ป้ายกำกับ: denimplus
ไขความลับ! 5อ.ชะลอวัย
วัยทำงานมักต้องเจอปัญหาความเครียด อาการไม่สดชื่น หงุดหงิดง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย นอนไม่ค่อยหลับ อ้วนง่าย เหล่านี้เป็นปัญหาที่พบเห็นได้บ่อยๆ ของชาวออฟฟิศและคนเมืองเลยทีเดียว
อยู่แบบ 5 อ.ช่วยชะลอวัยได้
เมื่อไปพบแพทย์ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นโรคอะไร แต่สำหรับทางการแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยหรือ Anti – Aging Medicine
เรียกอาการเหล่านี้ว่าร่างกายเริ่มเกิดความเสื่อม เมื่อร่างกายเริ่มเสื่อมอวัยวะต่างๆ ก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ อาการหรือโรคที่เกิดจากความเสื่อมก็จะตามมา เช่น โรคมะเร็งต่างๆ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคต้อกระจก โรคระบบประสาทเสื่อม โรคกระดูกพรุน เป็นต้น
แล้วเราจะสามารถชะลอความเสื่อมของร่างกายได้หรือไม่ และมีวิธีไหนบ้าง พญ.กฤดากร เกษรคำ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านชะลอวัย จาก AddLife Anti-Aging Center ไลฟ์เซ็นเตอร์ คิวเฮ้าส์ ลุมพินี กล่าวว่า ภาวะเสื่อมของร่างกายเกิดขึ้นได้เมื่อเราอายุมากขึ้น โดยเฉลี่ยจะเริ่มเกิดความเสื่อมของร่างกายเมื่ออายุ 30 ปี แต่ในปัจจุบันสภาพแวดล้อม อาหาร อากาศ และมลภาวะที่เป็นพิษทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมเร็วขึ้น
การแพทย์เฉพาะทางด้านชะลอวัย จึงเข้ามาช่วยรักษาหรือแก้ไข โดยจะมุ่งเน้นที่การป้องกันโรค การฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงการรักษาสุขภาพก่อนที่จะเกิดโรค ทั้งการใช้สารอาหาร แร่ธาตุ ฮอร์โมนต่างๆ มาช่วยทำให้ร่างกายชะลอความเสื่อมให้ช้าลง สำหรับผู้ที่อยากชะลอความเสื่อมของร่างกาย เพื่อช่วยชะลอวัยให้ดูเด็กลง สามารถทำได้ง่ายๆ คือ ให้อยู่แบบ 5 อ.
อากาศ : อยู่ในที่ๆ มีอากาศบริสุทธิ์ หลีกเลี่ยงมลภาวะเป็นพิษต่างๆ ทั้งรังสี UVA และ UVB ในแสงแดด ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ที่ช่วยเร่งความเสื่อมของร่างกาย หาเวลาไปพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์นอกเมืองแล้วคุณจะรู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่งขึ้น
อาหาร : ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เปลี่ยนกลุ่มอาหารให้หลากหลาย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแป้ง และไขมันสูง อาหารที่มีสารปนเปื้อน ถ้าเป็นไปได้ควรทำอาหารทานเองบ้าง
ออกกำลังกาย : การออกกำลังช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีและแลดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย แต่คนเรามักจะบอกว่าไม่มีเวลา ควรจัดสรรเวลาให้ออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 150 นาที และการออกกำลังที่ดีควรมีการผสมผสานให้หลากหลาย เช่น แอโรบิค วิ่ง ว่ายน้ำ จ๊อกกิ่ง ช่วยกระตุ้นเลือดลม ทำให้หัวใจแข็งแรง โยคะ ช่วยให้ข้อต่อมีการยืดหยุ่นที่ดี การยกเวท จะช่วยเรื่องมวลกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ป้องกันกระดูกบาง เป็นต้น
อารมณ์ : หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส เป็นคำที่ใช้ได้กับทุกๆ สมัย คนเราสมัยนี้มักมีความเครียด การคิดบวก ปรับวิธีคิดหามุมบวก นั่งสมาธิ จะช่วยคลื่นในสมองได้หลับสนิท ลองหาเวลานั่งสมาธิวันละ 5นาที
แอนไท-เอจจิ้ง : การแพทย์แนวรุกมุ่งเน้นการฟื้นฟูรักษาภาวะเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เพราะแม้ว่าเราจะทำครบ 4 อ. ข้างต้น แต่เมื่อร่างกายเสื่อมถึงจุดหนึ่ง มีอาการ “แก่” เกิดขึ้นแล้ว เราจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้การรักษาและชะลอไม่ให้สุขภาพเสื่อมถอย แต่ฟื้นฟูให้แข็งแรงขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข
วิธีง่ายๆ ที่คุณก็สามารถดูแลสุขภาพตนเองให้ดูอ่อนวัยห่างไกลโรคได้ เริ่มปฏิบัติวันนี้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวน่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก healthy
สุดยี้…5 นิสัย หัวไม่ไบรท์ ทำสมองพัง
สุดยี้…5 นิสัย หัวไม่ไบรท์ ทำสมองพัง
เคยสงสัยกันไหม ว่าในบางเวลาเราพยายามจะคิดอะไรสักอย่าง แต่ทำยังไงหัวก็ไม่แล่น คิดไม่ออก บางคนก็นอยด์ เกิดอาการเครียดกันไป ต่าง ๆ นานา จริง ๆ แล้วมันมีสาเหตุ ที่ทำให้เราหัวไม่แล่น สมองไม่ทำงาน จะมีอะไรกันบ้าง เราจะมาเผย 5 นิสัย ให้ทุกคนได้รู้กัน… สมองของคนเราเป็นส่วนที่สำคัญมาก เรียกได้ว่าเป็นจุดรวมเส้นประสาทของร่างกาย ถ้าสมองไม่ทำงานทุกอย่างก็จบ เพราะสมองต้องเข้าไปควบคุมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้น แอดมินอยากขอเตือนให้ทุกท่านรับมือกับ 5 นิสัย ที่จะทำลายสมองของเราได้ จะมีอะไรกันบ้างไปชมกัน…
5 นิสัย ทำสมองพัง…!!
1. ไม่ทานอาหารเช้า – หัวไม่แล่น พาสมองฝ่อ การไม่ทานอาหารเช้านั้น จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองเพียงพอ อาจจะมีผลตามมาหลายอย่าง รวมไปถึงเกี่ยวกับด้านสมองของคนเราอีกด้วย อาจจะทำให้สมองของเราเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์ได้ง่าย ๆ หลาย ๆ คน อาจจะคิดว่าการที่ เราไม่ทานอาหารเช้านั้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร มากมาย “ก็ฉันไม่มีเวลา ! ฉันกินไม่ทัน ต้องรีบไปทำงาน” จริง ๆ สิ่งเหล่านี้ มักเป็นข้ออ้างของคนเรา การรับประทานอาหารเช้าไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากขนาดนั้น แค่ 10 นาที ก็เพียงพอแล้ว หรือใครจะพกแซนด์วิช ขนม นม เนย ไปกินระหว่างเดินทางก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย การไม่ทานอาหารเช้านั้น นอกจากจะทำให้สมองพังแล้ว ทำให้เรียนเรียนรู้เรื่องใหม่ได้ช้า ไม่มีสมาธิ นอกจากนี้ ยังมีผลตามมาอีกหลาย ๆ อย่างด้วยกัน เช่น เสี่ยงเป็นโรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด เห็นไหมว่าอาหารเช้าสำคัญขนาดไหน ถ้าคุณไม่อยากสมองพัง หัวไม่แล่น คิดอะไรไม่ออก ทุกคนควรเริ่มต้นในวันใหม่ของคุณได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นจริง ๆ
2. ขาดการใช้ความคิด – ไม่ครีเอต คิดไม่เป็น สมองไม่ทำงาน คนสมัยนี้มักขาดการใช้ความคิด อาจจะเป็นเพราะข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันนั้นมีเยอะมากมายอยู่แล้ว แค่กดเสิร์ชอินเทอร์เน็ตก็เจอ จะคิดทำไมให้ปวดหัว ! นอกจากนี้ ในการเรียนการสอนก็มักจะเน้นในเรื่องการให้ความรู้ให้ข้อมูล แต่ไม่ได้ฝึกทักษะการใช้ความคิด การสร้างสรรค์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ รวมไปถึงการเป็นคนไม่ค่อยพูด ทำให้ไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้ากับอะไร ทักษะการพูดนี่แหละที่จะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมองของเราได้
3. มลพิษ – อากาศเป็นพิษ ออกซิเจนลด เลี้ยงสมองไม่พอ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เพราะสมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลพิษเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองลดปริมาณลง เมื่อออกซิเจนลดลงทำให้ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองของเราคิดอะไรไม่ค่อยได้
4. สูบบุหรี่ – ขี้หลงขี้ลืม ภาวะสมองเสื่อม คร่าชีวิต การสุบบุหรี่ ไม่ได้มีผลดีอะไรเลย โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพร่างกาย ทำให้เป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองฝ่อ และโรคอัลไซเมอร์ ก็ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทำไมหลาย ๆ คนยังสูบได้สูบดี สูบคนเดียวไม่พอ ยังเผื่อแผ่มาถึงคนข้าง ๆ พวกเขาจะรู้ไหม ว่าการสูบบุหรี่ทำให้เป็นโรคสมองเสื่อมได้ง่าย ๆ และเมื่อเวลาล่วงเลยไปเข้าสู่วัยของผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ที่จะเกิดขึ้นมาได้อย่างร้ายแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้กลาย เป็นคนที่ขี้หลงขี้ลืมได้ เพราะควันที่มาจากการสูบบุหรี่นั้น จะทำลายสมองของเราได้อย่างง่ายดาย แถมยังก่อให้เกิดมะเร็งขึ้นมาได้ ซึ่งเป็น
อันตรายต่อร่างกายของเราที่สามารถเข้ามาทำร้ายสมองให้มีการทำงานที่ช้ามากกว่าเดิม การสูบบุหรี่ เกินกว่าวันละ 20 ม้วน ถือว่าเป็นการสุบบุหรี่จัด จะมีส่วนที่ ทำให้ความจำและเรื่องของสายตาเสื่อมลงไปได้ทีละน้อย
5. อดหลับอดนอน – ร่างกายพัง ทำเซลล์สมองตาย ข้อนี้หลาย ๆ คนคงเป็นกันเยอะ ทำบ่อยจนเป็นนิสัย สาเหตุที่อดหลับอดนอน คงหนีไม่พ้นการทำกิจกรรมต่าง ๆ เล่นเกมอยู่ในโลกโซเชียลฯ ดูซีรีย์ รวมไปถึงทำงานหนักหามรุ่ง หามค่ำ ของคนบ้างาน การนอนหลับสำคัญมาก จะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตาย นอกจากนี้แล้ว ไม่ควรนอนคลุมโปง การนอนคลุมโปงจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองเช่นกัน
ทั้งนี้ 5 นิสัย ที่ได้กล่าวมาในข้างต้นนั้น หลาย ๆ คน คงรู้แล้วว่าสมองของคนเราสำคัญมากแค่ไหน ถ้าชีวิตของเราขาดสมองไปจะเป็นอย่างไร สมองก็เหมือนอวัยวะอื่นที่สำคัญของร่างกาย ดังนั้น เราจึงต้องมีรู้จักบำรุงสมองของเราอยู่เสมอ.
#ไทยรัฐออนไลน์
10 ประโยชน์ของการดื่มน้ำอุ่น
ต่อไปนี้คือประโยชน์ 10 ประการที่ร่างกายจะได้รับจากการดื่มน้ำอุ่น
1. ช่วยย่อยอาหาร
เพื่อปรับปรุงการย่อยให้ดีขึ้น ลองดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำ น้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมย่อมอาหารทำงานได้อย่างถูกต้อง ช่วยจัดการกับอาหารในกระเพาะ ดังนั้นระบบย่อยก็จะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ทั้งยังใช้พลังงานในกระบวนการย่อยน้อยลงด้วย
นอกจากนี้การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยกำจัดกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาความเป็นกลางของน้ำย่อยไว้นั่นเอง
จากการศึกษาในปี 2012 ที่ตีพิมพ์ในวารสารระบบประสาททางเดินอาหารและการเคลื่อนไหว ได้รายงานว่าการดื่มน้ำอุ่นสามารถบรรเทาอาการให้กับผู้ที่มีภาวะหลอดอาหารเคลื่อนไหวผิดปกติได้ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการกลืนยาก สำลักอาหารและเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อกระตุก ผู้ที่มีความทุกข์ทรมานจากระบบย่อยอ่อนแอก็ควรดื่มน้ำอุ่นเป็นแก้วแรกเมื่อตื่นนอนด้วย
2. บรรเทาอาการท้องผูก
การดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำในขณะที่ท้องว่างยังช่วยควบคุมการเคลื่อนตัวของลำไส้ และช่วยต่อสู้กับอาการท้องผูกได้
อาการท้องผูกเกิดขึ้นเนื่องจากมีน้ำในลำไส้น้อยเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้อุจจาระแข็งและแห้ง จึงถ่ายออกมาได้ยาก การดื่มน้ำอุ่นจึงช่วยบรรเทาอาการท้องผูกอย่างได้ผล
การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยย่อยสลายอาหารที่เหลืออยู่ให้หมดไป ทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยลดอาการท้องอืด อาการปวดท้องอันเนื่องมากจากอาการท้องผูกได้
เพื่อต่อสู้กับอาการท้องผูก ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน 1 แก้วทุกเช้าในเวลาท้องว่าง ลองหยดน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวลงไปในน้ำอุ่น ยิ่งช่วยเพิ่มประโยชน์ต่อลำไส้ได้มากขึ้นไปอีก
3. บรรเทาอาการเจ็บคอ
. บรรเทาอาการเจ็บคออาการเจ็บคอ เป็นอาการที่พบได้บ่อยเวลาลำคอเกิดการระคายเคืองหรือติดเชื้อ อันเกิดจากโรคหวัด หรือไข้หวัดใหญ่ การดื่มน้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและช่วยให้รู้สึกสบายคอมากขึ้น อีกทั้งน้ำอุ่นยังช่วยละลายเสมหะที่ข้นเหนียว และขจัดออกมาจากทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น
นอกเหนือจากการดื่มน้ำอุ่นเปล่าๆ คุณยังเปลี่ยนไปดื่มชาสมุนไพรแทนได้ อีกทั้งยังควรกลั้วปากด้วยน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว ผสมเกลือครึ่งช้อนชา เพื่อช่วยให้อาการเจ็บคอดีขึ้นและลดการติดเชื้อในลำคอได้ด้วย
4. ช่วยรักษาอาการคัดจมูก
การดื่มน้ำอุ่นเป็นอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรักษาอาการคัดจมูก น้ำอุ่นช่วยทำความสะอาดโพรงจมูกทำให้รู้สึกโล่งขึ้น หายใจได้สะดวกไม่อึดอัด
เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่นๆ เข้าไป มันจะช่วยให้เสมะหรือน้ำมูกที่ข้นเหนียวอยู่ละลายแล้วขับออกทั้งจากในโพรงจมูกและทางเดินหายใจ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ นอกจากนี้ยังช่วยล้างพิษออกจากร่างกาย ทำให้หายป่วยได้เร็วขึ้นไปด้วย
5. ช่วยขจัดน้ำหนักส่วนเกิน
ผู้ที่กำลังควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดและออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ควรดื่มน้ำอุ่นมากกว่าน้ำเย็น การลดน้ำหนักจึงจะได้ผลดีกว่า
น้ำอุ่นช่วยเพิ่มอุณหภูมิบริเวณกลางลำตัวให้สูงขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหาร ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นไปอีก
การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยลดไขมันในร่างกายลงได้ และเพื่อเพิ่มประโยชน์มากขึ้น ให้ลองดื่มน้ำอุ่นกับน้ำมะนาวสักเล็กน้อยทุกวันในตอนเช้า มันจะช่วยลดเนื้อเยื่อไขมันหรือไขมันในร่างกาย นอกจากนี้เส้นใยเพคตินในมะนาวยังช่วยควบคุมความอยากอาหาร ทำให้คุณกินอาหารมันๆ หรือไม่ดีต่อสุขภาพได้น้อยลงไปด้วย
6. ช่วยล้างพิษในร่างกาย
การดื่มน้ำอุ่นสามารถชำระชะล้างสารพิษในร่างกายออกไปได้ เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น 2-3 ถ้วย มันจะช่วยให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น ช่วยให้เหงื่อออกจึงรู้สึกเย็นลง ซึ่งเหงื่อที่ไหลออกมานี่ช่วยชะล้างสารพิษออกมาจากร่างกายนั่นเอง
การดื่มน้ำอุ่นทุกวันยังช่วยล้างพิษออกจากผิวพรรณได้ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคผิวหนังชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สิวผื่น สิวเสี้ยน การดื่มน้ำโดยทั่วไปแล้วยังเหมาะสำหรับการล้างพิษและชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปจากร่างกาย ลองบีบน้ำมะนาวลงไปผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อยก่อนดื่ม จะช่วยให้ได้ผลดีขึ้นไปอีก
7. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน
แม้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลก แต่การดื่มน้ำอุ่นช่วยป้องกันและลดอาการปวดประจำเดือนได้ เพราะน้ำอุ่นช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูกที่กำลังหดตัว บรรเทาอาการเกร็งและกระตุกตัวของมดลูกได้ดี
นอกจากนี้ยังหยุดการเก็บกักน้ำ ป้องกันอาการเจ็บปวดในช่วงกำลังมีรอบเดือน ในครั้งต่อไปที่คุณเริ่มมีอาการปวดประจำเดือน ดื่มน้ำอุ่นสักแก้วช่วยบรรเทาอาการแล้วนำเอากระเป๋าน้ำร้อนวางประคบบริเวณท้องน้อย ก็จะยิ่งช่วยให้อาการปวดดีขึ้นด้วย
8. ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต
การดื่มน้ำอุ่นช่วยปรับการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น ซึ่งสำคัญเพราะช่วยให้เลือดนำส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไหลผ่านไปสู่เนื้อเยื่อและอวัยวะทั่วร่างกาย การไหลเวียนโลหิตที่เหมาะสมสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายจะเผาผลาญ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตในร่างกายและยังล้างพิษที่เป็นอันตรายออกไปได้ โปรดหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นมากเกินไป เพราะอาจทำให้หลอดเลือดดำอุดตันได้
9. ช่วยให้แก่ช้าลง
การดื่มน้ำอุ่นดีต่อผิวพรรณอีกด้วยนะ เพราะมันช่วยกำจัดสารพิษต่างๆ ออกไปจากร่างกาย ซึ่งสารพิษเหล่านี้เป็นต้นเหตุของริ้วรอยก่อนวัยและปัญหาสุขภาพต่างๆ
การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว ทั้งยังช่วยฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณของคุณ ลองดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมน้ำมะนาวลงไปสักครึ่งลูก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการล้างพิษได้
10. ช่วยกระตุ้นการนอนหลับ
หากคุณมีปัญหาการนอนหลับ ลองจิบน้ำอุ่นสักแก้วก่อนนอน จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น น้ำอุ่นๆ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ทำให้รู้สึกสบายขึ้น ช่วยระงับประสาท ทำให้ง่วงและสงบลงได้
นอกจากนี้ยังช่วยลดความอยากอาหารกลางดึกและทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อตื่นตอนเช้า
ข้อแนะนำในการดื่มน้ำอุ่น
ควรดื่มน้ำอุ่นเสมอ ไม่ควรร้อนจนเกินไป เพราะการดื่มน้ำร้อนอาจเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อในปากและหลอดอาหารได้
หลังจากน้ำเดือดแล้ว ปล่อยให้เย็นลงสักครู่จึงค่อยดื่ม
ดื่มน้ำอุ่นเสมอหลังจากทานอาหาร หากคุณดื่มน้ำเย็น ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ ทำให้ประสิทธิภาพการย่อยอาหารลดลง
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอุ่นหลังการออกกำลังกาย เพราะในขณะนั้นร่างกายมีอุณหภูมิสูงมากอยู่แล้ว
10 เทคนิค กินยังไงไม่ให้อ้วน
4สี 4ระยะ กล้วยน้ำว้าประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างไร?
4สี 4ระยะ กล้วยน้ำว้าประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างไร วันนี้เรามีข้อมูลมาบอกกันค่ะ
กล้วยน้ำว้า เชื่อว่าเป็นผลไม้ที่หลายๆบ้านต้องมีติดครัวไว้เสมอ เอาไว้รับประทานรองท้องหรือรับประทานเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก กล้วยน้ำว้ามีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 10 ชนิด เช่น โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินบี12 วิตามินซี ธาตุเหล็ก ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เป็นต้น อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่สนับสนุนว่ากล้วยมีน้ำตาลจากธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส กลูโคส และ ฟรุคโทส ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกาย จึงทำให้การรับประทานกล้วยเพียงวันละ 2 ลูก สามารถเพิ่มพลังงานในร่างกายเท่ากับการออกกำลังกาย 90 นาทีกันเลยทีเดียว
นอกจากประโยชน์โดยรวมของกล้วยแล้ว กล้วยยังมีประโยชน์และสรรพคุณที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสีอีกด้วยนะคะ
สีเขียวเข้ม (กล้วยดิบ)
เป็นกล้วยที่มีเปลือกสีเขียวค่อยข้างเข้มหรือกล้วยดิบนั้นเอง มีสรรพคุณช่วยแก้โรคกระเพาะ เพราะในกล้วยดิบมีสารที่ให้ความฝาด เรียกว่า แทนนิน (Tannin) เป็นกรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ในการเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ แต่กล้วยดิบนั้นไม่สามารถนำมารับประทานได้ทันที ต้องนำผลดิบไปบดเป็นผง แล้วนำมารับประทาน ครั้งละ 1 ช้อนชา 3 ครั้งก่อนอาหาร ซึ่งสามารถเพิ่มความอร่อยด้วยการผสมกับน้ำผึ้งก็ได้ค่ะ
สีเขียวอ่อน (กล้วยห่าม)
อาจเรียกได้ว่าเป็นกล้วยกึ่งสุกกึ่งดิบ เปลือกมีสีเขียวอมเหลือง สามารถนำมารับประทานได้ทันที ซึ่งกล้วยห่ามจะมีโพแทสเซียมสูง ที่มีสรรพคุณช่วยชดเชยโพแทสเซียมให้แก่ร่างกายและแก้โรคท้องเสียได้เป็นอย่างดี แล้วยังช่วยเพิ่มกากใยที่ช่วยในการขับถ่าย และเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วยเช่นกัน
สีเหลืองนวล (กล้วยสุก)
เป็นกล้วยที่มีสีเหลืองสดพร้อมรับประทาน มีสารเพ็กติน (Pectin) ที่เป็นเส้นใย ช่วยเพิ่มกากอาหารหรือพรีไบโอติก (Prebiotic) ตามธรรมชาติ ทำให้สามารถขับถ่ายได้ดี ถือว่าเป็นยาระบายอ่อนๆอย่างดีกับคนที่มีอาการท้องผูก ซึ่งในคนที่มีอาการท้องผูกมากๆควรรับประทานวันละ 5 – 6 ลูก นะคะ เพื่อให้ได้ผลดีกับระบบขับถ่ายค่ะ
สีเหลืองเข้ม (กล้วยงอม)
เป็นกล้วยสีเหลืองเข้มคล้ำๆ เนื้อกล้วยจะค่อยข้างเละ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรับประทาน แต่ในทางกลับกันกล้วยงอมกลับมีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ทำให้มีปริมาณเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีสาร Tumor Necrosis Factor (TNF) ที่ช่วยป้องกันจากเซลล์ที่ผิดปกติ โดยเฉพาะกล้วยที่มีจุดดำมากเท่าไหร่ยิ่งดี คุณสามารถเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโรคหวัดได้ด้วยการรับประทานกล้วยน้ำว้าวันละ 1-2 ลูก เพื่อสุขภาพที่ดีได้ค่ะ
เมื่อรู้ถึงประโยชน์ของกล้วยที่มีมากมายขนาดนี้แล้ว ลองเลือกรับประทานกล้วยให้ตรงกับความต้องการของร่างกายคุณดูนะคะ ตามด้วยมื้ออาหารเมนูอร่อยของคุณกับข้าวสวยไรซ์เบอร์รี่ร้อนๆสักจาน รับรองหมดกังวลเรื่องระบบขับถ่าย หุ่นสวย สุขภาพดีได้แน่นอนค่ะ
❝ ตำป่า ❞ ประโยชน์มากมาย จากวัตถุดิบ ไทยๆ
ตำป่า คือส้มตำที่ใส่สารพัดที่คิดว่าใส่ลงไปแล้วเข้ากัน เหมือนส้มตำปูปลาร้าทุกอย่าง แต่แค่เพิ่มหอย ขนมจีน เมล็ดกระถิน หรือผักที่ชอบ ใส่ผักได้หลายชนิด ตำป่าดังมาจากจังหวัดมหาสารคาม เรียกติดปากว่า “ตำป่าสารคาม” นั่นเองค่ะ
ส่วนผสม
* กระเทียม 5-4 กลีบ
* พริกแดง ตามชอบ
* พริกแห้ง ตามชอบ
* มะอึก 1 ลูก
* มะกอก 1 ลูก
* บักเขือเครือ 2 ลูก
* มะเขือเทศ 2 ลูก
* น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
* ปูนานึ่ง 3 ตัว
* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำปลาร้า 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
* มะละกอสับ 150 กรัม
* หอยขมลวก
* เมล็ดกระถิน
* ขนมจีน 50 กรัม
วิธีทำ
1. ตำกระเทียม พริกแดง และพริกแห้งให้แหลก จากนั้นก็ใส่ มะอึก มะเขือเครือ และมะเขือเทศ ตำจนน้ำในมะเขือออกมา
2. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำปลาร้า และน้ำตาลปี๊บ แกะปูนาลงไป คลุกให้เข้ากัน
3. ใส่เส้นมะละกอสับลงไป ตำจนเครื่องปรุงซึมเข้ามะละกอ จากนั้นก็ใส่หอยขม เมล็ดกระถิ่น และขนมจีน คลุกเคล้าให้เข้ากัน เสร็จแล้วก็ใส่จานเสิร์ฟได้เลยค่ะ
กินอะไรก็อร่อย ไม่กลัวอ้วนหรอก
สุขภาพดีเพราะ “เชอรี่ไทย”
สุขภาพดีเพราะ “เชอรี่ไทย”
โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช
ประโยชน์มากกว่าส้ม 50 ลูก! ผลไม้ไทยมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร หนึ่งในความพิเศษนั้นคือรสชาติที่ให้ความเป็นไทยๆและความเป็นตะวันออกอย่างชัดเจน ผลไม้ต่างชาติอาจให้กลิ่นรสที่แปลกน่าสนใจซึ่งหลายท่านบอกว่าเหมาะกับการเอามาปรุงอาหารฝรั่ง อย่างเมนูเบเกอรี่ต่างๆ
แต่ผลไม้ไทยนั้นมีความพิเศษอยู่ตรงที่จะเอามาทำของหวานแบบไทยๆ ก็แสนจะเข้ากัน หรือถ้าเลือกให้ดีเอามาทำขนมฝรั่งก็ยังได้ แถมอร่อยดีมากเสียด้วย
เพราะรสชาติผลไม้ไทยมีความหวานและเปรี้ยวแบบกลมกล่มอยู่ในตัว ซึ่งรสเช่นนี้ มีมากในผลไม้ที่ชาวบ้านฝรั่งทั่วไปเรียก “เบอรี่” ซึ่งก็จะมีชื่อที่ท่านที่รักนึกออกแน่ๆอย่าง สตรอเบอรี่,ราสพ์เบอรี่,บลูเบอรี่,โกจิเบอรี่,แครนเบอรี่รวมถึง “ผลกาแฟ” ที่ สีสดสวยก็ถือเป็นเบอรี่ด้วยนะครับ ฝรั่งจึงเรียกผลไม้ไทยหลายอย่างที่มีรสดังว่า เบอรี่ไปด้วย อย่างมะยม(Star gooseberry),ลูกหม่อน(Mulberry),ลูกหว้า,มะเม่า,ตะขบ ฯลฯ
มีลูกไม้ไทยอีกอย่างหนึ่งซึ่งสมัยก่อนรู้จักกันมากจนมาถึงสมัยนี้ก็มีการศึกษาว่ามีคุณสมบัติไม่แพ้เบอรี่ที่ว่าราคาแพงๆ เลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญคือปลูกได้
ในบ้านของเราเอง มีรสชาติดีมากครับ
มีชื่อน่ารักว่า “เชอรี่ไทย” ได้รู้จักแล้วจะรัก
พอพูดชื่อนี้หลายท่านคงหลับตาเห็น แต่ก็อีกหลายท่านเช่นกันที่ยังนึกไม่ออก เพราะในปัจจุบันมันถูกเอามาเพิ่มมูลค่าด้วยการเรียกชื่อฝรั่งเช่นเดียวกับผลไม้ไทยอีกหลายอย่างที่ต้องตั้งชื่อเป็นฝรั่งแล้วขายแพง
เชอรี่ไทยมีอีกชื่อว่าบาแบโดสเชอรี่หรือ “อะเซโรล่า เชอรี่(Acerola cherry)”
ถึงตรงนี้ท่านที่นิยมอาหารเสริมบางยี่ห้อคงนึกออกทันที เพราะเชอรี่ไทยถูกฝรั่ง
เอาไปสกัดเป็น “วิตามินซีเสริม” ที่มีทั้งแบบผสมน้ำและแบบเม็ดรับประทานง่าย
จริงแล้วจะว่าเป็นของไทยเสียทีเดียวก็ไม่เต็มปากนัก เพราะเชอรี่ไทยมีต้นกำเนิดอยู่แถบทวีปอเมริกาใต้โน้นแต่ถูกนำข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาปลูกในทวีปเอเชีย ของเรามานานแล้วครับเลยถูกเรียกว่าเชอรี่ไทย ในแถบประเทศเพื่อนบ้านเรา อย่างเวียตนามก็มีและเอามาขายเพื่อรับประทานกันอย่างผลไม้ทั่วไปด้วย ความเปรี้ยวจี๊ดจนเข็ดฟันทำให้มันถูกเอามาแปรรูปเพื่อให้กินง่ายขึ้น ซึ่งเมนู ที่เหมาะกับความเปรี้ยวทะลุเหงือกเช่นนี้หนีไม่พ้น ของหวานจำพวกไอศกรีมเชอร์เบท(รสเปรี้ยวใช้รับประทานล้างปากระหว่างมื้ออาหารฝรั่งเศส),พาย,เค้ก,พุดดิ้งหรือน้ำปั่นที่ใช้ดื่มชื่นใจได้
นอกจากนั้นยังใช้หมักทำไวน์รสดีได้อีกด้วย ผลเชอรี่ไทยมีขนาดพอๆ กับลูกเชอรี่ สีแดงสวยของฝรั่งจริงๆ แต่สีของมันต่างกันออกไปตามความสุก โดยในช่วงยังอ่อนจะเป็นสีเหลืองต่อมาค่อยมีเหลือบแดงแล้วกลายเป็นสุกแดงทั่วกันทั้งลูก ต้นของมันค่อนข้างเตี้ยครับ อยู่ในเกณฑ์ที่เอื้อมเด็ดได้ ซึ่งเมื่อเชอรี่ไทยสุกพร้อมๆ กันจะสวยน่ารักน่าชมมาก
หลายบ้านจึงปลูกไว้เป็นไม้ประดับ ญี่ปุ่นถึงกับจับมาทำบอนไซ
เป็นไม้ประดับกินได้แสนคุ้มค่า เพราะประโยชน์ที่มีอยู่ในลูกเชอรี่ไทยรสเปรี้ยวตาหยีนี้ มีที่พิเศษต่างจากผลไม้อื่นและเป็นคุณสมบัติของพืชกลุ่มเบอรี่ก็คือ
– วิตามินซีธรรมชาติ ในปริมาณสูงมากหากเปรียบให้เห็นภาพก็มากกว่าส้มสด
นับสิบๆ เท่าเลยทีเดียวต่อเชอรี่ไทยเพียงขีดเดียวเท่านั้น
– กลุ่มวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน,ไลโคปีน และแคโรทีนอยด์ซึ่งเป็นญาติของวิตามินเออีกมากชนิดที่อยู่ในลูกเชอรี่ไทยที่สุกพร้อมกิน
– สารต้านอนุมูลอิสระชนิดพิเศษ ได้แก่ กลุ่มโพลีฟีนอลส์ ฟลาโวนอยด์
ซึ่งเป็นสารพระเอกแบบเดียวกับในไวน์องุ่นราคาแพงนั่นคือ “เรสเวอราทรอล”
– สารเคมีลดน้ำตาล ตัวช่วยอ่อนหวานตัวนี้มีชื่อว่า “คลอโรจีนิก
(Chlorogenic acid)” เป็นกรดตัวหนึ่งในลูกไม้เปรี้ยวนี้ ช่วยคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดโดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานประเภที่ 2 (เบาหวานในผู้ใหญ่)
– แร่ธาตุสำคัญ อย่าง โพแทสเซียม,แคลเซียม,ฟอสฟอรัส,ธาตุเหล็ก ที่ช่วยปรับสมดุลย์ให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ และเหมาะสำหรับผู้ที่มี “โลหิตจาง”
ด้วยครับ
ข้อดีของผลไม้อย่างเชอรี่ไทยมีอยู่มากดังที่กล่าวไป แต่จุดอ่อนของผลไม้ประเภทเบอรี่ที่มีเหมือนกันทั่วโลกคือ “บอบบางและช้ำง่าย” ดังนั้น จึงอาจเน่าเสียได้ง่าย ไม่เหมาะกับการขนส่งสมบุกสมบันทางไกล ชาวตะวันตกจึงมักเอามาถนอมโดยกวนเป็น “แยม” ส่วนคนไทยก็คล้ายกันคือ ทำในสิ่งที่เป็น paste คือ อาหารประเภทใช้ทาหรือคลุกรับประทานนั่นคือ “น้ำพริก” ครับ เช่นน้ำพริกมะยม,น้ำพริกมะนาวโห่,น้ำพริกอ่อง หรือน้ำพริกมะขามป้อมก็ยังได้ คนไทยดัดแปลงอาหารได้เก่งและอร่อยไม่แพ้ใครครับ
ประโยชน์มากกว่าส้ม 50 ลูก! และมวลมหาสรรพคุณครอบจักรวาล
เชอรี่ไทยเป็นของใกล้ตัวคนไทยมานาน เพียงแต่เรารู้สึกว่าเป็นของประดับหรือของกินเล่นเลยไม่ค่อยได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง
ทั้งที่จริงแล้วมันคือ ยาประจำบ้านขนานเอก
ใช้บำบัดได้หลายโรค ช่วยทุเลาได้หลายอาการและแทนยาฝรั่งได้หลายขนานครับ ดังจะขอยกตัวอย่างปัญหาใกล้ตัวต่อไปนี้
ใครมีปัญหา “ริดซี่” หรือท้องผูก เชอรี่ไทยช่วยได้ เพราะมันให้สารที่ช่วยสมานแผลและหลอดเลือดให้ไม่เปราะแตกง่ายโดยเฉพาะกระเปาะเส้นเลือดพองของริดสีดวง ซึ่งสารพิเศษนั้นคือ วิตามินซีที่มีมากกว่าส้มสดถึง 65 เท่าและ
ไบโอฟลาโวนอยด์ที่ช่วยทำงานให้หลอดเลือดและระบบไหลเวียนเลือดเป็นปกติ นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ช่วยเรื่องการขับถ่ายด้วยครับ
ใครนอนไม่หลับกระสับกระส่าย เชอรี่ไทยช่วยได้นะครับ เพราะวิตามินซีที่สูงลิบ
ในตัวมันช่วยเกี่ยวกับวงจรการนอนหลับในสมอง นอกจากนั้น “โพแทสเซียม”
เป็นแร่ธาตุที่มีอยู่มากในแต่ละผลจะช่วยให้หัวใจของท่านเต้นเป็นจังหวะ
คุมความดันให้สงบ ช่วยทำให้ท่านหลับสบายมากขึ้นครับ
เชอรี่ไทยยังถือเป็นผลไม้แนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์เพราะมันมีสารช่วยสร้าง “สมอง” และระบบประสาทให้ลูกน้อยตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง ช่วยป้องกันปัญหาไขสันหลังเปิด หรือโรคที่มีผลต่อสติปัญญาแต่กำเนิดได้ ทำให้สมาชิกคนใหม่
ที่กำลังจะถือกำเนิดมาสมบูรณ์แข็งแรงแบบ “แม่ให้มา” เลยครับ
สำหรับใครที่มีอาการปวดศีรษะ ปวดประจำเดือนบ่อย ไปจนถึงปวดเมื่อยตามร่างกาย เชอรีไทยมีคุณสมบัติที่ดีช่วยลดอาการทั้งหลายที่ว่านี้ได้เพราะมันมี
“เคมีแก้ปวด” ที่ให้ผลเช่นเดียวกับยาแก้ปวดชื่อดังอย่าง “แอสไพริน” ที่ลดปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญมันยังช่วยลดปวดเมื่อยตัวจากอาการไข้หวัดเจ็บคอ
ได้ด้วย
มีการศึกษาชี้ว่ามันช่วยลดการบาดเจ็บจากบาดแผลตามที่ต่างๆในร่างกาย ไม่ว่าจะแผลสด,แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกหรือฟกช้ำจากอุบัติเหตุ โดยเฉพาะสาวๆ ที่
ไม่อยากให้ได้ “แผลเป็น” เป็นของแถม เชอรี่ไทยก็ช่วยได้ครับ
ยัง—ยังไม่สุดครับ ยังมีมวลมหาประโยชน์จากเชอรี่ไทยอีกในกรณีที่มีอาการ
“วัยทอง” ด้วย โดยทีมของวิตามินกับแร่ธาตุที่มีอยู่หลากชนิดรวมทั้งธาตุเหล็ก,ฟอสฟอรัสและแคลเซียมจะจับมือกันร่วมเป็นด่านหน้าในการต้านชราจากจุดเริ่มต้นข้างในร่างกายเราเลยครับ เรียกว่าช่วยต้านชราตั้งแต่ในระดับเซลล์จิ๋วของ
ตัวเราที่มองไม่เห็นนจนทำให้อาการวัยทองที่ทำให้เพลียหัวใจทั้งหลายทุเลาลง โดยเฉพาะอาการอ่อนล้าและหงุดหงิดง่ายที่สาวๆ หลายท่านเริ่มมาเป็นเอาช่วงเลือดจะไปลมจะมา
ไม่เว้นแม้โรคร้ายที่สุดอย่างมะเร็งที่เจ้าผลไม้จากแดนไกลแต่หาได้ในบ้านเรายังใช้ช่วยชีวิตได้ ด้วยพลังต้านอนุมูลอิสระของมันนั้นสูงลิ่วพอๆ กับผลไม้พระเอกอมตะอย่างองุ่นดำ หรือเชอรี่ที่ฝรั่งแนะนำเลย เชอรี่ไทยมีมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งตั้งแต่เพิ่งเริ่มตั้งไข่ โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งชนิดที่เป็นผู้ก่อการร้ายใน กระเพาะอาหาร,ลำไส้และตับ ครับ ช่วยลดการอักเสบที่ตับเหมาะสำหรับท่านที่มีความเสี่ยงมะเร็งอย่าง “พาหะไวรัสตับอักเสบ”
สุดท้ายนี้เทคนิคดีๆ ที่จะทำให้เชอรี่ไทยได้ประโยชน์กับท่านที่สุดก็คือ
การรับประทานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งท่านสามารถทำได้แน่นอนครับ(ถ้าปลูกต้นเชอรี่ไทยไว้เองที่บ้าน) เพราะมันถือเป็นผลไม้ “ไม่อ้วน” เมื่อเทียบกับผลไม้อีกหลายชนิด ทำให้ท่านรับประทานเชอรี่ไทยเป็นของว่างได้อย่างสบายใจไม่ต้องห่วงน้ำตาลหรือพลังงานส่วนเกินที่จะมาสะสมเหมือนมันฝรั่งทอดหรือขนมของว่างอื่นๆ
แม้มันจะมีรสเปรี้ยวจับใจแต่ท่านสามารถเอามาดัดแปลงทำเป็นของว่างอร่อยๆได้ง่ายมาก อย่างในเด็กที่ไม่ชอบเปรี้ยวแต่อยากหยิบเชอรี่ไทยมารักษาภูมิแพ้แก้หวัดฟุดฟิดให้ ท่านก็นำมาทำสมูทตี้คือน้ำปั่นเชอรี่ไทยให้รับประทานเย็นๆ ดีคล้ายไอศกรีมเชอร์เบทแบบฝรั่งเศสที่เล่าไป จะใส่น้ำผึ้งลงไปให้เปรี้ยวๆ หวานๆ หน่อย ก็อร่อยครับ
แค่รับไปปลูกที่บ้านสักต้นสองต้น เป็นผลไม้ประจำครอบครัวดีมากนะครับ
ขอบคุณบทความดีๆ จาก
นพ.กฤษดา ศิรามพุช,พบ.(จุฬาฯ)
ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
American Board of Anti-aging medicine
ลำดับการสะสมไขมันในร่างกายของคน
เรารู้ๆกันอยู่แล้วว่า ถ้าหากเราทานอาหารมากเกินกว่าที่ร่างกายได้รับ พลังงานส่วนเกินก็จะสะสมในรูปของไขมัน
ซึ่งลำดับการสะสมไขมันในร่างกายของคนจะมีดังนี้
1. ไขมันช่องท้อง หรือ Visceral fat หรือ Intra-Abdominal fat
เป็นส่วนแรกที่ไขมันจะมาสะสมในร่างกาย แต่ใช้เป็นไขมันสำรองอันดับสุดท้าย ยิ่งอ้วนก็ยิ่งมาก และกดทับอวัยวะภายใน ทำให้พุงยื่นออกมา หรือ อ้วนแบบขุนช้าง (พุงช้าง) ทำให้เกิดสารพัดโรค รวมภึงภาวะภูมิแพ้
การลดไขมันส่วนนี้ ต้องควบคุมอาหาร และ ออกกำลังกายแบบแอโรบิค เพื่อให้ร่างกายเอาไขมันมาใช้เป็นพลังงานให้มากที่สุด
วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ตื่นมาเดิน หรือ ปั่นจักรยานตอนเช้า (ไม่ต้องวิ่ง)ให้ได้ครั้ง 45-60 นาที สัปดาห์ละ 4-5 ครั้ง
แต่ปัญหาที่พบก็คือ ถ้าร่างกายใช้ไขมันส่วนนี้เป็นพลังงาน เซลล์ไขมันส่วนนี้จะปล่อยสารกลุ่ม allergenic ออกมาได้เช่นกัน ส่งผลให้บางคนเป็นไข้
ในส่วนของคนผอมมากๆ แต่ที่มีพุงป่องออกมา จะเกิดจากการที่ไม่เคยบริหารกล้ามเนื้อท้องส่วนที่รั้งอวัยวะภายใน ที่เรียกว่า “Transverse abdominis” ซึ่งสามารถฝึกได้ง่ายๆ โดยการเขม่วพุงเข้าไปให้ได้มากที่สุด หรือที่เรียกว่า ” Stomach Vacuum”
2. Subcutaneous fat หรือ ไขมันใต้ผิวหนัง
เป็นส่วนที่สองที่ไขมันจะมาสะสม และใช้เป็นพลังงานต่อจากไกลโคเจน โดยร่างกายส่วนที่สามารถสะสมไขมันส่วนนี้ได้ดี จะมีส่วนของ Alpha receptor ที่ทำหน้าที่ในการดึงไขมันมาสะสมในร่างกาย ซึ่งพบมาก ตั้งแต่ ใต้แนวลิ้นปี่ ลงไปจนถึง ต้นขาครึ่งบน ซึ่งก็คือ ส่วนของ ท้อง เอว สะโพก และ ต้นขาส่วนบน นั่นเอง
หรือที่สาวๆเรียกกันว่า “เซลลูไลต์” ก็คือ ไขมันที่สะสมใต้ผิวหนังส่วนนี้”
การลดไขมันส่วนนี้ ใช้วิธีเดียวกับการลดไขมันในช่องท้อง แต่ไขมันใต้ผิวหนังจะลดได้ง่ายกว่า
3. Inter-muscular fat หรือ ไขมันแทรกระหว่างกล้ามเนื้อ 2 มัด
จะพบในคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน และ เบาหวาน รวมถึงคนที่อ้วนมากๆ (ไขมันร่างกาย >35%)
ใช้เป็นตัวใช้วัดว่า ร่างกายเริ่มมีปัญหาแล้วนะ
4. Intra-muscular fat หรือ ไขมันแทรกภายในกล้ามเนื้อ
จะพบเช่นเดียวกับกลุ่มแรก เพียงแต่อาการหนักกว่า
ส่วนในสัตว์ก็จะพบได้ในเนื้อวัว โดยเฉพาะเนื้อโกเบบีฟ หรือ โคมัตซึซากะ
คนกลุ่มนี้ควรออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ร่วมกับเดินหรือ ปั่นจักรยานสัปดาห์ละ 4-5 วัน
เขียนให้รู้ว่าไขมันสะสมที่ส่วนไหนบ้าง และลดความอ้วนง่ายๆได้อย่างไร บางทีคนที่อ้วนก็น่าจะลดไขมันที่สะสมในร่างกายแล้วนะคะ
อย่าไปใช้คำว่า “อ้วนอย่างมีความสุข” ไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะมีความสุข อย่าไปคิดในโลกสวยแบบนั้น มันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณเอง ทั้งความดันโลหิตสูง หาเสื้อผ้าใส่ยาก ข้อเข่า ข้อเท่ารับภาระหนัก
แถมยังต้องเป็นขี้ปากของชาวบ้านที่จะเรียกคุณว่า “ไอ้อ้วน หรือ อีอ้วน” แต่ตอนที่หุ่นดีแล้ว ไม่เห็นมีใครเรียกว่า “ไอ้หุ่นดี หรือ อีหุ่นดี”กันบ้างเลย
คุณอาจจะย้อนมาว่า “แล้วมันหนักหัวกบาลส่วนไหนของใคร” ซึ่งมันก็ไม่หนักหรอกนะ คุณเองต่างหากที่หนักทั้งตัวเลย แถมหนักรถอีกตะหาก
ดูแลสุขภาพดีๆ อยู่กับคนที่เรารัก และรักเราไปนานๆนะคะ