Posted on Leave a comment

กฏเหล็กลดไขมัน

ลดไขมัน

1. ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลง (เช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล อาทิเช่น ขนมปัง ขนม น้ำผลไม้ น้ำปั้น )

Tip. การดื่มน้ำผลไม้คือเรื่องที่ผิดเพราะน้ำตาลสูงถ้าเลือกกินขอกินแบบเป็นผลดีกว่า

2. งดของมัน ทอด ถ้างดไม่ได้ก็ลดไปทีละนิด
Tip. เนื้อสัตว์ติดมัน ของชุบแป้งทอด

3. ให้มีผักในทุกๆมื้อ มีกากใบช่วยดัดไขมันได้ ช่วยการขับถ่ายท้องยุบ มีวิตามินช่วย
Tip. ผักกินได้เยอะกินเท่าไรก็ได้ แต่ล้างให้สะอาด ใครที่ไม่กินผักก็กินโยเกิร์ลได้ช่วยขับถ่าย (ดูฉลากเรื่องน้ำตาลและแคลลอลี่ดีๆ)

4. กินมื้อเช้าเพื่อกระตุ้นการเผาพลาญเต็มสูบ
Tip. กินมื้อเช้าช่วยให้เริ่มการเผาพลาญให้พลังงานแก่สมอง และจะไม่หิวโหยให้มื้อต่อๆไป

5. อย่าอดมื้อเย็นและกินระยะห่างก่อนนอน3-6ชม
Tip. มื้อเย็นควรงดเด็ดขาดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล ควรทานอาหารที่มีโปรตีน เน้นไก่ ปลา

6.หิวระหว่างวันกินไรดี?? กินผลไม้ที่มีแคลน้อยเช่น แก้วมังกร แตงโมง แคนตาลูป ฝรั่ง และน้ำเปล่า ถั่ว1กำมือ

7. กินน้ำเยอะร่างกายยิ่งไม่บวม ช่วยการเผาพลาญ ผิวชุ่มชื่น จางโซเดียม ลดอาการบวมน้ำ

8. ออกกำลังกายต่อเนื่อง40นาทีขึ้นไป เหงื่อออกเยอะไม่ใช่ไขมัน ไขมันไม่ขับทางเหงื่อ ร่างกายจะเอาไขมันมาใช้ในเวลา40นาทีขึ้นไป

9. ตั้งเป้าหมายที่ละน้อยๆ เช่น ทีละ3โล

10. เพื่อนชวนแดกอย่าไป 55++ ไม่มีใครยอมเสียค่าบุฟเฟต์แพงๆเพื่อไปแดกผักต้มหรอก

11. กินของที่อยากกินได้ 1 มื้อ ต่อสัปดาห์ (ถ้าไม่กินก็จะเห็นผลเร็วกว่านี้)

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
Posted on Leave a comment

►ขาดไปก็กินเพิ่ม‼️

ขาดไปก็กินเพิ่

‼️ ✺สัญญาณต่อไปนี้ แสดงให้รู้ว่า ร่างกายกำลังขาดสารอาหารบางอย่าง

ซึ่ง ไม่ควรชะล่าใจ เพราะอาจลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่โตสุขภาพในภายหลังได้

►ผิวแห้ง ►ผมแห้ง ►ผิวหนังอักเสบ ►เล็บเปราะบาง

ปัญหา : ขาดโอเมก้า3
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น :
ปลาไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาสวาย ผักใบเขียวเข้ม ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง ธัญพืช ถั่ว สาหร่าย ถั่ วเหลือง

►จุดสีขาวบนเล็บ ►ผมร่วงแผลหายยาก
ปัญหา : ขาดธาตุสังกะสี
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น :
ถั่วเหลือง ถั่ว ธัญพืช เมล็ดฟักทอง
เมล็ดทานตะวัน เนื้อไร้ไขมัน ปลา ไก่ นม ชีส ไข่แดง

►อ่อนเพลีย ►ลิ้นเลี่ยนแดงเป็นมัน
ปัญหา : ขาดธาตุเหล็ก
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
ตับ เนื้อ ไก่ ปลา ธัญพืช ผักโขม ถั่ว รวมถึงอาหารที่มีวิตามินซีสูง
เช่นผลไม้รสเปรี้ยว เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น

►เล็บแยกปวดกล้ามเนื้อ
ปัญหา: ขาดแคลเซียม
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
นม โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว ถั่วเหลืองเต้าหู้ ปลาแซลมอน อัลมอนด์

►เป็นตะคริว
ปัญหา : ขาดแมกนีเซียม
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียว

►เล็บนิ่มและเป็นรอน เหงือกร่น
ปัญหา : ขาดโปรตีน
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จาก นมถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้
น้ำถั่วเหลือง ธัญพืช ถั่ว

►เปลือกตาด้านล่างเป็นสีขาวหรือชมพูอ่อน
ปัญหา : ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น:
แครอท ผักโขม บีตรู้ต ถั่วเหลือง อัลมอนด์

►ปากเปื่อย ►ตาแห้ง
ปัญหา : ขาดวิตามินเอ
♥️อาหารที่ควรรับประทานเพิ่มขึ้น :
นม ไข่แดง ผักโขม แครอท มะม่วงฟักทอง มันเทศ

ส่งต่อความปรารถนาดี by Ammie @club.agirl สวยทั้งภายในและภายนอก

#789beauty สวยครบ จบที่นี่

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส

Posted on Leave a comment

ยิ่งอดมื้อเย็น ยิ่งส่งผลร้าย

งดมื้อเย็น

หลายคนที่อยากลดน้ำหนัก อาจจะเคยได้ยินถึงวิธีลดน้ำหนักด้วยการอดหรืองดอาหารมื้อเย็น ซึ่งโดยความเชื่อนี้ก็คือ หากเราไม่กินอาหารเลยในมื้อเย็นจะทำให้ผอมลงเร็วกว่า ความเชื่อนี้ถูกต้องจริงเหรอ และผลจากการอดอาหารมื้อเย็นจะทำให้ลดน้ำหนักได้ผลจริงๆ หรือเปล่าวันนี้เรามาทำความเข้าใจกันค่ะ

ทำไมต้องอดอาหารถึงจะทำให้เราผอมได้?
โดยพื้นฐานวิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้องนั้น เราต้องกินอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ในขณะเดียวกันพลังงานที่ได้จากอาหารในแต่ละวันนั้นหากเราได้รับมากกว่าพลังงานที่เราใช้ไปในแต่ละวัน พลังงานที่เหลือก็จะสะสมกลายเป็นไขมัน แต่หากวันไหนที่เราใช้พลังงานมากกว่าพลังงานที่ได้รับจากอาหาร ร่างกายก็จะนำเอาไขมันสะสมมาใช้งานเพื่อเป็นพลังงานทดแทน
ด้วยพื้นฐานเหล่านี้ทำให้หลายคนคิด (เอาเอง) ว่าการที่ร่างกายไม่รับพลังงานอะไรเลยจากอาหารในมื้อเย็น น่าจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานรวมในแต่ละวันน้อยลงอีก นอกจากนั้นก็คิดเองอีกว่าไม่กี่ชั่วโมงก็เข้านอนแล้วไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร ไม่ต้องกินอะไรก็ได้ ทนหิวนิดหน่อยกินน้ำเปล่าอย่างเดียวก็น่าจะผอมได้เร็วกว่า

แต่หลายคนคงลืมไปว่า หลักการคิดแบบนี้อาจจะนำไปใช้ได้กับบุคคลบางกลุ่ม เช่น คนที่ไม่ต้องมีกิจกรรมมากมายในช่วงเย็นถึงดึกและนอนหลับแต่หัวค่ำ นอกจากนั้นเขาจะต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอตั้งแต่มื้อเช้าและมื้ออาหารกลางวันแล้ว

ในขณะที่คนในเมือง นักเรียน คนทำงาน ในยุคปัจจุบันที่กว่าจะเลิกงาน เลิกเรียน กว่าจะห้อยโหนฝ่าการจราจรเดินทางถึงบ้านก็เลยเวลามื้ออาหารเย็นแล้ว ทำให้มื้อเย็นกลายเป็นมื้อดึก ประกอบกับกิจกรรมในช่วงเดินทางกลับบ้านหรือช่วงเย็นนั้นต้องใช้พลังงานไปไม่ใช่น้อย เมื่อร่างกายใช้พลังงานมากร่างกายจึงต้องการพลังงานและสารอาหารเข้ามาทดแทนและซ่อมแซม แต่การอดอาหารคิดแต่ลดจำนวนพลังงานโดยไม่สนใจสารอาหารที่ร่างกายต้องการในการซ่อมแซมร่างกายนั้นกลับเป็นผลร้ายในอนาคต

นอกจากนั้นพฤติกรรมการสังสรรค์หลังเลิกงาน ฉลองวันเกิด ฉลองงานแต่งงานของเพื่อน ฯลฯ รวมถึงพฤติกรรมการกินอาหานแบบบุฟเฟ่ห์ที่กลายเป็นค่านิยมไปแล้วสำหรับวัยรุ่น ซึ่งโดยมากคนไทยมักจะสังสรรค์กันตอนมื้อเย็น ทำให้เราบริโภคอาหารในปริมาณที่มากและได้พลังงานเกินความจำเป็น

ด้วยเหตุนี้เมื่อใครที่อยากลดน้ำหนัก สิ่งแรกที่พวกเขาคิด (เอาเอง) ก็คือ งั้นเราอดอาหารมื้อเย็นดีกว่าเพราะจะได้ไม่ต้องกินเยอะแบบแต่ก่อน

การอดอาหารทำให้เราลดน้ำหนักได้จริงเหรอ
หากคุณใช้การอดมื้ออาหารใดมื้อหนึ่งแทนที่จะใช้การลดปริมาณการกินอาหารบางชนิดละก็ คุณอาจจะดีใจที่เห็นว่าตัวเลขน้ำหนักตัวบนตราชั่งลดลงในช่วงแรก แต่ในระยะยาวคุณจะพบว่าน้ำหนักตัวของคุณ รวมถึงสัดส่วนต่างๆ จะดีดกลับเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักนั้นจะทำให้กล้ามเนื้อของคุณถูกทำลายไปด้วย

เนื่องจากว่าร่างกายทำงานตลอดเวลา แม้คุณจะนั่ง เดิน นอน ฯลฯ แม้กระทั่งการใช้ความคิดร่างกายก็ต้องใช้พลังงานและเซลแต่ละเซลก็ทำงานและเสื่อมลง เซลล์เหล่านี้ต้องการพลังงานและสารอาหารเพื่อให้มันกลับมาทำงานได้ดีเหมือนเดิม

แต่เมื่อเราอดอาหารเพราะอยากลดจำนวนพลังงานที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน แต่ลืมคิดไปว่าร่างกายยังต้องการสารอาหารด้วย เมื่อร่างกายขาดสารอาหารร่างกายจะไปดึงเอากล้ามเนื้อ (ซึ่งเป็นโปรตีน) มาใช้งานทดแทนก่อน เนื่องจากเซลต้องใช้โปรตีนในการซ่อมแซมตัวเอง

ดังนั้นเมื่อเราอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งเป็นเวลานานๆ กล้ามเนื้อของคุณจะเริ่มลดลง โดยถูกแทนที่ด้วยไขมันแทน นี่คือสิ่งที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน!

แล้วต้องอดอาหารยังไงถึงจะลดน้ำหนักได้

เราไม่สนับสนุนให้คุณอดอาหารมื้อใดเลยสักมื้อเดียว!!

โปรดจำไว้ว่า ร่างกายคุณเสื่อมและถูกใช้ตลอดเวลาแม้กระทั่งการนั่งหายใจทิ้งไปวันๆ ก็ตาม!!!

ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องอดอาหารในมื้อเย็นหรือมื้อใดเลย แต่การลดจำนวนพลังงานที่ได้รับจากอาหารต่างหากที่คุณแค่ลด ขอให้คำนึงถึงสารอาหารมากกว่า ขอให้คุณได้รับสารอาหารในทุกๆ มื้อ โดยผ่านอาหารที่ให้พลังงานต่ำ แค่นี้คุณก็สามารถลดน้ำหนักได้แบบง่ายๆ โดยไม่มีผลกระทบอะไรกับร่างกายมากแล้วละค่ะ

ข้อแนะนำอีกอย่างคือ ขอให้คุณเลือกทานบางอย่างและลดอาหารบางอย่างลงในมื้อเย็นหรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนจะนอน

อาหารที่คุณควรหลีกหนีให้ไกลจากมื้อเย็นหรือก่อนนอนได้แก่ เมนูอาหารที่เน้นแป้ง น้ำตาล ชีส เนย

อาหารที่เราแนะนำให้คุณกินได้ในช่วงมื้อเย็นได้แก่ โปรตีน (ปลา, ถั่ว, ธัญพืชอื่นๆ), ผักและผลไม้

แต่ก็ไม่ใช่ว่ามื้อเย็นคุณจัดข้าวเหนียวทุเรียน, ข้าวเหนียวมะม่วง อันนี้ก็ตัวใครตัวมันนะคะ?

เมนูยอดนิยมที่มักจะแนะนำก็คือ การกินอาหารที่ให้โปรตีนที่มีกากใย ได้เคี้ยวมากหน่อย กินแล้วรู้สึกอิ่มท้อง

โปรดอย่าลืมว่าการได้เคี้ยวอาหารพร้อมกับการลิ้มรสต่างๆ ก็เป็นความสุขพื้นฐานของการกินของมนุษย์ทั่วๆ ไปเช่นกัน ดังนั้นจึงขอแนะนำเมนูเช่น ถั่วเขียว ถั่วแดงต้ม (ใส่น้ำตาลทรายแดงได้นิดหน่อย) หรือจะทานควบคู่กับผักสลัด หรือผลไม้ที่ให้กากใยมาก เช่น ส้ม กล้วย ส้มโอ แอ๊ปเปิ้ล หรือหากคุณต้องการทานเนื้อสัตว์ แนะนำปลานึ่งทานคู่กับผักลวกจิ้มน้ำพริกก็ได้เช่นกัน

แล้วถ้าอดใจกินอาหารจานโปรดไม่ได้… จะทำยังไงดี
การอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งทันทีเป็นเรื่องยาก การเปลี่ยนอาหารที่ทานในแต่ละมื้อก็ยากเช่นกัน และแน่นอนว่าหากคุณต้องหักดิบเหมือนเลิกยาที่ถ้ำกระบอกละก็ คนที่มีกำลังใจที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำได้ ส่วนคนที่ไม่ไหวก็ต้องล้มเลิกและกลับไปอ้วนเหมือนเดิม
ดังนั้น มีเทคนิคง่ายๆ สำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นลดน้ำหนักดังนี้

 ถ้าคุณเป็นมือใหม่ ใจไม่แข็งพอ ให้ใช้การขยับมื้ออาหารเย็นให้เร็วขึ้น (ทานให้เสร็จก่อน 6 โมงเย็น หรือช้าสุดไม่ควรเกิน 6 โมงครึ่ง) ช่วงนี้อาจจะมีปัญหาทางสังคมบ้าง เพราะเพื่อนเราอาจจะชวนไปกินกันดึกกว่านั้น ก็จงทำใจแข็งซะ แต่ถ้าปลีกตัวออกจากสังคมไม่ได้ งั้นต้องใช้เทคนิคข้อต่อไปนะคะ
 เปลี่ยนเมนูและปริมาณอาหารที่กินในมื้อเย็น จากเดิมที่เคยฟาดเรียบในมื้อเย็น ก็ขอให้ลดลงเหลือเพียงจานเดียวไม่มีการเติมหรือเบิ้ลครั้งที่สอง การเปลี่ยนเมนูจากเดิมที่เน้นของทอด ของมัน ชีส เนย กะทิ ต่างๆ ก็เปลี่ยนเป็นปลา, อาหารจืดๆ โดยเปลี่ยนทีละน้อยเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว ที่สำคัญคืออย่าเสียดายอาหารนะคะ อย่าห่วงงกกินกลัวไม่คุ้มเด็ดขาดหากคุณกำลังต้องการลดน้ำหนัก เพราะทุกคำที่คุณกินนั้นหมายถึงพลังงานที่ร่างกายต้องรับเข้าไป ซึ่งยิ่งกินมื้อดึกมากแค่ไหน มันก็เป็นภาระต่อร่างกายของคุณในวันต่อไปนั้นเอง

สรุปแล้วถ้าอดอาหารมื้อเย็น จะทำให้ผอมได้ไหม?
ถ้าคุณอด ไม่ยอมทานอะไรเลย ใช้น้ำเปล่าลูบท้องแล้วหวังว่าจะผอมละก็ ยินดีด้วยค่ะ เพราะคุณลดน้ำหนักได้จริงในช่วงแรก แต่ในระยะกลางและระยะยาวคุณจะกลับมามีน้ำหนักตัวและสัดส่วนที่อวบอ้วนกว่าเดิมแน่นอน
กล้าท้าคุณเลย!
เพราะความอยากอาหารนั้น หากคุณกดมันไปนานๆ สุดท้ายมันก็ต้องระเบิด (ที่เรียกว่า ตบะแตก) สักวันอยู่ดี ดีไม่ดีในมื้อถัดไปคุณก็กินแบบลืมตัวแล้วละค่ะ

นอกจากนั้นยิ่งอายุคุณมากเท่าไรการอดอาหารมื้อเย็นยิ่งส่งผลร้ายกับตัวคุณเองในระยะยาวมากขึ้น เพราะร่างกายคุณต้องซ่อมแซมและต้องการสารอาหารมากกว่าตอนสมัยวัยรุ่น คุณจะรู้สึกว่าคุณเพลีย และหน้าเหี่ยวๆ ร่างกายจะดูย้วยๆ ไม่สดชื่นเหมือนสมัยตอนอายุ 17-18 อีกต่อไป!

ดังนั้นขอสรุปเลยว่า หากคุณต้องการลดน้ำหนักด้วยวิธีอดอาหาร ไม่ว่าจะมื้อใดก็ตาม มันอาจจะช่วยให้คุณรู้สึกผอมได้ในช่วงแรกเท่านั้น แต่ในอีก 3 เดือน หรือ 1 ปีข้างหน้ามันไม่ดีต่อร่างกายคุณเลยสักนิดเดียว

เราขอแนะนำว่า ให้ใช้การปรับเวลาการกิน, เปลี่ยนเมนูอาหาร และปริมาณที่กินจะดีกว่า นอกจากจะได้ผลในระยะยาวแล้ว คุณยังมีสุขภาพใจ อารมณ์ดีอีกด้วย ไม่ต้องหงุดหงิด เพราะคุณยังคงได้กิน ได้เคี้ยวเหมือนเดิม เพียงแต่เลือกกินสักหน่อยแค่นี้ก็ลดความอ้วนได้แล้วค่ะ

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส

Posted on Leave a comment

การหัวเราะ มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

การหัวเราะ

ประโยชน์ในการหัวเราะ

เสียงหัวเราะถือเป็นยาขนานเอก ที่ทุกคนมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซึ่งก็แล้วแต่ว่าเราจะหยิบออกมาใช้หรือไม่ หรือบ่อยแค่ไหน ยิ่งในสังคมปัจจุบันที่ต้องเร่งรีบ พบเจอกับความเครียดเป็นประจำความวิตกกังวลต่างๆ อาจทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง ขาดชีวิตชีวาในการดำเนินชีวิต บทความนี้มีสาระดีๆ เกี่ยวกับประโยชน์จากการหัวเราะ มาฝากกันจ้า

1.การหัวเราะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ คนเราเมื่ออารมณ์ดีจะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ ในงานวิจัยจากคณะจิตวิทยามหาวิทยาลัยโตรอนโตแคนาดา บอกว่า อารมณ์ของเราน่าจะมีผลต่อการประมวลผลข้อมูลของสมอง ถ้าอารมณ์ดี จะช่วยขยายความคิดสร้างสรรให้กว้างขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าอยู่ในอารมณ์หวาดวิตก ถึงเครียดหรือ แม้แต่ความมุ่งมั่นมากเกินไป จะมีผลต่อความคิด จะมีผลต่อความคิด จะหดเข้ามา อารมณ์ดีหรือไม่ดี มีผลต่อกระบวนการคิด และแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ของคนเรา

2.การหัวเราะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เมื่อหัวเราะร่างกาย จะหลั่งสารชีวเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า ❝endorphin ❞ หรือเรียกว่า “เพชฌฆาตความเจ็บปวด ” หรือสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสุข ส่งผลทำให้อารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน สมองก็จะมีการถูกกระตุ้น ให้เพิ่มพื้นที่การประมวลผลความคิดในเชิงบวก และสร้างสรรค์ มีผลทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการบำบัด และฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว คนป่วยที่อารมณ์ดีจะหายป่วย ได้เร็วกว่า คนป่วยที่อารมณ์ไม่ดี

3.การหัวเราะแก้โรคซึมเศร้า การหัวเราะจะช่วยทำให้ร่างกายหลั่งสารสื่อประสาทชื่อว่า ซีโรโทนิน (Serotonin) และ ดูพามีน (Dopamine) เพิ่มมากขึ้นทำให้จิตใจสงบเยือกเย็นผ่อนคลาย

4.การหัวเราะเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค เมื่อหัวเราะร่างกายมีการหายใจเข้า การหายใจออก และหัวเราะหายใจออกยาวๆ ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนถ่ายออกซิเจน ฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดง จะทำให้เซลล์ประสาท หัวใจปอด คอ แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยบริหารร่างกาย ให้เกิดความร้อนและการเผาผลาญ พลังงานสูง ช่วยฆ่าเชื้อโรค และป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัดภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส กรน ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคปอด

5.การหัวเราะช่วยลดน้ำหนักและลดโรคทางเดินอาหาร เวลาเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า ❝คอร์ติซอล ❞(coltisol) ออกมา ทำให้เกิดความรู้สึกอยากอาหาร และกินมากขึ้น การหัวเราะ 30 วินาที ถึง 5 นาที 10 ครั้งต่อวัน จะช่วยให้ความอยากอาหารลดลง การหัวเราะช่วยให้อวัยวะส่วนท้อง อาทิ ลำไส้ใหญ่ ตับ ไต ไส้ กระเพาะ มีการเคลื่อนไหว เกิดการบริหารกระเพาะและลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหาร และการขับถ่ายดีขึ้น ป้องกันโรคอ้วนท้องผูก ท้องเสีย โรคกระเพาะโรคลำไส้ เป็นต้น

6. การหัวเราะบริหารหัวใจ การหัวเราะเป็นการออกกำลังทุกส่วน ของร่างกาย ทำให้อวัยวะต่างๆได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะ เร็วบ้างช้าบ้าง หัวใจสามารถสูบฉีดเลือด ไปเลี้ยงส่วนต่างๆมากขึ้น หัวใจทำงานเป็นระบบขึ้น ป้องกันอาการเวียนศรีษะ ปวดศีรษะ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็วเจ็บแน่นหน้าอก โรคขาดเลือด เส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคหัวใจการหัวเราะเพียง 15-20 นาที ในแต่ละวัน ช่วยทำให้หัวใจได้ออกกำลังกาย 3- 5 นาทีถือเป็นการบริหารหัวใจง่ายๆ ที่เหมาะกับผู้สูงอายุ ที่นอนอยู่บนเตียง และเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้

ประโยชน์ของการหัวเราะมีมากมายขนาดนี้ เรามาลองเปลี่ยนตัวเอง เป็นคนยิ้มง่าย หัวเราะง่าย ไม่เครียดกันดีกว่านะคร้า เริ่มที่ตัวเรา ขยายไปคนใกล้ชิด คนในครอบครัว เพื่อนร่วมงานสังคมของเราก็จะน่าอยู่มากขึ้นนะจ้า

Posted on Leave a comment

❝ ยิ่งนอนดึก ยิ่งอ้วน ❞ เรื่องจริงที่หลายคนยังไม่เคยรู้ !?

ิ่งนอนดึก ยิ่งอ้วน

ปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเกิน หรืออ้วนนั้นยิ่งอายุมากก็ยิ่งอ้วนขึ้นเป็นความจริงหรือเป็นไปได้ทั้งสองประการ
คนเราเมื่ออายุมากขึ้นอวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะเริ่มเสื่อมถอยระบบ การเผาผผลาญ จะน้อยลง แต่จะขึ้นอยู่กับอาหารการกิน ของแต่ละคนมากกว่า

หากไม่อยากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก
ควรควบคุมอาหาร ประเภท แป้ง ไขมันและน้ำตาล ให้พอดี

การนอนน้อยก็มีผลทำให้ อ้วนขึ้น
โดยทางด้านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า การนอนดึกหรือการนอนไม่พอ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายหลายด้าน ส่วนใหญ่จะอ้วนขึ้นเพราะ การนอนน้อยส่งผลให้ฮอร์โมนเครียดที่มีชื่อว่า ❝ คอร์ติซอล ❞ หลั่งมากขึ้นจนกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากอาหารหวานๆ หรือน้ำตาลมากกว่าเดิม

นอกจากฮอร์โมนเครียดแล้วฮอร์โมนหิวหรือ ❝ เกรลิน ❞ ก็จะหลั่งเพิ่มขึ้นด้วยส่งผลให้หิวเป็นสองเท่า

และทำให้ ฮอร์โมนความอิ่ม หรือ ❝ เลปติน ❞ จะหลั่ง ลดลง แม้ว่าจะรับประทานแล้วแต่ก็รู้สึกไม่ค่อยอิ่ม ทำให้ต้องหาอะไรรับประทานอยู่ตลอดจนกลายเป็นกินมากเกินไป

นอกจากนอนดึก ทำให้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงจนทำให้อ้วนขึ้นแล้วในบางคนอาจหิวจนนอนไม่หลับ ทำอย่างไรดีถ้าหันไปหาอาหารมาทานก็จะอ้วนขึ้นอีก หรือทานมาก บางท่านนอนแน่นท้องไม่สามารถหลับได้เลย
มีข้อแนะนำให้คุณเลือกอาหารที่ทานแล้วหลับสบาย และไม่หนักท้องจนเกินไปคุณควรทานอาหารก่อนเวลาเข้านอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง จะช่วยให้หลับสบายขึ้นและยังป้องกันน้ำหนักส่วนเกินป้องกันโรคกดไหลย้อน

อาหารเบาๆ ที่ควรเลือกทาน เช่นโยเกิร์ตไขมันต่ำ นมพร่องมันเนย ผลไม้ ประเภท แอปเปิ้ล หรือผลไม้รสไม่หวานหรือของว่าง ประเภทหัวไม่เกิน 15 เม็ด ก็จะช่วยบรรเทาอาการหิวได้ และไม่ทำให้น้ำหนักตัวขึ้นมาก

นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ช่วยให้หลับสบายด้วยแนะนำให้ทานกล้วย นม
นมถั่วเหลือง ถั่วลิสง เมล็ดงา ปลา และอาหารที่มีโปรตีนสูงอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะอาหารเหล่านี้มี
❝ สารทริปโตแฟน ❞ ซึ่งเป็นกรดอะมิโนจำเป็นธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นเพื่อให้สมองสร้างฮอร์โมน
❝ เมลาโธนิน ❞ ที่ช่วยให้เราหลับสบาย

นอนน้อยทำให้อ้วนในวัยผู้ใหญ่แล้ว น้องน้องเด็กวัยรุ่นถ้านอนดึกก็จะไม่ค่อยสูง ดังนั้นควรเข้านอนก่อนเวลา 23.00 น. และหากอยากหลับให้สบายก่อนนอน ไม่ควรทำให้ร่างกายตื่นตัวเช่นนอนเล่นมือถือ หรือเล่นคอมพิวเตอร์ หรือดูทีวีช่วง 30- 60 นาที ก่อนนอนแสงสว่างจากเครื่องไฟฟ้าเหล่านี้ อาจส่งผลให้นอนไม่หลับ การปรับสภาพแวดล้อม ในห้องนอนก็สำคัญควรปิดไฟให้มืดสนิท เงียบ อุณหภูมิพอเหมาะ และจะให้ดีมากขึ้น ควรสวดมนต์ และนั่งสมาธิก่อนนอน จะช่วยให้จิตใจสงบ หลับได้สบายขึ้นและตื่นมาในเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน จะช่วยให้ร่างกายของคุณ สดชื่น ร่างกายมีฮอร์โมนสมดุล หน้าตาสดใส

เพราะฉะนั้นแล้ว หากคุณกำลังลดน้ำหนักอย่างจริงจัง นอกจากการควบคุมการทานอาหารให้ถูกต้อง และออกกำลังกายอย่างเพียงพอแล้ว การนอนหลับพักผ่อนโดยรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อน้ำหนักตัวของคุณได้อย่างแท้จริง แถมยังช่วยลดความเสี่ยงโรคอ้วน ทำให้โรคอื่นๆ ก็ไม่ถามด้วยเช่นกัน ที่สำคัญยังทำให้สาวๆ มีหุ่นดีสมใจอีกด้วยค่ะ

Posted on Leave a comment

กินคาร์โบไฮเดรตเยอะทำให้อ้วนจริงเหรอ⁉️

คาร์โบไฮเดรต

?✦ทานคาร์โบไฮเดรตอย่างฉลาด ❝ไม่มีอ้วน ❞

อย่างที่เราเคยเรียนกันมาสมัยเด็กๆ อาหารหมู่สองจากอาหาร 5 หมู่ที่จำเป็นต่อร่างกายคือ คาร์โบไฮเดรต หรือเรียกสั้นๆย่อๆว่า “คาร์บ”

คาร์บเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย มีอยู่ในอาหารจำพวก ข้าว เมล็ดพืช ผลไม้ ผัก พืชหัว เครื่องปรุงที่มีรสหวาน นอกจากนี้การการผลิตอาหารเกือบทุกชนิด จะมีน้ำตาลอยู่ ซึ่งน้ำตาลก็มากจากอ้อย หรือ น้ำหวานของพืชนั่นเอง เรียกได้ว่าเราทานคาร์บกันตลอดแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมจะให้พลังงานแก่ร่างกายประมาณ 4 kcal

?✦ทำไมร่างกายของเราจึงต้องการคาร์โบไฮเดรต

ร่างกายคนเราใช้พลังงานจากสองแหล่งใหญ่คือ พลังงานจากไขมัน และ พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ซึ่งคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญแหล่งใหญ่ของร่ายกายเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นพลังงานที่ใช้ในการทำกิจกรรมและการขับเคลื่อนระบบอวัยวะต่างๆ สมอง หัวใจ ระบบการหายใจ ให้ทำงานและดำรงค์ชีวิตอยู่ได้นั่นเอง

?✦กินคาร์โบไฮเดรตเยอะๆแล้วทำให้อ้วนจริงเหรอ?

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจหลักการของการย่อยคาร์บมาเป็นพลังงานเสียก่อน เมื่อร่างกายได้คาร์บเข้าไปไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด จะข้าว น้ำตาล แป้ง ขนมปัง ผลไม้ ผัก คาร์บเหล่านี้จะถูกย่อยเป็นโมเลกุลที่เล็กลง คือกลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวหรือที่เรียกว่า กรูโคส และจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด กระจายไปตามเซลต่างๆและนำไปใช้เป็นพลังงานของระบบอวัยวะต่างๆในร่างกาย

จากนั้นส่วนที่เหลือจะถูกลำเลียงนำไปเก็บเอาไว้ในตับและกล้ามเนื้อ หรือ ที่เรียกว่า “ไกลโคเจน” ส่วนที่เหลือจากเก็บในกล้ามเนื้อและตับ (ไกลโคเจน) อีกส่วนที่เหลือจากเก็บจะถูกตับแปรสภาพกักเก็บไว้เป็นพลังงานสำรองในรูปแบบของไขมัน ซึ่งไขมันเหล่านี้จะค่อยๆสะสมพอกพูนขึ้นใต้ชั้นผิวหนังและตามอวัยวะภายในต่างๆ เราจึงค่อยๆอ้วนขึ้น เพราะอย่าลืมว่าทุกครั้งที่ร่างกายใช้พลังงาน ร่างกายจะใช้พลังงานจากอาหารที่ทานเข้าไปก่อน จากนั้น มาใช้พลังงานไกลโคเจน เมื่อทั้งสองแหล่งนี้หมดลงจึงจะดึงไขมันสะสมมาใช้ ตามลำดับ

?✦นอกจากนี้อีกเหตุผลนึงที่ทำให้คาร์บเป็นตัวการของความอ้วน..คือ**การทานคาร์บที่ย่อยไว อย่างแป้งขาว ขนมปัง น้ำตาล ขนมหวาน น้ำอัดลมใน**ปริมาณมากเกินไป คาร์บเหล่านี้เป็นคาร์บที่ร่างกาย**ดูดซึมได้ง่ายเมื่อดูดซึมง่ายก็จะทำให้มีน้ำตาล(กลูโคส)อยู่ในกระแสเลือดมาก

เมื่อมีน้ำตาลมากขนาดนั้น ร่างกายจะส่งสัญญาณไปที่ตับอ่อนให้เพิ่มระดับอินซูลินขึ้นเพื่อลดระดับน้ำตาลเลือด โดยการเร่งนำพลังงานไปใช้ในระบบ เก็บเป็นไกลโคเจน แต่ด้วยกลูโคสมีจำนวนมากและปริมาณกล้ามเนื้อมีจำนวนจำกัดหรือไม่สามารถกักเก็บได้ทัน จึงนำไปเก็บไว้ในรูปไขมันสะสมที่ทำได้ง่ายและไม่มีพื้นที่จำกัดแทนกรณีที่จะทำให้ได้รับคาร์บมากเกินไปทานคาร์บรวมต่อวันมากเกินไป

?✦การทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต

❝มากเกิน ❞ กว่า ❝ การนำไปใช้ ❞
และการเก็บในแต่ละวัน ทำให้มีส่วนของพลังงานเหลืออยู่มาก พื้นที่ในการจัดเก็บไกลโคเจนก็มีจำนวนจำกัด เมื่อเป็นเช่นนี้พลังงานส่วนที่เหลือจึงแปรสภาพเป็น>>>ไขมันสะสม ทานเยอะเกินไปในคราวเดียว

การทานมื้อหนัก หรือการทานคาร์บที่ย่อยเร็วครั้งละมากๆจะทำให้ร่างกายไม่สามารถกักเก็บพลังงานได้ทัน ทั้งที่ยังมีพื้นที่ในกล้ามเนื้อว่างอยู่ ร่างกายจึงเลือกที่
่ลดปริมาณน้ำตาลโดยการจัดเก็บในรูปแบบของไขมันที่ง่ายและเร็วกว่า ไม่ทานคาร์โบไฮเดรตเลยได้ไหม

เมื่อมาถึงตรงนี้หลายคนคงขยาดกลัวกับการทานแป้งไปเลย พาลจะบอกเลิกตัดขาดการทานคาร์บไป ซึ่งมีหลายทฤษฎีลดน้ำหนักที่ใช้วิธีการพร่องแป้ง หรือการจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้อยู่ในระดับต่ำ อย่าง ทฤษฎี Atkins และ Ketogenic (จะมานำเสนอในคราวต่อไป)

ซึ่งสามารถลดปริมาณไขมันได้จริง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน

?✦เพราะการที่ลดปริมาณคาร์บให้ต่ำมากๆ จะทำให้✦ร่างกายขาดสารอาหาร กลุ่ม วิตามินบี และด้วยที่คาร์บเป็นพลังงานหลักในการดำรงค์ชีวิต การลดคาร์บให้ต่ำจำเป็นจะต้องเพิ่มพลังงานให้ร่างกายจากส่วนอื่นแทนโดยการเพิ่มปริมาณการทานไขมันและเนื้อสัตว์ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับไขมันไขมันอิ่มตัวและคอเรสเตอรอล ที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตได้ ***

***นอกจากนี้เมื่อเราตัดคาร์บปริมาณน้ำตาลในเลือดของเราจะต่ำลง ***

?✦ปริมาณพลังงานคาร์บไม่เพียงพอ✦ทำให้การเผาผลาญไขมัน..✦ไม่สมบูรณ์ ทำให้ไขมันก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารประเภท ketone ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ตับ มีผลทำให้ร่างกาย>>อ่อนเพลีย >>วิงเวียน >>หน้ามืด >>หงุดหงิด >>อารมณ์แปรปรวน

ในกรณีที่อดอาหารอย่างอื่นร่วมด้วยร่างกายจะลดการเผาผลาญไขมันลง พร้อมกลับค่อยๆย่อยสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาแทน เมื่อกล้ามเนื้อน้อยจะทำให้เมื่อกลับมาทานคาร์โบไฮเดรตเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้เกิดไขมันสะสมได้ไวกว่าปรกติ หรือเกิดภาวะโยโย่เอฟเฟกนั่นเอง
ทานคาร์โบไฮเดรตอย่างฉลาดไม่มีอ้วน

ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้

?✦เราต้องเลือกวิธีการทานคาร์บอย่างฉลาด คือในแต่ละวันจะต้องกำหนดปริมาณการทานคาร์บให้พอเหมาะกับความต้องการ คือประมาณ 40% ของปริมาณพลังงานรวมที่ต้องใช้ต่อวัน และควรเลือกทานคาร์บเชิงซ้อนจำพวก #ข้าวแป้งไม่ขัดสี #ธัญพืช #ที่ย่อยและดูดซึมได้ช้า #ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อยๆขึ้นอย่างช้าๆ #มีเวลาในการจัดเก็บพลังงานไกลโคเจนได้ทัน

นอกจากนี้การเลือกเวลาในการทานคาร์บก็สำคัญ ควรเลือกทานคาร์บในมื้อก่อนที่จะต้องใช้พลังงาน เช่นมื้อเช้า หรือมื้อก่อนออกกำลังกาย และลดปริมาณการทานคาร์บในมื้อ…ดึก หรือ ช่วงก่อนเข้านอน เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานไกลโคเจน และลดการสะสมคาร์บเป็นไขมัน

สิ่งสำคัญอีกสิ่งคือ การเพิ่มพื้นที่การกักเก็บคาร์บ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยระบายไกลโคเจน ทำให้มีพื้นที่ในกล้ามเนื้อเหลือพอที่จะกักเก็บ และการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ เมื่อมีกล้ามเนื้อมากก็สามารถเก็บไกลโคเจนได้มาก คนที่ออกกำลังกายจึงอ้วนยากกว่าคนที่คุมอาหารเพียงอย่างเดียว

ส่งต่อความปราราถนาดี by Ammie @club.agirl

Posted on Leave a comment

ทำไมอ้วนลงพุง จึงลดไม่ได้ด้วยการอดอาหาร และออกกำลังกาย

หลายๆคนที่ลงพุง คงเคยตั้งคำถามนี้กับตัวเอง และหมดกำลังใจกับการลดน้ำหนัก เพราะไม่ว่าจะอดอาหารอย่างไร หรือออกกำลังกายวันละหลายชั่วโมง สัปดาห์ละหลายวัน ก็ยังไม่สามารถเอาห่วงยางรอบเอวออกไปได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ..เรามาดูคำตอบของเรื่องนี้กันค่ะ

อ้วนลงพุง

ร่างกายก็เหมือนกับโรงงาน
มีฮอร์โมนเป็นตัวควบคุมการทำงานของเครื่องจักรให้ทำงานปกติ
กลไกการทำงานภายในร่างกายคนเรา ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็คงคล้ายกับโรงงาน เราต้องการพลังงาน ก็คือการรับประทานอาหาร มีการใช้พลังงาน มีการเผาผลาญอาหารเป็นพลังงาน และใช้หมดไป

เครื่องจักรต้องมีการควบคุมให้ทำงานได้ตามปกติ ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับฮอร์โมน ที่คอยควบคุมการทำงานของกลไกต่างๆของร่างกายให้ทำงานได้เป็นปกติ

ร่างกายที่ทำงานปกติ ก็จะมีการใช้พลังงาน เผาผลาญอาหารเป็นพลังงานตลอดเวลา ก็จะไม่เกิดการสะสมของไขมัน ก็คือ ❝ ไม่อ้วน ❞

แล้วเกิดอะไรกับคนอ้วน ทำไมร่างกายไม่นำพลังงานไปใช้

คนที่อ้วนลงพุง เกิดจากร่างกายไม่ยอมเผาผลาญ หรือเรียกอีกอย่างว่า
” metabolic syndrome “

ซึ่งจำเป็นต้องตรวจเช็คดูว่า เป็นเพราะอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ พบว่าเกิดจากความ*ผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งมีสาเหตุเริ่มต้นมาจากการสะสมของท๊อกซินในเซลล์ไขมัน ( fat cell ) พอสะสมนานๆ อินซูลิน ซึ่งเป็น ฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ทำหน้าที่นำน้ำตาลจากเลือดเข้าไปในเซลล์ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานเริ่มทำงานได้ไม่ดี ไม่สามารถนำเอาน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ น้ำตาลก็เก็บเป็นไขมัน ร่างกายก็ต้องใช้อินซูลินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในการนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน จนเกิดภาวะที่อินซูลินดื้อ ไม่ทำงาน พอถึงตรงนั้นก็*ไม่เผาผลาญน้ำตาลแล้ว *เก็บเป็นไขมันอย่างเดียว

✿ ถ้าร่างกายขาดพลังงาน มันก็จะดึงเอากล้ามเนื้อไปใช้แทน เพราะมันดึงไขมันออกมาไม่ได้ จึงเป็นที่มาของความเหี่ยว ผิวหย่อนคล้อย

จะเห็นได้ว่าขบวนการนำพลังงานไปใช้ในร่างกายมีความสำคัญมาก มีผลต่อสุขภาพ และความเป็นหนุ่มเป็นสาว ถ้าระบบเผาผลาญเราดี ขบวนการใช้พลังงานในร่างกายเราก็จะดี ถ้าร่างกายเราเริ่มเสื่อม เริ่มเฉื่อย ก็จะไม่ใช้พลังงาน แต่เก็บเป็นไขมัน อย่างเดียว

จะพบว่า ในคนส่วนใหญ่เมื่ออายุยังน้อยจะไม่มีปัญหาเรื่องอ้วนลงพุง แต่พออายุเริ่มใกล้ 50 รอบเอวเริ่มหาย เริ่มมีห่วงยางรอบเอว ทำยังไงก็ไม่หาย

ทั้งนี้เพราะเซลล์ในร่างกายเริ่มเสื่อม ฮอร์โมนเริ่มไม่ทำงาน เหมือนเมื่อตอนอายุยังน้อย กลไกการทำงานต่างๆของร่างกายจึงเริ่มผิดปกติ เสียสมดุล และเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆตามมา ไม่เพียงเฉพาะโรคอ้วนเท่านั้น จึงเป็นที่มาว่าถ้ามีอาการอ้วนที่รอบเอว จะมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และโรคหัวใจมากกว่าอ้วนในส่วนอื่นๆ ทั้งนี้ก็เพราะเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานนั่นเอง

ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามปัญหาเรื่องอ้วน ว่าเป็นเพียงเรื่องความสวยความงามเท่านั้น เพราะที่จริงมันคือสัญญาณเตือนโรคร้ายให้กับเรา ที่ต้องหันมาเอาใจใส่ และดูแลตัวเองอย่างจริงจัง

อ้วนลงพุง

ความอ้วนที่เกิดจากการเสียสมดุลฮอร์โมนเช่นนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการแพทย์ชลอวัย ( Anti Aging )
การรักษาตามหลักการแพทย์ชลอวัย (Anti Aging) เริ่มต้นจากการตรวจเช็คร่างกายเพื่อให้รู้ที่มาของปัญหา และจะได้แก้ไขได้ถูกต้อง มีการปรับสมดุลร่างกาย

ด้วยการกำจัดสารพิษ และปรับสมดุลฮอร์โมนด้วยวิธีธรรมชาติ เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำงานได้ตามปกติ มีการเผาผลาญ นำพลังงานไปใช้ได้ตามปกติ นอกจากนี้ก็อาจจะมีการดูแลเรื่องอาหาร และการออกกำลังกายเพิ่มเติม ตลอดจนการใช้เครื่องมือต่างๆเพื่อช่วยให้เกิดการทำลายเซลล์ไขมัน และเร่งการเผาผลาญให้มากขึ้น ก็จะทำให้เห็นผลได้เร็วขึ้น

จะเห็นได้ว่า อ้วนลงพุง แก้ไขได้ ตามวิธีการที่เล่ามา ดังนั้นอย่าปล่อยให้ห่วงยางอยู่รอบเอวอีกต่อไปเลยค่ะ เพราะไขมันที่รอบเอวมีอันตรายมากกว่าความไม่ดูดีมากมายจริงๆ

Posted on Leave a comment

7 ผลไม้ ❝ กินอย่างพอดี มีประโยชน์ ❞

ผลไม้

7 ผลไม้ ❝ กินอย่างพอดี มีประโยชน์ ❞
กินมาก แคลอรี่ สูง น้ำตาลจากผลไม้ สะสมในรูปไขมัน ด้วยเช่นกันจ้า

ผลไม้ชนิดไหนบ้างที่แคลอรี่สูง กินแล้วอ้วนเว่อร์

ถ้าคิดจะกินผลไม้ดังต่อไปนี้ก็ขอให้ลดขนมหวานกันนิดนึง ไม่อย่างงั้นพุงน้อยๆ ถามหาแน่ๆ ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ ว่ามีผลไม้ตัวไหนบ้าง

ผลไม้

1. กล้วย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ กล้วยถือเป็นผลไม้ที่หวานและมีน้ำตาลค่อนข้างสูง สำหรับคนที่เฮลตี้หน่อยมักจะกินกล้วยเพื่อเพิ่มพลังก่อนไปออกกำลังกาย เพราะมันให้พลังงานเร็ว! คล้ายๆ การดื่มพวกเครื่องดื่มชูกำลังเลยค่ะ
แต่ประโยชน์ที่น่าตกใจคือกล้วยสามารถช่วยในเรื่องของการนอนหลับได้ด้วย เพราะมันไปเพิ่มความเข้มข้นของเมลาโทนิน ซึ่งช่วยให้เราผ่อนคลายและหลับสบายขึ้นด้บอกเอา

กล้วยเป็นอาหารที่เอาไว้โหลดก่อนลงสนามสำหรับนักวิ่ง ส่วนมหาลัย University of Sydney ก็บอกเลยว่าค่า GI ในกล้วยไม่ได้ต่ำเลย แสดงว่ากล้วยเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ค่อนข้างเร็วอยู่ค่ะ

ผลไม้

2. มะม่วง

มะม่วงดิบนี่ยังไม่ค่อยอ้วนเท่าไร พอกินได้อยู่นะคะ แต่ลูกนึงน้ำหนักไม่ใช่น้อยๆ เลย กินได้แค่ครึ่งลูกนะคะ ถ้ากินเต็มลูกแคลอรี่นี่คูณสองเลย
ประโยชน์ของมะม่วงดิบ คือ มีวิตามินซีสูง ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ อีกทั้งยังมีวิตามินเอ ช่วยบำรุงและรักษาสายตาด้วย

แต่ถ้าเป็นมะม่วงสุกนี่แคลอรี่เท่านึงของมะม่วงดิบเลยค่ะ ทำไมของอร่อยมันช่างทำร้ายกันขนาดนี้ แนะนำกินแค่ครึ่งลูกเหมือนกันนะคะ เพราะถ้ากินเต็มลูกประกบกับข้าวเหนียวเค้าไป

กินอย่างพอดีพอเหมาะนะคะ เดี๋ยวพุงน้อยๆ ถามหาประโยชน์ของมะม่วงสุก มีส่วนช่วยในการขับถ่าย มีฤทธิ์เป็นยาระบายด้วย

ผลไม้

3. มังคุด

ดูจากแคลอรี่ไม่ได้อ้วนมากเท่าไร แต่อย่าลืมว่ามังคุดหนักนะคะ เพราะฉะนั้นถ้ากินเยอะแคลอรี่ก็พุ่งไปไกลมิใช่น้อย ปริมาณที่แนะนำคือขนาดเล็ก 2 ลูก (น้อยมาก….ร้องไห้หนักมาก)

ประโยชน์ของมังคุดนี่ดีมากค่ะ เพราะช่วยลดตีนกา รักษาสิว บำรุงผิว แถมยังแก้โรคเครียดได้ด้วยนะ

ผลไม้

4. เงาะ

ผลไม้อะไรก็ไม่รู้มีขน นั่นก็คือเงาะนั่นเองค่ะ!! บอกก่อนว่ากินได้ไม่เยอะ เพราะเงาะแคลอรี่สูงกว่ามังคุดค่ะ ยังดีที่เงาะลูกเล็กกว่า ก็เลยกินได้ประมาณ 5 ลูก กินมากกว่านี้ก็คูณกันเองนะคะสาวๆประโยชน์ของเงาะ คือ ช่วยบำรุงผิว รักษาการอักเสบในช่องปาก แก้ท้องร่วง

ผลไม้

5. ลองกอง

อีกหนึ่งผลไม้โปรดของใครหลายๆ คน ที่ยิ่งกินก็ยิ่งเพลิน เพราะมันทั้งหวานและนุ่ม แกะกินง่ายกว่าเงาะเยอะเลยค่ะ ฉะนั้นอย่าเพลินนะคะ เพราะกินได้แค่ประมาณ 8 เม็ดเท่านั้นเองค่ะ!!

จะผอมนี่มันยากเหลือเกินประโยชน์ของลองกอง คือ ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ตัวร้อน และลดอาการร้อนในในช่องปาก ส่วนเมล็ดของมันรักษาอาการท้องเสียได้ด้วย

ผลไม้

6. ลิ้นจี่

อันนี้หวานกว่าลองกองซะอีก แถมยังหนักกว่าด้วย เพราะลิ้นจี่มีน้ำเยอะกว่าก็เลยหนักกว่าค่ะ กินได้แค่ 4 ลูกเท่านั้นเอง น้อยนิดเหลือเกินแต่ถ้าจะบอกว่ากินเพื่อเอาประโยชน์แล้วล่ะก็ สาวๆ มาถูกทางแล้ว เพราะลิ้นจี่ช่วยต้านและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม

คุณผู้หญิงควรทานแล้วล่ะค่ะ แถมยังช่วยให้ระบบทางเดินอาหารให้เป็นปกติ และยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้ด้วยค่ะ เยอะจริงๆ

ผลไม้

7. ทุเรียน

ผลไม้ขึ้นชื่ออีกหนึ่งตัว ที่นอกจากจะแพงแล้วแคลอรี่ยังแรงอีกด้วยค่ะ ปริมาณเท่าในรูป 2 เม็ดให้แคลอรี่ถึง 147 แคลอรี่!! สาวๆ กินกันกี่เม็ดคะ สารภาพมาเดี๋ยวนี้นะแต่สิ่งนึงที่น่าตกใจคือ ทุเรียนเป็นไขมันชนิดดี ถึงจะแคลอรี่สูงแต่การกินไขมันดีจะช่วยลดไขมันไม่ดีตัวเก่าๆ ออกไปได้ อีกอย่าง

ในทุเรียนมีสารโพลีฟีนอล (Pholyphenols) ซึ่งเป็นตัวช่วยลดไขมัน ไม่แปลกนะคะ เพราะอาหารประเภทไขมันกินแล้วช่วยลดไขมันได้จริงๆ ค่ะ ตอนนี้ ก็ไดเอทด้วยวิธีการกินไขมันเพื่อลดไขมันอยู่

เพียงแต่เจ้าทุเรียนเนี่ยมันมี “คาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาล”
ด้วย มันเลยสยอง 2 เด้ง คือมีทั้งไขมันและน้ำตาล อย่างงี้ไม่ผอมแน่นอนค่ะ กินพอประมาณดีกว่า อย่าเห็นแค่สารโพลีฟีนอลอันน้อยนิดเลยค่ะสาวๆ 5555

ขอบคุณข้อมูลจาก ญาดา

 

Posted on Leave a comment

ไขความลับ! 5อ.ชะลอวัย

ชะลอวัย

วัยทำงานมักต้องเจอปัญหาความเครียด อาการไม่สดชื่น หงุดหงิดง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย นอนไม่ค่อยหลับ อ้วนง่าย เหล่านี้เป็นปัญหาที่พบเห็นได้บ่อยๆ ของชาวออฟฟิศและคนเมืองเลยทีเดียว

อยู่แบบ 5 อ.ช่วยชะลอวัยได้

ชะลอวัย

เมื่อไปพบแพทย์ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นโรคอะไร แต่สำหรับทางการแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยหรือ Anti – Aging Medicine

เรียกอาการเหล่านี้ว่าร่างกายเริ่มเกิดความเสื่อม เมื่อร่างกายเริ่มเสื่อมอวัยวะต่างๆ ก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ อาการหรือโรคที่เกิดจากความเสื่อมก็จะตามมา เช่น โรคมะเร็งต่างๆ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคต้อกระจก โรคระบบประสาทเสื่อม โรคกระดูกพรุน เป็นต้น

แล้วเราจะสามารถชะลอความเสื่อมของร่างกายได้หรือไม่ และมีวิธีไหนบ้าง พญ.กฤดากร เกษรคำ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านชะลอวัย จาก AddLife Anti-Aging Center ไลฟ์เซ็นเตอร์ คิวเฮ้าส์ ลุมพินี กล่าวว่า ภาวะเสื่อมของร่างกายเกิดขึ้นได้เมื่อเราอายุมากขึ้น โดยเฉลี่ยจะเริ่มเกิดความเสื่อมของร่างกายเมื่ออายุ 30 ปี แต่ในปัจจุบันสภาพแวดล้อม อาหาร อากาศ และมลภาวะที่เป็นพิษทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมเร็วขึ้น

การแพทย์เฉพาะทางด้านชะลอวัย จึงเข้ามาช่วยรักษาหรือแก้ไข โดยจะมุ่งเน้นที่การป้องกันโรค การฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงการรักษาสุขภาพก่อนที่จะเกิดโรค ทั้งการใช้สารอาหาร แร่ธาตุ ฮอร์โมนต่างๆ มาช่วยทำให้ร่างกายชะลอความเสื่อมให้ช้าลง สำหรับผู้ที่อยากชะลอความเสื่อมของร่างกาย เพื่อช่วยชะลอวัยให้ดูเด็กลง สามารถทำได้ง่ายๆ คือ ให้อยู่แบบ 5 อ.

ชะลอวัน

อากาศ : อยู่ในที่ๆ มีอากาศบริสุทธิ์ หลีกเลี่ยงมลภาวะเป็นพิษต่างๆ ทั้งรังสี UVA และ UVB ในแสงแดด ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ที่ช่วยเร่งความเสื่อมของร่างกาย หาเวลาไปพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์นอกเมืองแล้วคุณจะรู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่งขึ้น

อาหาร : ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เปลี่ยนกลุ่มอาหารให้หลากหลาย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแป้ง และไขมันสูง อาหารที่มีสารปนเปื้อน ถ้าเป็นไปได้ควรทำอาหารทานเองบ้าง

ออกกำลังกาย : การออกกำลังช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีและแลดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย แต่คนเรามักจะบอกว่าไม่มีเวลา ควรจัดสรรเวลาให้ออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 150 นาที และการออกกำลังที่ดีควรมีการผสมผสานให้หลากหลาย เช่น แอโรบิค วิ่ง ว่ายน้ำ จ๊อกกิ่ง ช่วยกระตุ้นเลือดลม ทำให้หัวใจแข็งแรง โยคะ ช่วยให้ข้อต่อมีการยืดหยุ่นที่ดี การยกเวท จะช่วยเรื่องมวลกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ป้องกันกระดูกบาง เป็นต้น

อารมณ์ : หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส เป็นคำที่ใช้ได้กับทุกๆ สมัย คนเราสมัยนี้มักมีความเครียด การคิดบวก ปรับวิธีคิดหามุมบวก นั่งสมาธิ จะช่วยคลื่นในสมองได้หลับสนิท ลองหาเวลานั่งสมาธิวันละ 5นาที

แอนไท-เอจจิ้ง : การแพทย์แนวรุกมุ่งเน้นการฟื้นฟูรักษาภาวะเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เพราะแม้ว่าเราจะทำครบ 4 อ. ข้างต้น แต่เมื่อร่างกายเสื่อมถึงจุดหนึ่ง มีอาการ “แก่” เกิดขึ้นแล้ว เราจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้การรักษาและชะลอไม่ให้สุขภาพเสื่อมถอย แต่ฟื้นฟูให้แข็งแรงขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข

วิธีง่ายๆ ที่คุณก็สามารถดูแลสุขภาพตนเองให้ดูอ่อนวัยห่างไกลโรคได้ เริ่มปฏิบัติวันนี้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวน่ะค่ะ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก healthy

 

 

 

 

Posted on Leave a comment

10 ประโยชน์ของการดื่มน้ำอุ่น

น้ำอุ่น

ต่อไปนี้คือประโยชน์ 10 ประการที่ร่างกายจะได้รับจากการดื่มน้ำอุ่น

1. ช่วยย่อยอาหาร

เพื่อปรับปรุงการย่อยให้ดีขึ้น ลองดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำ น้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมย่อมอาหารทำงานได้อย่างถูกต้อง ช่วยจัดการกับอาหารในกระเพาะ ดังนั้นระบบย่อยก็จะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ทั้งยังใช้พลังงานในกระบวนการย่อยน้อยลงด้วย

นอกจากนี้การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยกำจัดกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาความเป็นกลางของน้ำย่อยไว้นั่นเอง

จากการศึกษาในปี 2012 ที่ตีพิมพ์ในวารสารระบบประสาททางเดินอาหารและการเคลื่อนไหว ได้รายงานว่าการดื่มน้ำอุ่นสามารถบรรเทาอาการให้กับผู้ที่มีภาวะหลอดอาหารเคลื่อนไหวผิดปกติได้ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการกลืนยาก สำลักอาหารและเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อกระตุก ผู้ที่มีความทุกข์ทรมานจากระบบย่อยอ่อนแอก็ควรดื่มน้ำอุ่นเป็นแก้วแรกเมื่อตื่นนอนด้วย

2. บรรเทาอาการท้องผูก

การดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำในขณะที่ท้องว่างยังช่วยควบคุมการเคลื่อนตัวของลำไส้ และช่วยต่อสู้กับอาการท้องผูกได้

อาการท้องผูกเกิดขึ้นเนื่องจากมีน้ำในลำไส้น้อยเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้อุจจาระแข็งและแห้ง จึงถ่ายออกมาได้ยาก การดื่มน้ำอุ่นจึงช่วยบรรเทาอาการท้องผูกอย่างได้ผล

การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยย่อยสลายอาหารที่เหลืออยู่ให้หมดไป ทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยลดอาการท้องอืด อาการปวดท้องอันเนื่องมากจากอาการท้องผูกได้

เพื่อต่อสู้กับอาการท้องผูก ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน 1 แก้วทุกเช้าในเวลาท้องว่าง ลองหยดน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวลงไปในน้ำอุ่น ยิ่งช่วยเพิ่มประโยชน์ต่อลำไส้ได้มากขึ้นไปอีก

3. บรรเทาอาการเจ็บคอ

. บรรเทาอาการเจ็บคออาการเจ็บคอ เป็นอาการที่พบได้บ่อยเวลาลำคอเกิดการระคายเคืองหรือติดเชื้อ อันเกิดจากโรคหวัด หรือไข้หวัดใหญ่ การดื่มน้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและช่วยให้รู้สึกสบายคอมากขึ้น อีกทั้งน้ำอุ่นยังช่วยละลายเสมหะที่ข้นเหนียว และขจัดออกมาจากทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น

นอกเหนือจากการดื่มน้ำอุ่นเปล่าๆ คุณยังเปลี่ยนไปดื่มชาสมุนไพรแทนได้ อีกทั้งยังควรกลั้วปากด้วยน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว ผสมเกลือครึ่งช้อนชา เพื่อช่วยให้อาการเจ็บคอดีขึ้นและลดการติดเชื้อในลำคอได้ด้วย

4. ช่วยรักษาอาการคัดจมูก

การดื่มน้ำอุ่นเป็นอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรักษาอาการคัดจมูก น้ำอุ่นช่วยทำความสะอาดโพรงจมูกทำให้รู้สึกโล่งขึ้น หายใจได้สะดวกไม่อึดอัด

เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่นๆ เข้าไป มันจะช่วยให้เสมะหรือน้ำมูกที่ข้นเหนียวอยู่ละลายแล้วขับออกทั้งจากในโพรงจมูกและทางเดินหายใจ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ นอกจากนี้ยังช่วยล้างพิษออกจากร่างกาย ทำให้หายป่วยได้เร็วขึ้นไปด้วย

5. ช่วยขจัดน้ำหนักส่วนเกิน

ผู้ที่กำลังควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดและออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ควรดื่มน้ำอุ่นมากกว่าน้ำเย็น การลดน้ำหนักจึงจะได้ผลดีกว่า

น้ำอุ่นช่วยเพิ่มอุณหภูมิบริเวณกลางลำตัวให้สูงขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหาร ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นไปอีก

การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยลดไขมันในร่างกายลงได้ และเพื่อเพิ่มประโยชน์มากขึ้น ให้ลองดื่มน้ำอุ่นกับน้ำมะนาวสักเล็กน้อยทุกวันในตอนเช้า มันจะช่วยลดเนื้อเยื่อไขมันหรือไขมันในร่างกาย นอกจากนี้เส้นใยเพคตินในมะนาวยังช่วยควบคุมความอยากอาหาร ทำให้คุณกินอาหารมันๆ หรือไม่ดีต่อสุขภาพได้น้อยลงไปด้วย

6. ช่วยล้างพิษในร่างกาย

การดื่มน้ำอุ่นสามารถชำระชะล้างสารพิษในร่างกายออกไปได้ เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น 2-3 ถ้วย มันจะช่วยให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น ช่วยให้เหงื่อออกจึงรู้สึกเย็นลง ซึ่งเหงื่อที่ไหลออกมานี่ช่วยชะล้างสารพิษออกมาจากร่างกายนั่นเอง

การดื่มน้ำอุ่นทุกวันยังช่วยล้างพิษออกจากผิวพรรณได้ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคผิวหนังชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สิวผื่น สิวเสี้ยน การดื่มน้ำโดยทั่วไปแล้วยังเหมาะสำหรับการล้างพิษและชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปจากร่างกาย ลองบีบน้ำมะนาวลงไปผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อยก่อนดื่ม จะช่วยให้ได้ผลดีขึ้นไปอีก

7. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน

แม้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลก แต่การดื่มน้ำอุ่นช่วยป้องกันและลดอาการปวดประจำเดือนได้ เพราะน้ำอุ่นช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูกที่กำลังหดตัว บรรเทาอาการเกร็งและกระตุกตัวของมดลูกได้ดี

นอกจากนี้ยังหยุดการเก็บกักน้ำ ป้องกันอาการเจ็บปวดในช่วงกำลังมีรอบเดือน ในครั้งต่อไปที่คุณเริ่มมีอาการปวดประจำเดือน ดื่มน้ำอุ่นสักแก้วช่วยบรรเทาอาการแล้วนำเอากระเป๋าน้ำร้อนวางประคบบริเวณท้องน้อย ก็จะยิ่งช่วยให้อาการปวดดีขึ้นด้วย

8. ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต

การดื่มน้ำอุ่นช่วยปรับการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น ซึ่งสำคัญเพราะช่วยให้เลือดนำส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไหลผ่านไปสู่เนื้อเยื่อและอวัยวะทั่วร่างกาย การไหลเวียนโลหิตที่เหมาะสมสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท

เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายจะเผาผลาญ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตในร่างกายและยังล้างพิษที่เป็นอันตรายออกไปได้ โปรดหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นมากเกินไป เพราะอาจทำให้หลอดเลือดดำอุดตันได้

9. ช่วยให้แก่ช้าลง

การดื่มน้ำอุ่นดีต่อผิวพรรณอีกด้วยนะ เพราะมันช่วยกำจัดสารพิษต่างๆ ออกไปจากร่างกาย ซึ่งสารพิษเหล่านี้เป็นต้นเหตุของริ้วรอยก่อนวัยและปัญหาสุขภาพต่างๆ

การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว ทั้งยังช่วยฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณของคุณ ลองดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมน้ำมะนาวลงไปสักครึ่งลูก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการล้างพิษได้

10. ช่วยกระตุ้นการนอนหลับ

หากคุณมีปัญหาการนอนหลับ ลองจิบน้ำอุ่นสักแก้วก่อนนอน จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น น้ำอุ่นๆ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ทำให้รู้สึกสบายขึ้น ช่วยระงับประสาท ทำให้ง่วงและสงบลงได้

นอกจากนี้ยังช่วยลดความอยากอาหารกลางดึกและทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อตื่นตอนเช้า

ข้อแนะนำในการดื่มน้ำอุ่น

ควรดื่มน้ำอุ่นเสมอ ไม่ควรร้อนจนเกินไป เพราะการดื่มน้ำร้อนอาจเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อในปากและหลอดอาหารได้
หลังจากน้ำเดือดแล้ว ปล่อยให้เย็นลงสักครู่จึงค่อยดื่ม
ดื่มน้ำอุ่นเสมอหลังจากทานอาหาร หากคุณดื่มน้ำเย็น ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ ทำให้ประสิทธิภาพการย่อยอาหารลดลง
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอุ่นหลังการออกกำลังกาย เพราะในขณะนั้นร่างกายมีอุณหภูมิสูงมากอยู่แล้ว