Posted on

กินหวาน โมโหง่าย

กินหวาน โมโหง่าย

การกินหวาน โมโหง่าย จริงหรือ?

กินหวาน โมโหง่าย เวลาที่เรา โมโห หรือ หงุดหงิดอะไรสักอย่าง เคยเจอเพื่อน แซวกันมั้ยว่า “ไปกินหวานมาเยอะใช่มั้ย” “เพิ่งไปกินน้ำตาลมาหรอ” และอีกคำสารพัดที่ไปโยงความหงุดหงิดเข้ากับความหวาน จนมีความเชื่อเกิดขึ้นมาว่า “กินหวานแล้วโมโหง่าย” หรือแม้กระทั่ง อย่าให้สุนัขกินของหวาน เพราะจะทำให้มันดุ
.
ความเชื่อนี้ ไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อที่พูดกันเล่นๆ เท่านั้นนะ เพราะนักวิทยาศาสตร์มีการทดลองอย่างจริงจังเพื่อพิสูจน์ว่ากินน้ำตาลมากไปจะทำให้โมโหและหงุดหงิดง่ายจริง วิธีการทดลองมีอยู่ว่า ไม่ให้ผู้ทดลองกินน้ำตาลอย่างเด็ดขาด ดังนั้นอาหารที่ทำให้ผู้ทดลองทานก็จะใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาล และใช้น้ำผลไม้แทนน้ำอัดลม เวลาผ่านไปสามเดือน พบว่าสถิติการทะเลาะวิวาทของผู้ทดลองลดลงถึง 45% ทีเดียวเชียว
.
สาเหตุที่ทำให้น้ำตาลกลายเป็นปัจจัยให้คนเราหงุดหงิดง่ายขึ้น เป็นเพราะว่า เวลาที่เรากินน้ำตาลเข้าไปมากๆ จะถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสและถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ปริมาณน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
.
กฏของร่างกายมีอยู่ว่าถ้ามีปริมาณน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น สมองจะสั่งการให้หลั่งอินซูลินออกมาเพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดลง และตับอ่อนก็จะทำงานหนัก แต่ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้เครียด สมองก็จะส่งสัญญาณเตือนมาอีกและหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลินออกมา ซึ่งถ้ามากเกินไปจะทำให้การควบคุมจิตใจเป็นไปไม่ปกติ เลือดร้อน โมโหง่าย หงุดหงิดง่าย และก้าวร้าวอีกด้วย
.
พฤติกรรมก้าวร้าว โมโหฉุนเฉียว เชื่อว่าเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมากันโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้ด้วยว่าเป็นผลที่อาจเกิดได้จากการกินน้ำตาลมากจนเกินไป ดังนั้นถ้าเรา ปรับลดพฤติกรรมการกินหวานหรือลดการตักน้ำตาลไปบ้าง ก็น่าจะเป็นผลดีกับน้องๆ ทำให้สภาพจิตใจเป็นปกติ สดใสสมเป็นวัยรุ่น และที่สำคัญช่วยลดอาการร่างกาย “ติดหวาน” จนเป็นที่มาของโรคในอนาคตด้วยค่ะ
.
นับวันยิ่งเห็นโทษของการกินของหวานโดยเฉพาะน้ำตาล แม้ว่าความหวานจะทำให้อาหารที่อยู่ตรงหน้าอร่อยขึ้น แต่โทษของมันก็มีมากกว่าที่คิด ไหนจะทำให้เกิดโรคอ้วน เบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูง แล้ว ยังทำให้เราดุ โมโหง่าย หงุดหงิดง่าย หลายเป็นคนก้าวร้าวอีกต่างหาก ดังนั้นต่อไปนี้ใครบอกว่ากินขนมหวานแล้วอารมณ์ดีขึ้น ต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่ เพราะอย่าลืมว่าของหวานทุกชนิดมักใช้น้ำตาลเป็นส่วนผสม ถ้ากินเยอะเกินไป จะกลายเป็นคนอารมณ์เสียได้นะคะ

กินหวาน โมโหง่าย10 เคล็ดลับ
ควบคุมน้ำตาล

1 กินเป็นประจำ
สิ่งที่ทำให้เกิดความอยากน้ำตาล ร่างกายของคุณต้องการแหล่งคงที่ของพลังงานไม่สูงและต่ำดังนั้นเคล็ดลับแรกของเราในการที่จะควบคุมความอยากน้ำตาล – ไม่ข้ามมื้ออาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเช้าและให้แน่ใจว่าจะได้รับความอุดมสมบูรณ์ของโปรตีนที่มีเกือบทุกมื้อการรับประทานเป็นประจำจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณมีเสถียรภาพและช่วยให้หลีกเลี่ยงการกระ

2. รักษามันเช่นดีท็อกซ์
ถ้าคุณจะไปสำหรับการลดความรุนแรงในการบริโภคน้ำตาลของคุณแล้วคุณควรจะใช้กระบวนการนี้อย่างจริงจังน้ำตาลเป็นเสพติดและสัปดาห์แรกที่คุณลดน้ำตาลอาจจะมีบิตอึดอัดคุณอาจจะได้สัมผัสกับความอยากจึงได้เตรียมที่สำหรับพวกเขาตัดออกน้ำตาลในเวลาเมื่อคุณเครียดน้อยที่สุดและไม่เพียง

3. ล้างออกล่อลวง
เคล็ดลับเกี่ยวกับวิธีการควบคุมความอยากน้ำตาลก็คือ – ทำความสะอาดออกตู้เย็นและตู้ของทุกคนถือว่าดึงดูดและของว่างและทำให้ตัดสินใจอย่างมีสติที่จะไม่สต็อกของพวกเขาเมื่อคุณไปช้อปปิ้งการถอดสิ่งล่อใจสำหรับการเข้าถึงง่ายจะทำให้ง่ายขึ้นที่จะเอาชนะความอยาก

4. เตรียมความพร้อมทางเลือกบางอย่าง
ให้เลือกอาหารมื้อเพื่อตุนถือว่าสุขภาพแทนของขนมหวานเลือกบางสิ่งที่ดีต่อสุขภาพที่คุณไม่ชอบเช่นบลูเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่, แอปเปิ้ล, พีช, โยเกิร์ต, ถั่ว, ผลไม้แห้งหรือผสมเส้นทางขนมทางเลือกเหล่านี้จะลดความอยากความหวานและให้คุณเพิ่มสุขภาพที่ดีของพลังงานและสารอาหารที่มากเกินไป

5. การทดสอบกับอาหารอื่น ๆ
ปลายของเราต่อไปเกี่ยวกับวิธีการควบคุมความอยากน้ำตาลและ วิธีการทำลายยาเสพติดน้ำตาล นี้เป็นโอกาสที่จะทดสอบกับอาหารและลองสิ่งที่คุณไม่เคยกินมาก่อน.ทางเลือกในการหาอาหารที่มีน้ำตาลที่ยังคงทำให้คุณรู้สึกดีและให้พลังงานที่คุณต้องการสิ่งที่คุณอาจคิดว่าเป็นความอยากก็อาจจะเป็นผลมาจากนิสัยและแทนที่ขนมหวานกับคนที่มีสุขภาพดีมากขึ้นจะมากขึ้นกว่าไม่อาหารว่างที่ทั้งหมด

6. ผักหวานในอาหารของท่าน
ทุกคนได้รับความอยากอาหารหวาน แต่คุณไม่ได้เกินน้ำตาลที่จะตอบสนองความอยากที่อีกข้อเสนอแนะที่ดีในการที่จะควบคุมความอยากน้ำตาลคือการทำวิธีที่มีสุขภาพดี: เพิ่มความหวานในอาหารของคุณโดยการเพิ่มผักหวานมื้ออาหารของคุณผักเช่นมันฝรั่งหวานกะหล่ำปลีสีเขียวหัวผักกาดและแครอทจะช่วยในการรักษาเสถียรภาพ

7. ใช้น้ำยาบ้วนปากบาง
เมื่อคุณได้รับความอยากที่แข็งแกร่งที่แท้จริงสำหรับน้ำตาลลองทำความสะอาดฟันของคุณและจากนั้นล้างด้วยน้ำยาบ้วนปากบางรสชาติที่แข็งแกร่งของน้ำยาบ้วนปากจะทำให้อาหารที่มีน้ำตาลน้อยดูเหมือนน่าสนใจ

8. ถ้าคุณจะต้องรักษาแล้วทำให้มันเป็นหนึ่งที่ดี
ถ้าคุณไม่สามารถต้านทานการกระตุ้นสำหรับรักษาหวานแล้วซื้ออาหารที่มีคุณภาพดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ชิ้นส่วนที่มีคุณภาพสูงช็อคโกแลตหรือส่วนเล็ก ๆ ของไอศครีมรสเลิศจะตอบสนองความอยากน้ำตาลของคุณจะดีกว่า

9. เคี้ยวหมากฝรั่งน้ำตาลฟรี
การเคี้ยวหมากฝรั่งน้ำตาลฟรีจะช่วยลดความอยากความหวานรักษาก้อนของน้ำตาลหมากฝรั่งฟรีกับคุณและเวลาถัดไปที่คุณกระหายการรักษาหวานเคี้ยวว่าสำหรับขณะที่และมันจะทำให้ความอยาก

10. วิธีการควบคุมความอยากน้ำตาล? ไม่ต้องพึ่งพาสารให้ความหวานเทียม
สิ่งที่ต้องการโซดาอาหารที่มีสารให้ความหวานเทียมไม่ได้ช่วยให้คุณลดความอยากของคุณเพราะพวกเขาหลอกร่างกายของคุณในความคิดที่ได้รับการขัดขวางน้ำตาลในเลือดเช่นเดียวกับยาเสพติดใด ๆ

รู้เคล็ดลับควบคุมน้ำตาลกันแล้ว ลดเสี่ยง!! โรคชุดกัน ดูแลสุขภาพกันต่อไปนะคะ เราจะสวยและสุขภาพดีไปพร้อมๆกันจ้า

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
Posted on Leave a comment

25ประโยชน์ของขนุน

25ประโยชน์ของขนุน

25ประโยชน์ของขนุน

25ประโยชน์ของขนุนใครจะรู้ ว่าแค่กินขนุนนั้น จะส่งผลต่อร่ายกายมากขนาดนี้ ประโยชน์ของมันมีมากจริงๆ ใครอ่านจบแล้วรีบไปซื้อมากินด่วน

ขนุน นอกจากจะมีความอร่อยแล้ว อีกทั้งหลายๆส่วนยังสามารถนำมาประกอบเป็นขนมและอาหารได้อีกด้วย แต่รู้หรือไม่ขนุนนั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด วันนี้มี 25ประโยชน์ของขนุนที่คุณไม่รู้มาก่อน

1.ลดการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
สำหรับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้าลองนำเม็ดขนุนจุ่มนมเย็นและนำมาคลึงบนหน้าเบาๆ วิธีนี้จะช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าได้อย่างดี (ลองทำต่อเนื่องอย่างน้อย 6 สัปดาห์)

2.ลดอาการท้องผูก
สรรพคุณของเม็ดขนุนใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยเส้นใยที่จะเข้าไปล้างพิษ

4.โปรตีนสูง
เม็ดขนุนมีโปรตีนสูง สำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักลองเปลี่ยนจากกินถั่วมากินเม็ดขนุน (ต้ม) ก็ช่วยได้

5.ช่วยให้ผมสวยสุขภาพดี
ทานเม็ดขนุนสามารถช่วยในการไหลเวียนของเลือด เป็นผลดีกับผมช่วยให้เส้นผมยาวเร็วขึ้นอีกด้วย

6.มีวิตามินเอ
เม็ดขนุนเป็นแหล่งรวมวิตามินที่ดีสำหรับเส้นผม ป้องกันผมไม่ให้แห้งกร้านและเปราะบาง

7.สร้างภูมิคุ้มกัน
เป็นแหล่งวิตามินซีและมีสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถสร้างระบบคุ้มกันให้แข็งแรงปกป้องอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่น ไอ ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่

8.ให้พลังงาน
ขนุนอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต แคลอรี่รวมไปถึงน้ำตาลฟรุกโตส เป็นผลไม้ที่ไม่มีคอเรสเตอรอล กินได้ปลอดภัยสุขภาพดีชัวร์

9.ปกป้องการเกิดโรคมะเร็ง
ขนุนมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่สามารถป้องกันจากโรคมะเร็งได้ และป้องกันมะเร็งในช่องปาก

10.รักษาความดันโลหิต
ขนุนมีโพแทสเซียมที่ช่วยลดระดับความดันโลหิตสูงและบำรุงหัวใจ

11.ช่วยปรับการย่อยอาหารให้ดีขึ้น
ขนุนอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่เหมือนเป็นตัวช่วยหรือยาระบาย ช่วยย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องผูก

12.ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
ขนุนมี high in dietary fats จึงสามารถช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากสารพิษในลำใส่ใหญ่และป้องกันมะเร็งที่อาจะเกิดขึ้นได้ นอกจากนั้นสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วย ป้องกันริ้วร้อยที่เกิดจากวัยและความเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อและอวัยวะของร่างกาย หรือที่เราเรียกว่า โรคเสื่อมนั่นเอง

13.บำรุงสายตา
เนื้อขนุนมีวิตามินและสารอาหารที่สำคัญต่อดวงตา และมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันต้อกระจกและประสาทตาเสื่อม

14.ดีต่อผิวลดริ้วรอย
ปัจจัยทั้งเรื่องอายุที่เพิ่มขึ้นและวัยหมดประจำเดือน รังสียูวี หรือมลพิษต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายดูแก่ก่อนวัย ขนุนมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัยและลดริ้วรอย

15.โรคหอบหืด
บรรเทาอาการหอบของคนที่เป็นโรคหอบหืดได้ ปัจจุบันมีผู้เป็นโรคหอบหืดหรือโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจจำนวนไม่น้อย

16.เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
ขนุนอุดมไปด้วยแมกนีเซียมสร้างเสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ขนุนมีโพแทสเซียมจะเข้าไปช่วยลดการสูญ เสียแคลเซียมในไตและเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก

17.ห่างไกลโรคโลหิตจาง
ขนุนเต็มไปด้วยวิตามิน เอ ซี อี และเค มีไนอาซิน วิตามิน บี6 โฟเลต กรด pantothenic ทองแดงแมงกานีสและแมกนีเซียมที่จำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือด นอก จากสามารถดูดซึมธาตุเหล็กแล้วยังสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้ด้วย

18.บรรเทาอาการหวัด
เนื่องจากอุดมด้วยวิตามินซีจึงสามารถช่วยป้องกันอาการหวัดและการติดเชื้อได้ เพียงคุณรับประทานขนุน 5 – 6 ชิ้นคุณก็จะได้รับทั้งสารต้านอนุมูลอิสระและการเสริม สร้างระบบภูมิคุ้มกัน

19.ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจเกิดจากการขาดแมงกานีส โดยในขนุนมีแมงกานีส (จากข้อ17) จึงช่วยลดหรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

20.ป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก
ขนุนอุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง พบว่าคนที่ได้รับแมกนีเซียมและโพแทสเซียม จะมีมวลกระดูกสูงและกระดูกแข็งแรง ถ้าสงสัยว่ามวลกระดูกตรงนี้มีผลต่อร่างกายอย่างไร ลองนึกถึงคนที่มีมวลกระดูกน้อย ๆ พออายุมากขึ้นกระดูกสันหลังจะสึก กร่อนทีละนิด ทำให้หลังค่อมหรือดูตัวเตี้ยลงนั่นเอง ส่วนคนที่อายุยังน้อยเมื่อเกิดอุบัติเหตุอาจจะส่งผลให้กระดูกหักง่ายนั่นเองค่ะ

21.ช่วยให้ต่อมไทรอยด์มีสุขภาพดี
คอปเปอร์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับขบวนการเมตาบอลิซึมของต่อมไทรอยด์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการดูดซึมและการผลิตฮอร์โมน ซึ่งขนุนก็เป็นตัวตอบโจทย์ได้ดีเลยที เดียวเพราะเต็มไปด้วยแร่ธาตุที่มีประสิทธิภาพต่อกระบวนการดังกล่าวและทำให้อัตราการเผาผลาญเป็นไปด้วยดีต่อสุขภาพ

23.ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน
ขนุนเป็นประโยชน์ต่อดวงตาอย่างมากและอุดมไปด้วยวิตามินเอที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตาบอดกลางคืนได้
*** อาการตาบอดกลางคืน คือ ผู้ที่มองเห็นภาพวัตถุในที่ที่่มีแสงสลัวในที่มึดไม่ชัดเจนในช่วงแรก ก่อนที่จะปรับตาเพื่อให้เห็นชัดจะช้ากว่าปกติหรือเรียกว่า Slow dark adaptation

24.ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
ผลขนุนยังมีวิตามิน บี6 ที่จะช่วยลดระดับโฮโมซิสเตอีนในเลือด ทำให้หัวใจแข็งแรง

25.ช่วยสมานแผน
ขนุนมีคุณสมบัติในการสมานแผลที่น่าทึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการผิดปกติอื่นๆในระบบทางเดินอาหารด้วย

เห็นไหมค่ะขนุนที่ว่าเป็นผลไม้ที่เหมือนจะทานแล้วได้แค่ความอร่อยนั้น ยังสามารถมี 25ประโยชน์ของขนุน ให้คนไทยและชาวต่างชาติได้รู้และลองทานกัน

เคล็ดลับดูแลรูปร่าง ตัวช่วยตอบโจทย์ เดนิมพลัส

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง

โทร.082-4994-936

Posted on

ถอดรหัสลับ พอร์คชอป

ถอดรหัสลับ 5ข้อพอร์คชอป

ถอดรหัสลับ 5 ข้อ พอร์คชอป


เรื่องกินเรื่องใหญ่ คำนี้ติดปากคนไทยมายาวนาน การได้พบปะเพื่อนฝูงจิบเครื่องดื่มและเพลิดเพลินไปกับการทานอาหารอร่อยนั้นสุขยิ่งกว่าสิ่งใด มารู้จักเมนูนิดนิยม “Pork Chop Steak”ถอดรหัสลับ 5 ข้อ เกี่ยวกับพอร์คชอป” กันเลย
.

1.พอร์คชอป คือส่วนไหนกันหนอ?
คือเนื้อส่วนที่คล้ายกับทีโบนในเนื้อวัว เป็นเนื้อติดกระดูกนั่นเอง แต่ถ้าเป็นเนื้อหมู ก็จะเรียกว่า พอร์คช็อป

2.แล้วเนื้อสันนอก กับ เนื้อสันใน มันต่างกันยังไง?
“สันในหมู” เป็นส่วนที่นุ่มมากที่สุด เหมาะทำอาหารประเภทอบหรือย่าง เช่น หมูแดง “หมูสันนอก” เป็นเนื้อที่มีความนุ่มปานกลาง เป็นก้อนใหญ่ เหมาะสำหรับเมนูที่ต้องหั่นกินเป็นชิ้นใหญ่ๆ ส่วนควาามอร่อยต้องขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ทานว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน

3.Pork Chop ยิ่งแพงยิ่งดี จริงหรือ?
หมูที่ขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่จะ cut ออกมาแตกต่างกันหลักๆจะมี pork loin chop, pork loin blade chop, pork loin center chop ความอร่อยขึ้นอยู่กับการหมัก การย่างและความชอบ มิได้ขึ้นอยู่กับราคาเสมอไป

4.กินยังไงไม่ให้อ้วน?
โชคดีที่เมนูนี้ปรุงแบบเสต็ก จะช่วยลดไขมันได้ดีกว่าเมนูทอด ที่อุดมไปด้วยไขมันจากน้ำมัน *หากคุณทานพอร์คชอปคู่กับสลัดผักสด จะได้พลังงาน 375 กิโลแคลอรี่ ซึ่งยังน้อยกว่า ข้าวกระเพรา หรือ ผัดไทย 1 จาน

5.ผักสีเขียวซอยที่อยู่ด้านบนพอร์คชอป..เป็นมากกว่าผักโรยจาน?
ผักที่ว่านี้คือ พาร์สลีย์ (Parsley) หากได้ทานหนึ่งถ้วยจะมีบีตาแคโรทีน มากกว่าแครอทหัวใหญ่หนึ่งหัว มีวิตามินซีมากกว่าส้มเกือบสองเท่า และมีแคลเซียมมากกว่านมหนึ่งแก้ว ถ้ารู้แบบนี้แล้วก็อย่าเขี่ยทิ้งกันนะ

เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
กระบองเพชรอินเดีย ♥️ เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block ด้วยถั่วขาว โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน ด้วยไคโตซาน แล้วขับถ่ายออก


เดนิมพลัส

?☎️สายด่วน : 082-4994936

Posted on Leave a comment

9วิธี ควบคุมตัวเองไม่ให้กินเยอะ

หัวใจสำคัญในการควบคุมน้ำหนัก นอกจากจะต้องเลือกอาหารที่ดี มีประโยชน์ และแคลอรี่ไม่สูง เราต้องคำนึงถึงปริมาณที่เรากินเข้าไปด้วยค่ะ

เพราะต่อให้เราเลือกอาหารที่แคลอรี่น้อยขนาดไหน แต่ถ้ากินเข้าไปเยอะๆ แบบไม่ยั้ง ก็ทำให้น้ำหนักเราขึ้นได้เหมือนกันนะ ถ้าเราสามารถ ควบคุมตัวเองไม่ให้กินเยอะ ก็จะส่งผลดีต่อน้ำหนักและสุขภาพร่างกายของเราค่ะ

1. เคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วย ตอนซื้อของกิน
เราอาจเคยได้ยินมาว่า เวลาหิวๆ ไม่ควรเดินไปในโซนของกิน เพราะจะทำให้เราซื้อนู้นซื้อนี่มาเยอะแยะ จนต้องกินของที่ซื้อมาจนหมด แต่ต่อจากนี้ ไม่ต้องห้ามใจไม่ให้เดินเข้าไปในโซนที่เลี่ยงยากอีกแล้ว ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ คือ ก่อนจะเดินเข้าไปตามร้านขายของกิน หรือในซูเปอร์มาเก็ตโซนที่ขายอาหาร หรือขนม ให้เราเคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วยค่ะ เพราะการเคี้ยวหมาฝรั่งจะทำให้ความอยากอาหารของเราลดลง เคล็ดลับนี้ไม่ได้อ้างขึ้นมาเฉยๆ นะคะ เพราะเคยมีการวิจัยออกมาแล้วว่า คนที่เคี้ยวหมากฝรั่งขณะเดินซื้อของกิน จะซื้อขนมที่มีแคลอรี่สูงๆ มาน้อยลง และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ของส่วนใหญ่ที่ซื้อกลับบ้านมา มักเป็นอาหารเพื่อสุขภาพด้วย! แต่ก็ต้องระวังกันสักนิดนะคะ เพราะหมากฝรั่งบางอย่างก็น้ำตาลสูง แนะนำว่าให้เลือกกินแบบ Sugar-free หรือไม่ก็น้ำตาลน้อยๆ ค่ะ

2. ตักอาหารเพื่อสุขภาพใส่จานก่อน
ไม่ว่าเราจะกินอาหารที่บ้านหรือไปกินบุฟเฟ่ต์มื้อหนักๆ ข้างนอก ถ้าเราอยากควบคุมปริมาณอาหารที่กินเข้าไปให้น้อยลง ก็ทำได้ไม่ยากค่ะ ด้วยการ ตักเอาผัก หรือพวกอาหารแคลอรี่น้อยๆ ใส่จานให้เต็มก่อน ทีนี้เราก็จะเหลือพื้นที่สำหรับใส่อาหารแคลอรี่สูงๆ ได้น้อยลงแล้ว

3. เปย์ด้วยเงินสด
การใช้บัตรเครดิต จะทำให้เราซื้ออาหารได้ง่ายขึ้น รูดเอาๆ ก็ได้ของกินมาเพี๊ยบแบบไม่ทันรู้ตัวเลยล่ะ ถ้าเราลองใช้เงินสด และลองพกเงินในกระเป๋าตังค์น้อยๆ ก็จะช่วยให้เราซื้อได้น้อยลง ไม่ใช่ว่ามันลดความยากกินนะ แต่ถ้าซื้อเยอะกว่านี้ คงได้กินแกลบแทนข้าวแน่ๆ เลย

4. ปิดพวกรายการทีวีทำอาหาร
ความมีเสน่ห์ของรายการอาหาร ก็คือ ภาพของอาหารที่มันชวนให้น่ากินเนี่ยแหละค่ะ ถึงกับมีงานวิจัยออกมาแล้วนะคะว่า คนเราจะกินอาหารเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ดูรายการทำอาหารไปด้วย

5. ใช้จาน ชามสีฟ้าลดความอยากอาหาร
เชื่อไหมว่า สีของจานอาหารก็ช่วยลดความอยากอาหารได้ด้วยนะ ซึ่งจานสีฟ้าจะช่วยลดความอยากอาหารของเราได้ค่ะ ใครอยากลดปริมาณอาหารที่กินแต่ละมื้อ ลองเปลี่ยนจานสีสดๆ มาเป็นโทนเบาๆ อย่างสีฟ้าแทนสิคะ

6. ใช้จาน ชามขนาดเล็ก ช่วยทำให้อาหารดูเยอะ ทั้งๆ ที่น้อย
ขนาดของจาน มีความสัมพันธ์กับการกินของเรา ถ้าเราใช้จานใบใหญ่ สมองเราก็จะสั่งการว่า เราต้องกินในปริมาณเท่านี้ และแน่นอนว่า ถ้าใช้จานใบใหญ่ ก็หมายถึงว่าอาหารที่เรากินเข้าไปต้องเยอะตาม เพื่อลดปริมาณอาหาร ไม่ให้ตัวเองกินเยอะเกินไป ขอแนะนำว่าให้ใช้จานใบเล็กๆ ใส่อาหาร และก็กินแค่ที่มีในจานก็พอค่ะ

7. ขอให้การกินเป็นตัวเลือกสุดท้ายเมื่อเราเครียด
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเรากินอาหารได้มากขึ้น ก็มาจากความเครียดในชีวิต เคยได้ยินไหมคะว่า “ยิ่งเครียดยิ่งกินเยอะ” เครียดอะไรมาก็พุ่งเข้าหาของกินไว้ก่อน ด้วยเหตุนี้ เพื่อควบคุมตัวเราไม่ให้กินเยอะมากเกินไป ลองหักห้ามใจตัวเองดูค่ะ พอเครียดปุ๊ป ก็ให้เบี่ยงเบนไปทำอย่างอื่นแทนการกินสักประมาณ 5-10 นาที และลองถามใจตัวเองว่า ยังรู้สึกหิวอยู่หรือเปล่า เพราะบางทีเราอาจจะไม่ได้รู้สึกว่าหิวจริงๆ ค่ะ เราแค่หาทางออกด้วยการกินเท่านั้น

8. เอาขนม ของหวานวางไว้ในที่ไกลจากสายตา
บางทีเรากินนู้นกินนี่บ่อยๆ เพราะเราเห็นมันเป็นประจำก็ได้ เห็นทีก็หิวที เพื่อระงับอาการหิว ก็ควรทำยังไงก็ได้ไม่ให้เราเห็นของพวกนั้นบ่อยๆ นั่นก็คือ เอาของกิน กระปุกของหวาน ไปวางไว้ในที่ไกลสายตา วางในจุดที่เราจะไม่หันไปมองเห็นได้บ่อยๆ มีการทดลองหนึ่งบอกว่า พอให้พนักงานออฟฟิศวางช็อกโกแลตบนโต๊ะ ปรากฏว่า กว่า 45% กินช็อกโกแลตที่อยู่บนโต๊ะมากกว่ากระปุกของหวานที่วางไกลจากที่นั่ง 6 ฟุต และจะกินช็อกโกแลตลดลง 25% เมื่อเอาช็อกโกแลตวางไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานค่ะ เห็นไหมคะว่า การเอาของกินวางไกลๆ สายตาเรา ก็ช่วยลดการกินบ่อยๆ ได้เช่นกันนะ

9. กินช้าๆ และดื่มน้ำเยอะๆ
อีกหนึ่งเคล็ดลับสุดท้าย ที่จะทำให้เรากินได้น้อยลง นอกจากจะตักใส่จานใบเล็กๆ ควบคุมปริมาณให้น้อยลงแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำก็คือ ควรกินช้าๆ ค่ะ ก็จะช่วยให้เราอิ่มเร็ว กินได้น้อยกว่ากินเร็วๆ แล้วก็ในระหว่างที่กินอาหาร ก็ดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆ ด้วย เพราะน้ำจะทำให้รู้สึกอิ่มง่าย

พักนี้ใครรู้สึกว่า ควบคุมเรื่องการกินไม่อยู่ ลองนำเคล็ดลับนี้ไปใช้ดูค่ะ เคล็ดลับใกล้ตัวที่ทำได้ไม่ยากเลย แต่เราก็ไม่ได้หมายความว่าให้ทุกคนอดข้าว อดน้ำ หรือกินน้อยเกินไปนะคะ ควรกินให้อยู่ในระดับที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน และควบคุมตัวเองไม่ให้กินเยอะกว่าปริมาณปกติค่ะ

 

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

❥เดนิมพลัส วันละเม็ด กระบองเพชรอินเดีย
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง

Posted on Leave a comment

กินลดน้ำตาล

กินลดน้ำตาล

การรับประทานอาหารช่วยควบคุมน้ำตาลได้ เช่น

✧ อาหารเช้า การรับประทานอาหารเช้าอย่างเต็มที่ตามหลักโภชนาการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ไปตลอดทั้งวัน ส่งผลให้ไม่รู้สึกอยากอาหาร ซึ่งทำให้ต้องรับประทานจุกจิกในระหว่างวัน รวมทั้งลดความอยากรับประทานอาหารมื้อกลางวันและเย็นลงด้วย

✧ ถั่ว ธัญพืช ผักใบเขียว ผลการวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่าการรับประทานอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานลงได้ แต่ได้ผลเฉพาะการรับประทานแมกนีเซียมจากอาหาร ไม่ใช่จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งหลายที่วางขายในปัจจุบัน และหากได้ผลดีควรลดการรับประทานอาหารประเภทแป้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวหรือขนมปังขัดขาวลงด้วย

✧ ไขมันไม่ใช่ผู้ร้ายเสมอไป ไขมันอาจฟังดูน่ากลัว สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แต่การไม่รับประทานไขมันเลยก็อาจไม่เป็นผลดีต่อร่างกายเท่าไหร่นัก เพราะไขมันช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือดเพียงแต่ควรเลือกรับประทานไขมันจากปลาและพืชเช่นถั่วต่างๆ

✧ อบเชยก็ช่วยได้ ผลการวิจัยจากศูนย์วิจัยอาหารในแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา พบว่า อบเชยมีส่วนประกอบซึ่งช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงานได้เร็วขึ้น จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไปได้ นักวิจัยแนะนำว่าควรรับประทานอบเชยวันละ 1ส่วน4 ช้อนชา

 

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

❥เดนิมพลัส วันละเม็ด กระบองเพชรอินเดีย
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

 

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง

Posted on Leave a comment

10ประโยชน์เมล็ดฟักทอง

เมล็ดฟักทอง

ในเมล็ดฟักทองมี แมงกานีส แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง สังกะสี เหล็ก ทริปโตเฟนและโปรตีน อยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังเป็นแหล่งรวมของวิตามิน E K C และ B นอกจากนี้เมล็ดฟักทองยังอุดมไปด้วยโปรตีนและกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลายชนิด ข้อดีของเมล็ดฟักทองคือ มีผลผลิตตลอดทั้งปี ไม่ต้องแช่เย็น พกพาได้สะดวก และยังมีรสชาติหวานอร่อย เป็นอาหารว่างชั้นดีที่คุณควรมีติดบ้านหรือสำนักงานไว้ และนี่คือ 10 คุณประโยชน์ของเมล็ดฟักทอง

1. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี
การบริโภคเมล็ดฟักทองสามารถช่วยลดระดับของ LDL (คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี) ในร่างกายของเราได้ ใน 2012 วารสารทางการแพทย์ของแอฟริกันได้ตีพิมพ์ข้อมูลหนึ่ง นักวิจัยพบว่า หนูที่เลี้ยงด้วยเมล็ดฟักทองมีระดับ HDL (คอเลสเตอรอลชั้นดี) เพิ่มขึ้นและระดับ LDL (คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี) ลดลงอย่างเห็นได้ชัด กินเมล็ดฟักทองอบแห้ง 2-4 ช้อนโต๊ะทุกวัน โดยไม่ต้องเพิ่มเกลือหรือปรุงรสใดๆเพื่อช่วยลดระดับ LDL ของคุณ

2. การควบคุมน้ำตาลในเลือด
ใน 2010 วารสารโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนได้ทำการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเมล็ดฟักทองกับโรคเบาหวาน การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เมล็ดฟักทองสามารถช่วยควบคุมระดับอินซูลินและป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานโดยการลดสภาวะความเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) นอกจากนี้ยังพบว่ามีสารเคมีในน้ำมันเมล็ดฟักทองช่วยป้องกันโรคไตจากเบาหวานได้อีกด้วย คนที่เป็นโรคเบาหวานสามารถรับประมาณเป็นอาหารว่างเพื่อสุขภาพ โดยกินได้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน

3. ต่อต้านโรควิตกกังวล
ในปี 2007 การศึกษาของ Canadian Journal of Physiology and Pharmacology พบว่าทริปโตเฟน (tryptophan) ที่พบในเมล็ดฟักทองช่วยบรรเทาความวิตกกังวล สมองใช้​ทริปโตเฟนเพื่อทำให้คุณรู้สึกมีความสุขและสบายใจ หากร่างกายมีทริปโตเฟนน้อยเกินไปก็สามารถนำไปสู่​​ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติท​​างอารมณ์อื่นๆ เมื่อคุณรู้สึกว่ามีเครียดมากหลังจากวันทำงานที่ยาวนาน รับประทานเมล็ดฟักทองคั่วจะช่วยให้คุณสงบลงได้

4. บรรเทาอาการโรคข้ออักเสบ
เมล็ดฟักทองและน้ำมันในเมล็ดมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดและการอักเสบในข้อต่อ จึงเป็นประโยชน์มากในการรักษาโรคข้ออักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเข่าเสื่อมและโรคไขข้ออักเสบ ในปี 1995 วารสารเภสัชวิทยาวิจัยเกี่ยวกับน้ำมันเมล็ดฟักทองพบว่า สามารถรักษาโรคข้ออักเสบได้และยังไม่มีผลข้างเคียงอีกด้วย เพื่อลดการอักเสบของโรคข้ออักเสบ ควรการนวดบริเวณที่ได้รับผลกระทบด้วยน้ำมันเมล็ดฟักทองวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 10 นาที

5. ดีต่อกระเพาะปัสสาวะและต่อมลูกหมาก
เมล็ดฟักทองสามารถป้องกันภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวกว่าปกติ (Overactive Bladder) และช่วยรักษาอาการต่อมลูกหมากโต โดยสารไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) ที่พบในเมล็ดฟักทองช่วยลดขนาดต่อมลูกหมากโตได้ นอกจากนี้สังกะสียังช่วยลดการปัสสาวะบ่อยในช่วงเวลากลางคืน

6. ปกป้องกระดูก
เมล็ดฟักทองเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาของกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน แร่ธาตุเหล่านี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของกระดูกหัก การรับประทานเมล็ดฟักทอง 1/4 ถ้วยทุกวัน สามารถลดอาการโรคกระดูกพรุนได้

7. ปรับปรุงสุขภาพหัวใจ
เมล็ดฟักทองมีแมกนีเซียมที่จะช่วยในการทำงานของหัวใจและช่วยควบคุมความดันโลหิตสูง ทั้งมีบทบาทสำคัญในจังหวะการเต้นของหัวใจซึ่สามารถป้องกันการเกิดหัวใจหยุดเต้นฉับพลันได้ และทองแดงในเมล็ดฟักทองยังช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดแดงและเพิ่มการไหลเวียนของออกซิเจนในเลือด

8. ป้องกันสู้พยาธิในลำไส้
เมล็ดฟักทองมีคุณสมบัติที่ช่วยในการกำจัดพยาธิตัวตืด พยาธิเข็มหมุดและปรสิตอันตรายอื่น ๆ ในลำไส้ ข้อมูลจากหนังสือ The Doctors Book of Home Remedies.

9. การนอนหลับ
เมล็ดฟักทองมีทริปโตเฟนอยุ่เป็นจำนวนมากซึ่งร่างกายใช้แปลงเป็นเซโรโทนิน (serotonin) และเมลาโทนิน (Melatonin) เพื่อช่วยในการนอนหลับพักผ่อนยามค่ำ​​คืน ผสมผงเมล็ดฟักทอง 1 ช้อนโต๊ะในแก้วนมอุ่นๆทานก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง

10. ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
เมล็ดฟักทองอุดมไปด้วยสังกะสีที่ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของคุณ หากขาดธาตุสังกะสีมากๆจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ เป็นหวัดง่าย เกิดสิวและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้เมล็ดฟักทองยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิดที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย อย่างเช่นซีลีเนียมจะช่วยร่างกายสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง

Posted on Leave a comment

10 วิธีเผาผลาญแคลอรี่ อย่างง่ายๆ

เผาเผาลาญ

เผาผลาญ แคลอรี่
10วิธีการเผาผลาญแคลอรี่อย่างง่าย

วันนี้เรามีวิธีการเผาผลาญแคลอรี่อย่างง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้มานำเสนอ

10. นอนหลับ

การนอนหลับสนิท ความลับที่เพิ่งจะค้นพบก็คือ กล้ามเนื้อเรียบในร่างกายเรา จะทำงานเผาผลาญแคลอรี่ ได้ดีที่สุดในชั่วโมงหลังๆ ที่เราหลับสนิทเต็มที่ ร่างกายจะหลั่งฮอร์หนุ่มสาว โกรธฮอร์โมน อีกด้วย ควรพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 8ชั่วโมง และยิ่งนอนดึกยิ่งอ้วนอีกด้วย

9. อย่าเครียด

ความเครียดจะทำให้เราอ้วนขึ้น เพราะฮอร์โมนคอร์ติโซนจะไปทำให้อัตราดูซึมของเมตาบอลิซึ่มช้าลง

8.ดื่มน้ำเยอะ

การดื่มน้ำในปริมาณมากพอต่อวัน จะช่วยขับสารพิษ หลังจากที่ร่างกายเผลาผลาญพลังงานแล้ว น้ำเย็นๆ ยังช่วยกระตุ้นให้เมตาบอลิซึ่มทำงานดีขึ้นนิดหนึ่งด้วย วิธีดื่มน้ำที่ถูกต้อง ดื่มบ่อยๆทุกครึ่งชั่วโมง หรือทุกชั่วโมง ต่อน้ำหนักตัว25kg. ต่อน้ำ1 ลิตร ต่อวัน เช่น น้ำหนัก 50 ต้องดื่มน้ำไม่ต่ำกว่า 2ลิตร ต่อวัน

7.ดื่มชาเขียว

เครื่องดื่มชาเขียว เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเร่งเมตาบอลิซึ่มได้ดีและปลอดภัยกว่ากาแฟ แถมมีประโยชน์อีกด้วย

6.กินอาหารเผ็ดร้อน

การรับประทานอาหารประเภทเผ็ดร้อน รสจัด จะช่วยเร่งการเผาพลาญร่างกายของคุณจากภายในให้รวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก

5.กินอาหารเช้า

เป็นความจริงที่ว่า คนที่กินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ หุ่นดีกว่า คนที่อดข้าวเช้า และอาหารเช้ายังทำให้ระดับ เมตาบอลิซึ่ม ของคุณวันนั้นพุ่งเป็น 2 เท่าด้วย

4.งดน้ำตาล

เหตุผลง่ายๆ ก็คือ น้ำตาลที่เหลือใช้แล้ว ร่างกายจะแปรสภาพเป็นไขมัน เพราะฉะนั้น ลดน้ำตาล ก็จะช่วยลดไขมันไปในตัว ต่อหนึ่งวัน ไม่ควรได้รับน้ำตาล เกิน4ช้อนชา

3.กินบ่อยๆ

ยิ่งร่างกายคุณขาดสารอาหาร กล้ามเนื้อก็จะล้า การเผาผลาญก็จะน้อยลง ทางที่ดีกินเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 3-4 มื้อ ยังดีกว่าอดอาหารไปเลย ยิ่งอดคาร์โบรไฮเดรต มวลกล้ามเนื้อยิ่งหาย  มีผลกับระบบการเผาผลาญในร่างกาย เพิ่มมวลกล้ามเนื้อโดยการเพิ่มสารอาหารกลุ่มโปรตีน หรือ ออกกำลังกาย

2.ขยับตัว

อยากจะเผาผลาญแคลอรี่ให้เร็วที่สุด ก็ต้องออกกำลังกายอย่างน้อย ออกเดิน 30 นาที หรือ 1 ชม. วิ่งเหยาะๆ หรือเต้นแอโรบิกอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ไม่ว่าจะออกกำลังกายแบบไหนก็ช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มทั้งนั้นล่ะ ให้หัวใจได้เต้นแรงเต็มที่ 120 ครั้งต่อนาที ให้ต่อเนื่องนานสัก 30-45 นาที

1.เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

“ยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อเรียบมาก ร่างกายคุณก็จะเผาผลาญพลังงานมาก” การยกดัมเบลล์อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่ม เหมือนกัน และช่วงที่ระดับเมตาบอลิซึ่มคุณจะพุ่งสุดขีดนั่นเอง ไม่ใช่ตอนที่คุณวิ่งหอบแฮกๆ บนสายพานหรอกนะแต่หลังจากนั้นอีกสัก 2- 3 ชม.

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์

❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง