ป้ายกำกับ: เดนิมพลัส
HQ (Health Quotient)
มีคนเป็นจำนวนมาก ทำลายเวลาพักผ่อนของตัวเองด้วยการทำงานโดยไม่พักผ่อน ถึงแม้ว่าความคาดหวังของคนทุกคนสูงขึ้นทุกวัน จนทำให้ต้องทุ่มเททั้งความสามารถทางสติปัญญา ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และความสามารถด้านคุณธรรมความดีงาม เพื่อเผชิญหน้ากับภารกิจที่ท้าทาย แต่ก็ไม่ควรมองข้ามสังขารตัวเอง มันจะมีประโยชน์อะไรหาก IQ EQ และ MQสูง แต่ HQ ต่ำ
ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ หรือ HQ (Health Quotient) จึงกลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้คนต้องนับรวมอยู่ในตัวแปรแห่งความสำเร็จด้วย คงดูไม่จืดแน่ๆ หากทรุดก่อนงานจะเสร็จ
Werner W. K. Hoeger และ Sharon A. Hoeger ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา ให้คำแนะนำไว้ในหนังสือ Lifetime Physical Fitness and Wellness : A Personal Program ว่า คนที่จะมี HQ สูงต้องมีองค์ประกอบ 9 ประการดังนี้
1) เสริมสร้างสมรรถภาพทางกายให้ฟิตอยู่เสมอ (Health related Fitness) สุขภาพที่ดีต้องมาจากร่างกาย กล้ามเนื้อ และหัวใจที่แข็งแรง ซึ่งจะช่วยให้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างกระฉับกระเฉง มีความอึด และมีกำลังสำรองมากพอยามฉุกเฉิน
2) รู้ว่าอะไรควรกิน ไม่ควรกิน (Nutrition) คนในยุคของกินหาง่าย กินได้ 24 ชม. ต้องมีความรู้เรื่องโภชนาการ คิดเป็นว่าควรกินอะไรจึงจะเหมาะสมกับสุขภาพ และควรหยุดพฤติกรรมการกินแบบไหนที่ทำร้ายตัวเอง
3) หลีกเลี่ยงสารเคมีและสารเสพติด (Avoiding Chemical Dependency) ให้ตระหนักเสมอว่าสิ่งเหล่านี้คือปฏิปักษ์ที่สุขภาพต้องรีบปฏิเสธทันที
4) หมั่นดูแลสุขอนามัยตนเอง (Personal Hygiene) แม้เรื่องการแปรงฟัน การล้างมือ การอาบน้ำ การดูแลเสื้อผ้า เครื่องนอน ดูเหมือนจะเป็นของง่าย ที่เราคิดว่ารู้อยู่ดีแล้ว แต่อย่าแค่รู้ดี ต้องทำให้ถูกวิธีด้วย
5) วางแผนดูแลสุขภาพตนเองเพื่อป้องกันโรคร้าย (Disease Prevention) โดยการตรวจสุขภาพประจำปีตามความเสี่ยงของวัย ตามความเสี่ยงของอาชีพ การฉีดวัคซีนที่จำเป็น และการใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคต่าง ๆ
6) อย่าประมาท (Personal Safety) ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใด ต้องตระหนักถึงความปลอดภัย และควรโยนความคิดแบบ “ไม่เป็นไร” ทิ้งไปเสียที จงศึกษาและปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยในทุกกรณี เช่น ไฟเหลืองแปลว่า เตรียมหยุด ไม่ได้แปลว่า เหยียบเต็มแรง
7) อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี (Environmental Health and Protection) คนฉลาดจะรู้ว่าเขาควรเลือกอยู่ในสถานที่ไหน เลือกคบใคร เลือกทำกิจกรรมแบบใด และเลือกรับข้อมูลข่าวสารอะไรจึงจะมีประโยชน์ที่สุด
8) มีความสามารถในการตอบโต้ความเครียดได้ดี (Stress Management) เมื่อเผชิญหน้ากับความกดดัน ต้องมีสติ รู้จักมองโลกในแง่ดี พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
9) มีสุขภาวะทางอารมณ์ที่ดี (Emotional Well Being) สามารถรับรู้และบริหารจัดการอารมณ์ของตนเองและผู้อื่นได้อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์
ลองศึกษา และนำไปปฏิบัติดูนะครับ
ขอให้ทุกคนมี HQ ที่ดีครับ
Cr. ดร.วรวุฒิ เจริญศรีพรพงศ์
อาหารทำลายสุขภาพที่แอบแฝงความเค็ม / ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
เรารู้หรือไม่ว่า อาหารบางประเภทมีความเค็มแฝงตัวอยู่มากกว่าที่เราคิด สถาบันโรคหัวใจของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้กำหนดว่าร่างกายของเรารับระดับโซเดียมได้ไม่ควรเกิน 1,500 – 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน หากเราต้องการลดอาหารประเภทโซเดียมที่รับประทานในแต่ละวัน เราควรตรวจสอบสิ่งที่เรารับประทาน ซึ่งเราอาจแปลกใจที่ว่าอาหารบางประเภทนั้นมีปริมาณโซเดียมสูงกว่าที่เราคิดมาก
1. อาหารเย็นแช่แข็ง อาหารประเภทนี้ ง่ายต่อการรับประทาน โดยเฉพาะแม่บ้านสมัยใหม่ เพราะเพียงแค่ใส่เข้าไมโครเวฟ เพียงไม่กี่นาที แต่เราหารู้ไม่ว่าปริมาณของเกลือที่อยู่ในอาหารแช่แข็งจะมีมากถึง 1,250 มิลลิกรัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีน้ำแกงหรือเครื่องปรุงผสมอยู่ ดังนั้น ควรอ่านฉลากก่อนซื้อมารับประทาน
2. อาหารเช้าที่ทำสำเร็จรูป ประเภทซีเรียล ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่ควรระวัง บางยี่ห้ออาจมีผลไม้หรือลูกเกดผสม ซึ่งอาจมีปริมาณโซเดียมมากเกินความต้องการของร่างกาย เราควรเลือกอาหารเช้าประเภทข้าวสาลีหรือเลือกซีเรียลที่ข้างกล่องเขียนว่าปราศจากเกลือ
3. น้ำผลไม้ปั่นบางประเภท ผู้ปรุงอาจใส่ปริมาณเกลือที่มากเกินไปหรือน้ำผักปั่นที่อาจมีประมาณเกลือแร่ถึง 6.5 มิลลิกรัม
4. อาหารกระป๋อง อาหารเครื่องกระป๋องประเภทต่างๆ ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำเกลือผสมอยู่มากเพื่อป้องกันไม่ให้อาหารเน่าเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไส้กรอก เครื่องกระป๋องประเภทผัก แครอท ข้าวโพด หรือทูน่า ดังนั้น จึงควรระวังก่อนรับประทานควรเทน้ำออกจากกระป๋องก่อนเพื่อลดปริมาณโซเดียม
5. อาหารแพ็ก สำเร็จรูปประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อเค็ม ปลาหมึกเส้น อาหารประเภทนี้อาจมีประมาณโซเดียมถึง 362 มิลลิกรัมเลยทีเดียว
6. ซุปหรือแกงต่างๆ ซุป แกง และของเหลวต่างๆ ที่เรารับประทานเป็นถ้วยอาจมีปริมาณเกลือที่ผสมอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารสำหรับผู้ป่วยที่ทำสำเร็จในกระป๋อง มีปริมาณเกลือหรือโซเดียมถึง 831 มิลลิกรัม
7. น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ ซอสปรุงรสที่ใช้หมักอาหารเนื้อต่างๆมักมีบริมาณโซเดียมมากถึง 879 ถึง 1005มิลลิกรัม ดังนั้น จึงควรระมัดระวัง ควรเลือกน้ำส้มสายชู น้ำมะนาวในการปรุงรสต่างๆ เพื่อลดปริมาณเกลือ หรือใช้น้ำส้ม น้ำสับปะรดแทนในการหมักเนื้อสัตว์ เรารู้หรือไม่ว่าซอสปรุงรส เครื่องปรุงแกงกระป๋องต่างๆ หรือซอสสปาเกตตี้ แค่ครึ่งถ้วยมีบริมาณเกลือถึง 577 มิลลิกรัม ยังไม่รวมเส้นที่จะต้มทานอีกต่างหาก ดังนั้น ควรเลือกที่ฉลากเขียนว่า ปราศจากโซเดียม
8. เครื่องปรุงรสก๋วยเตี๋ยว ไม่ว่าจะเป็นพริก เกลือ น้ำปลา ฯลฯ ที่อยู่ในเครื่องปรุงแยกต่างหากจากเส้นก๋วยเตี๋ยว อาจมีปริมาณโซเดียมมากเกินความต้องการของร่างกาย
9. ถั่วกระป๋อง บางคนชอบทานถั่วต่างๆ เป็นอาหารว่าง ดังนั้น จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถั่วที่อยู่ในกระป๋องมักมีปริมาณโซเดียมผสมอยู่มาก
10. ของว่าง เช่นมันฝรั่ง พาย ถั่วต้ม ขนมปังกรอบ อาจมีปริมาณเกลือโซเดียมถึง 253 มิลลิกรัม ของกรุบกรอบบางอย่างมีปริมาณเกลือค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
อาหารที่เรารับประทานอาจมีปริมาณเกลือที่แอบแฝงอยู่เป็นจำนวนมากโดยที่เราคาดไม่ถึง ดังนั้น ควรอ่านฉลากก่อนรับประทานทุกครั้งเพื่อช่วยให้เราเลือกอาหารที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายได้ มารักษาสุขภาพเพื่อให้ร่างกายของเราแข็งแรงไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บกันดีกว่าค่ะ
การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี
การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี
น้ำที่ดื่มถ้าจะให้ดีต้องเป็นน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนมากหรือเย็นจัด แต่ก็ยกเว้นในบางกรณี เช่น ตอนเช้าถ้าเป็นไปได้ควรดื่มน้ำอุ่นเพราะจะช่วยในการขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น ลำไส้ก็จะสะอาดมากขึ้นตามไปด้วย
การดื่มนั้นที่ถูกต้องนั้น ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือจะให้ดีก็วันละ 14 แก้ว หรือโดยเฉลี่ยแล้วควรดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัวของคุณ เช่น ถ้าคุณมีน้ำหนัก 60 kg. ก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือประมาณ 10 แก้วนั่นเอง (กรณีนี้ให้นับรวมปริมาณอื่น ๆด้วย เช่น น้ำจากผักผลไม้ แกง ก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ ด้วย)
ในตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือก่อนแปรงฟัน ควรดื่มน้ำ 2-4 แก้ว เป็นน้ำอุ่น ๆ ได้ก็จะดีมาก
ในระหว่างวันควรดื่มน้ำ 1 แก้วทั้งก่อนและหลังมื้ออาหารทุก ๆ มื้อ และในระหว่างช่วงสาย บ่าย เย็น ก็ควรดื่มน้ำอีกครั้งละ 1 แก้ว
ในช่วงก่อนนอน น้ำอุ่น ๆ สัก 1 แก้วจะดีมาก
การดื่มน้ำควรดื่มครั้งละแก้ว และที่สำคัญไม่ควรดื่มรวดเดียวหลาย ๆ แก้ว เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ “น้ำเป็นพิษได้”
ประโยชน์ของน้ำอย่าดื่มน้ำมากเกินไปก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือถ้าจะดื่มก็ควรดื่มน้ำก่อนสักประมาณครึ่งชั่วโมง หรือ 45 นาที
ในระหว่างรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ไม่ดี
ภายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จไม่ควรดื่มน้ำทันที เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยควรดื่มหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วครึ่งชั่วโมง
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นและน้ำอัดลม เพราะน้ำเย็นจะไปดึงความร้อนในร่างกายมาทำให้น้ำที่เราดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิเท่ากับร่างกายจึงจะดูดซึมได้ ทำให้ร่างกายเสียเวลาในการปรับสมดุลและสูญเสียพลังงาน
สำหรับคุณผู้หญิงบางท่านที่มักมีอาการปวดประจำเดือน ช่วงที่มีประจำเดือนควรงดดื่มน้ำเย็น เพราะการดื่มน้ำเย็นจะทำให้อาการปวดทวีความรุนแรงมากขึ้น
ดื่มน้ำเป็น เห็นประโยชน์ นะคะ
7 ✮เทคนิคช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7 เทคนิคช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ✮กินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ และเป็นเวลา ควรงดอาหารว่างระหว่างมื้อ ถ้าหิวให้ดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ให้พลังงาน เช่น น้ำเปล่า น้ำสมุนไพร เช่น น้ำตะไคร้ น้ำใบเตย (ไม่ต้องเติมน้ำตาล) จะลดความรู้สึกหิวลงได้
2. ✮ห้ามงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะทำให้กินมากขึ้นในมื้อต่อไป
3. ✮ปริมาณอาหารควรจัดให้สมดุลตลอดวันทั้งมื้อเช้า กลางวัน และเย็น โดยเฉพาะควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารหลัง 6 โมงเย็น หรือช่วงกลางคืน
4. ✮ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์ก็ให้พลังงานไม่น้อยเลยทีเดียว คือ 1 กรัมให้พลังงาน 7 แคลอรี่ และแอลกอฮอล์กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร แอลกอฮอล์ยังให้พลังงานเพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้สารอาหารอื่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลย
5. ✮ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองในการดื่มเครื่องดื่มโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวาน เนื่องจากน้ำตาลกระตุ้นให้เกิดการรับประทานมาก เช่นเดียวกับสารที่ให้รสหวาน
6. ✮ไม่ควรรีบกินอาหาร ควรเคี้ยวช้าๆ การกินเร็วจะทำให้กินอาหารมากเกินอัตรา
7. ✮ควรคำนึงอยู่เสมอว่า การกินทุกครั้งไม่ใช่เพราะความอยากอาหาร แต่กินเพราะร่างกายจำเป็นต้องใช้พลังงานและสารอาหารในการดำรงชีวิต อันก่อให้เกิดสุขภาพดี
กล้ามเนื้อเยอะ/น้อย ไขมันเยอะ/น้อย เป็นยังไง?
มาดูกันว่ารูปร่างของเรานั้นเป็นแบบไหนเมื่อเปรียบเทียบมวลไขมันกับกล้ามเนื้อ
กล้ามเนื้อน้อย ไขมันเยอะ : บุคคลเหล่านี้สามารถหาได้จากพวกที่ออกกำลังกายหนักๆ คาร์ดิโอมากๆ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อสลายไป เช่น คนที่ออกกำลังกายประเภทวิ่งอย่างเดียว หรือกลุ่มคนที่เลือกที่จะอดอาหารโดยรับสารอาหารประเภทโปรตีนน้อย
กับอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเลย เพราะไม่ได้มีการเสริมสร้างกล้ามเนื้อแต่ยังกินปกติทำให้เกิดไขมันสะสม ถ้าคุณเป็นคนกลุ่มเหล่านี้ให้ลองจับเนื้อตัวเองดูจะรู้สึกว่าเนื้อเหลวๆไม่เต่งตึง
กล้ามเนื้อน้อย ไขมันน้อย : นี่คือกลุ่มบุคคลที่ผอมมากๆ ไม่ว่าจะกินอะไรเข้าไปก็เหมือนรู้สึกว่าไม่ได้รับสารอาหารอะไรเลย เพราะร่างกายไม่เอาไปสะสม หรือเสริมสร้างกล้ามเนื้อ อาจจะเกิดเพราะเป็นโรค หรือกรรมพันธุ์แต่กำเนิด ถ้าจะเสริมสร้างร่างกายให้กับบุคคลกลุ่มนี้ คือคุณต้องกินให้เยอะกว่าคนปกติและเล่นให้หนักกว่าบุคคลปกติ
กล้ามเนื้อเยอะ ไขมันเยอะ : บุคคลกลุ่มนี้สามารถหาได้ตามฟิตเนสทั่วไป เพราะคนกลุ่มนี้จะมีรูปร่างที่ใหญ่โตมาก (bulk) เน้นที่จะออกกำลังกายประเภทเวทเทรนนิ่งอย่างเดียว และเน้นการรับประทานอาหารอย่างบ้าคลั่ง โดยที่ไม่ใส่ใจอัตราการเผาผลาญของร่างกาย ทำให้มีไขมันสะสมในร่างกายค่อนข้างเยอะ (แต่ก็ทำให้ตัวดูหนาๆ) มองภายนอกอาจดูเหมือนแข็งแรง แต่ถ้าลองจับเนื้อดู จะรู้สึกว่าเนื้อจะนิ่มๆ ไม่ได้เห็นกล้ามเนื้อเป็นสัดส่วนชัดเจนมาก เพราะมีชั้นไขมันอยู่เยอะ
กล้ามเนื้อเยอะ ไขมันน้อย : เชื่อว่าใครๆก็อยากจะเป็นบุคคลกลุ่มนี้ เพราะบุคคลกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มี Fat% ค่อนข้างน้อย แต่มีมวลกล้ามเนื้อเยอะ ทำให้มองเห็นกล้ามเนื้อเป็นสัดส่วนและชัดเจน ทำให้รู้สึกใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูสวย (ไม่ใส่ก็ยังสวยอ่ะ) แต่จะเป็นคนกลุ่มนี้ได้ต้องใส่ใจเรื่องโภชนาการและการออกกำลังกายเป็นพิเศษ
***ลองเลือกดูนะคะว่าตัวเองอยู่กลุ่มไหน และในอนาคตอยากเป็นกลุ่มไหน เมื่อเลือกได้แล้วก็จงทำให้สำเร็จจ้า
ประโยชน์จากไข่ไก่ ทำไมทุกคนจึงควรทาน
ไข่ไก่เป็นของขวัญที่ได้มาจากธรรมชาติ อุดมด้วยคุณค่าทางอาหาร ถือเป็นคลังโภชนาการของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ไข่ไก่มีคุณประโยชน์อะไรบ้าง และสำหรับกลุ่มคนที่ต่างกัน รับประทานอย่างไรจะได้ผลดีที่สุด
ไข่ไก่มีโปรตีน เลซิธิน (lecithin) วิตามิน A วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน D แคลเซียม และธาตุเหล็ก ล้วนเป็นสารโภชนาการที่ร่างกายต้องการ อย่างเช่น เลซิธิน มีคุณประโยชน์ในการบำรุงสมอง เพราะส่วนประกอบสำคัญของสมองคือเลซิธิน ถ้ารู้สึกสมองไม่สดใส เมื่อย จะต้องเสริมเลซิธิน ไข่แดงอุดมด้วยเลซิธิน สามารถช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองฟื้นฟูความสดใสได้ วิตามิน B มีประโยชน์คลายความเครียด ช่วยทำให้น้ำตาลกลายเป็นพลังงาน ในไข่แดงทุก 100 กรัม มีธาตุเหล็กถึง 150 มิลลิกรัม สามารถช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดได้มากขึ้น
สำหรับผู้ที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ไข่ไก่เป็นอาหารที่ดีในการช่วยคลายความเครียด บรรเทาความเมื่อยล้า และฟื้นฟูกำลังวังชา
ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องมีสารโภชนาการ 7 ประเภท ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เซลลูโรส แร่ธาตุ ไขมัน และน้ำ ไข่ไก่มีเกือบทุกอย่างยกเว้นเซลลูโรส
แต่ถ้ารับประทานไข่ไก่มากเกินควรอาจจะทำให้กระเพาะและลำไส้ทำงานหนักขึ้น และต้องรับประทานไข่ไก่ที่สุกเต็มที่ เพราะถ้าสุกๆ ดิบๆอาจมีเชื้อโรคตกค้างอยู่
ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยรับประทานไข่ไก่ เพราะนึกว่าไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ความจริง ไข่แดงยังมีเลซิธินมากด้วย ซึ่งสามารถทำให้ไขมันและคอเลสเตอรอลสูง แต่ความจริง ไข่แดงยังมีเลซิธินมากด้วย ซึ่งสามารถทำให้ไขมันและคอเลสเตอรอลละลายเป็นเม็ดเล็กๆ จนขับออกจากหลอดเลือดได้ เป็นผลดีต่อการป้องกันหลอดเลือดตีบ รักษาความยืดหยุ่น ดังนั้น ผู้สูงอายุควรรับประทานไข่ไก่วันละ 1 ฟองเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น
ปัจจุบัน ผู้หญิงให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นต่อการรักษาหุ่น และลดความอ้วน ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ไม่ต้องอดอาหาร เพียงแต่รับประทานไข่ไก่ 2 ฟองในช่วงเช้าก็จะได้ผล
เพราะในไข่ไก่อุดมด้วยสารโภชนาการที่ร่างกายต้องการ และแต่ละฟองมีเพียง 75 แคลอรีเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแต่ได้รับสารอาหารอย่างพอเพียงเท่านั้น แต่ยังทำให้รู้สึกอิ่มท้องด้วย นอกจากนี้ วิตามิน B1 และวิตามิน B2 ในไข่ไก่มีส่วนช่วยขจัดไขมัน และธาตุเหล็กในไข่ไก่สามารถช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือด ทำให้ใบหน้าสดใสด้วย
5 วิธีเผาผลาญไขมันในที่ทำงาน
ในวันทำงาน ขณะที่คุณต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โต๊ะทำงาน สำหรับคนที่ตระหนักถึงการดูแลรักษาสุขภาพ
คุณสามารถกระตุ้นประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ด้วยวิธีการต่อไปนี้
1. การใช้โทรศัพท์: โดยปกติเรามักจะนั่งคุยโทรศัพท์ ซึ่งถ้าทำแบบนั้นนานๆ มักเกิดความเมื่อยล้า ลองเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการลุกขึ้นยืนในขณะที่คุยโทรศัพท์ แล้วค่อยๆ เขย่งปลายเท้าขึ้น-ลง เป็นระยะๆ จะช่วยให้คุณได้ออกกำลังกล้ามเนื้อส่วนน่องไปด้วย
2. ดื่มน้ำครั้งละน้อยๆ แต่ดื่มบ่อยๆ: พยายามหาวิธีที่ทำให้คุณต้องเดินไปรินน้ำดื่ม 1 แก้วทุกๆ ครึ่งชั่วโมง การทำเช่นนั้นเป็นการบังคับให้คุณต้องลุกขึ้นเดินทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ซึ่งการดื่มน้ำบ่อยๆ จะเกิดผลดีต่อสุขภาพของคุณอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณรู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมาและอยากเข้าห้องน้ำ คุณก็จะได้ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นจากการเดินไปห้องน้ำ และการลุกขึ้นเดินบ่อยๆ ยังช่วยให้คุณได้เปลี่ยนอิริยาบถ แทนที่จะนั่งทำงานอยู่เป็นเวลานาน
3. ออกกำลังที่โต๊ะทำงาน: ขณะที่นั่งทำงาน คุณสามารถออกกำลังกล้ามเนื้อต้นขา หน้าท้องและบั้นท้าย โดยการนั่งตัวตรง งอเข่า ขาชิดกัน เหยียดขาให้ฝ่าเท้าแนบราบกับพื้น จากนั้นให้พยายามยกเท้าขึ้นจากพื้นสูงประมาณ 4-5 นิ้ว ทำพร้อมกับการเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาและบั้นท้าย ค้างไว้สัก 5 วินาที ทำซ้ำๆ บ่อยๆ ยิ่งมากได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี
4. อาสาช่วยเหลือเพื่อนๆ ในที่ทำงาน: เช่น ชงกาแฟ ถ่ายเอกสาร ฯลฯ นอกจากทำให้คุณได้ยืดเส้นยืดสายไปในตัว ยังเป็นการเอาอกเอาใจเพื่อนๆ ให้มีความรู้สึกที่ดีต่อคุณได้อีกทางหนึ่ง
5. ไม่สั่งอาหารกลางวันมาทานในออฟฟิศ: แม้ว่างานจะยุ่งสักเพียงใด การสั่งอาหารมื้อเที่ยงเข้ามาทานไม่เป็นการดีต่อคุณเลย พยายามสละเวลาออกไปทานมื้อเที่ยงข้างนอก เพื่อให้คุณได้ขยับแข้ง-ขา ยืดเส้นยืดสายไปในตัว เมื่อทานมื้อเที่ยงเสร็จ การเดินกลับที่ทำงานจะช่วยย่อยอาหารและเป็นการออกกำลังกายไปในตัว
5 ข้อที่กล่าวมา คงทำให้หลายคนสุขภาพดีขึ้น หากนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง