


11. ความซื่อสัตย์ หาได้ยาก

“ความซื่อสัตย์ เป็นของขวัญราคาแพง
อย่าคาดหวังว่า จะได้มันจากคนราคาถูก”

คนราคาถูก ไม่ได้หมายถึงคนยากจน
แต่ในที่นี้หมายถึง คนที่ไม่จริงใจ

เพราะความจริงใจ หาได้ยาก
ถ้าเราเจอแล้ว ก็อย่าทำให้ตัวเองเสียคนพวกนี้ไป


12. หัดที่จะควบคุม

“เราต้องควบคุมเวลา และสิ่งที่เรามี
เราไม่สามารถ ให้คนอื่นกำหนดชีวิตของเราได้”

อย่าลืมว่า ชีวิตเป็นของเรา
เรา คือเสาหลักของชีวิตเราเอง

ดังนั้น เราจึงไม่ควร ให้คนอื่นคุมบังเหียนชีวิตของเรา


Cr. ข้อมูลจาก internet