ป้ายกำกับ: ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักที่ดี
❝ ยิ่งนอนดึก ยิ่งอ้วน ❞ เรื่องจริงที่หลายคนยังไม่เคยรู้ !?
ปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเกิน หรืออ้วนนั้นยิ่งอายุมากก็ยิ่งอ้วนขึ้นเป็นความจริงหรือเป็นไปได้ทั้งสองประการ
คนเราเมื่ออายุมากขึ้นอวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะเริ่มเสื่อมถอยระบบ การเผาผผลาญ จะน้อยลง แต่จะขึ้นอยู่กับอาหารการกิน ของแต่ละคนมากกว่า
หากไม่อยากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก
ควรควบคุมอาหาร ประเภท แป้ง ไขมันและน้ำตาล ให้พอดี
การนอนน้อยก็มีผลทำให้ อ้วนขึ้น
โดยทางด้านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า การนอนดึกหรือการนอนไม่พอ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายหลายด้าน ส่วนใหญ่จะอ้วนขึ้นเพราะ การนอนน้อยส่งผลให้ฮอร์โมนเครียดที่มีชื่อว่า ❝ คอร์ติซอล ❞ หลั่งมากขึ้นจนกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากอาหารหวานๆ หรือน้ำตาลมากกว่าเดิม
นอกจากฮอร์โมนเครียดแล้วฮอร์โมนหิวหรือ ❝ เกรลิน ❞ ก็จะหลั่งเพิ่มขึ้นด้วยส่งผลให้หิวเป็นสองเท่า
และทำให้ ฮอร์โมนความอิ่ม หรือ ❝ เลปติน ❞ จะหลั่ง ลดลง แม้ว่าจะรับประทานแล้วแต่ก็รู้สึกไม่ค่อยอิ่ม ทำให้ต้องหาอะไรรับประทานอยู่ตลอดจนกลายเป็นกินมากเกินไป
นอกจากนอนดึก ทำให้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงจนทำให้อ้วนขึ้นแล้วในบางคนอาจหิวจนนอนไม่หลับ ทำอย่างไรดีถ้าหันไปหาอาหารมาทานก็จะอ้วนขึ้นอีก หรือทานมาก บางท่านนอนแน่นท้องไม่สามารถหลับได้เลย
มีข้อแนะนำให้คุณเลือกอาหารที่ทานแล้วหลับสบาย และไม่หนักท้องจนเกินไปคุณควรทานอาหารก่อนเวลาเข้านอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง จะช่วยให้หลับสบายขึ้นและยังป้องกันน้ำหนักส่วนเกินป้องกันโรคกดไหลย้อน
อาหารเบาๆ ที่ควรเลือกทาน เช่นโยเกิร์ตไขมันต่ำ นมพร่องมันเนย ผลไม้ ประเภท แอปเปิ้ล หรือผลไม้รสไม่หวานหรือของว่าง ประเภทหัวไม่เกิน 15 เม็ด ก็จะช่วยบรรเทาอาการหิวได้ และไม่ทำให้น้ำหนักตัวขึ้นมาก
นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ช่วยให้หลับสบายด้วยแนะนำให้ทานกล้วย นม
นมถั่วเหลือง ถั่วลิสง เมล็ดงา ปลา และอาหารที่มีโปรตีนสูงอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะอาหารเหล่านี้มี
❝ สารทริปโตแฟน ❞ ซึ่งเป็นกรดอะมิโนจำเป็นธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นเพื่อให้สมองสร้างฮอร์โมน
❝ เมลาโธนิน ❞ ที่ช่วยให้เราหลับสบาย
นอนน้อยทำให้อ้วนในวัยผู้ใหญ่แล้ว น้องน้องเด็กวัยรุ่นถ้านอนดึกก็จะไม่ค่อยสูง ดังนั้นควรเข้านอนก่อนเวลา 23.00 น. และหากอยากหลับให้สบายก่อนนอน ไม่ควรทำให้ร่างกายตื่นตัวเช่นนอนเล่นมือถือ หรือเล่นคอมพิวเตอร์ หรือดูทีวีช่วง 30- 60 นาที ก่อนนอนแสงสว่างจากเครื่องไฟฟ้าเหล่านี้ อาจส่งผลให้นอนไม่หลับ การปรับสภาพแวดล้อม ในห้องนอนก็สำคัญควรปิดไฟให้มืดสนิท เงียบ อุณหภูมิพอเหมาะ และจะให้ดีมากขึ้น ควรสวดมนต์ และนั่งสมาธิก่อนนอน จะช่วยให้จิตใจสงบ หลับได้สบายขึ้นและตื่นมาในเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน จะช่วยให้ร่างกายของคุณ สดชื่น ร่างกายมีฮอร์โมนสมดุล หน้าตาสดใส
เพราะฉะนั้นแล้ว หากคุณกำลังลดน้ำหนักอย่างจริงจัง นอกจากการควบคุมการทานอาหารให้ถูกต้อง และออกกำลังกายอย่างเพียงพอแล้ว การนอนหลับพักผ่อนโดยรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อน้ำหนักตัวของคุณได้อย่างแท้จริง แถมยังช่วยลดความเสี่ยงโรคอ้วน ทำให้โรคอื่นๆ ก็ไม่ถามด้วยเช่นกัน ที่สำคัญยังทำให้สาวๆ มีหุ่นดีสมใจอีกด้วยค่ะ
ปริมาณแคลอรี่ในอาหารแต่ละชนิด
การบริโภคอาหาร ในแต่ละมื้อ เราเลือกรับประทาน อาหารที่เราชอบ ที่มีรสชาติอร่อย หอม หวาน แต่เราก็ลืมคำนวณปริมาณแคลอรี่ ที่เรากินเข้าไปในร่างกาย
✦ สำหรับร่างกายคนเรานั้น ต้องการปริมาณแคลอรี่ประมาณ 1,500 – 2,000 แคลอรี่เท่านั้น
✦ ชายต้องการแคลอรี่ ประมาณ 2,000 แคลอรี่
✦ หญิงต้องการแคลอรี่ ประมาณ 1,500 แคลอรี่
การที่เราเลือกรับประทาน แต่อาหารที่เราชอบ มักจะทำให้เราได้รับแคลอรี่
ที่มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ
จึงทำให้เกิดการสะสมไขมัน แป้งตามร่างกาย หรือที่เราเรียกว่า ❝ส่วนเกินในร่างกาย ❞ เช่นพุง ต้นแขน ต้นขา ก้น นั้นเอง
เห็นไหมละคะ ว่าการเลือกรับประทานทานนั้น สำคัญต่อการลดน้ำหนักของเราจริงๆ ฉะนั้นเราลองเลือกทางอาหารเพื่อกำหนดปริมาณแคลอรี่ ที่จะเข้าสู่ร่างกายของเรากันนะคะ
วันนี้เรามีการคำนวณปริมาณแคลอรี่ในอาหาร ผัก ผลไม้แต่ละชนิดไว้ให้สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักได้เลือกทาน…. อยากสวย อยากผอม อยากหุ่นดี อยากดูดี อยากเป็นคนใหม่ อย่าลืมกำหนดปริมาณแคลอรี่ในอาหารให้ตัวเองนะค่ะ
ปริมาณแคลอรี่ในอาหารเป็นกิโลแคลอรี่ ต่ออาหาร 100 กรัม
แป้ง – น้ำตาล
ขนมปัง 328 แคลอรี่
เส้นก๋วยเตี๋ยว 88 แคลอรี่
บะหมี่สำเร็จรูป 382 แคลอรี่
วุ้นเส้น 72 แคลอรี่
ข้าวเจ้าสุก 140 แคลอรี่
ข้าวเหนียวสุก 230 แคลอรี่
มันแกว 35 แคลอรี่
มันเทศ 126 แคลอรี่
เผือก 124 แคลอรี่
น้ำตาลทราย 385 แคลอรี่
น้ำผึ้ง 297 แคลอรี่
แยมสตรอเบอร์รี่ 264 แคลอรี่
แยมผิวส้ม 257 แคลอรี่
แยมสับปะรด 198 แคลอรี่
ไขมัน
น้ำมันงา 881 แคลอรี่
น้ำมันพืช – ถั่วเหลือง 884 แคลอรี่
น้ำมันหมู 902 แคลอรี่
เนย 729 แคลอรี่
มาการีน 723 แคลอรี่
น้ำสลัดมายองเนส 718 แคลอรี่
มัสตาร์ค 541 แคลอรี่
ครีมเทียม 600 แคลอรี่
เนื้อสัตว์
เนื้อปูม้า,ปูทะเล(ต้ม) 87 แคลอรี่
หอยเชลล์ 106 แคลอรี่
หอยนางรม 71 แคลอรี่
หอยแครง 68 แคลอรี่
หอยลาย,แมลงภู่ 59 แคลอรี่
เนื้อวัวไม่ติดมัน(ย่าง) 190 แคลอรี่
เนื้อวัวไม่ติดมัน(ต้ม) 187 แคลอรี่
เนื้อวัวไม่ติดมัน(ทอด) 250 แคลอรี่
เนื้อไก่ 302 แคลอรี่
เป็ด 183 แคลอรี่
หมูไม่ติดมัน 376 แคลอรี่
หมูแผ่น 615 แคลอรี่
หมู(ไส้กรอก) 590 แคลอรี่
แฮม 389 แคลอรี่
เบคอน 451 แคลอรี่
กุ้ง(น้ำจืด,ทะเล) 87 แคลอรี่
ลูกชิ้นเนื้อวัว 84 แคลอรี่
ลูกชิ้นปลา 56 แคลอรี่
ปลากระบอกทอด 538 แคลอรี่
ปลาซาตีน(กระป๋อง) 126 แคลอรี่
ปลาทูน่า 151 แคลอรี่
ปลาหมึก 115 แคลอรี่
ปลาหมึก(แห้ง) 328 แคลอรี่
ปลาอินทรีย์ 103 แคลอรี่
หมูหยอง 353 แคลอรี่
กุนเชียง 355 แคลอรี่
แคปหมู 619 แคลอรี่
แหนม 185 แคลอรี่
ไข่ไก่ 160 แคลอรี่
ไข่เป็ด 186 แคลอรี่
ผัก
มะเขือเทศ 22 แคลอรี่
แครอท 37 แคลอรี่
ยอดกระถิ่น 62 แคลอรี่
ใบขี้เหล็ก 139 แคลอรี่
ชะอม 57 แคลอรี่
คื่นช่าย 13 แคลอรี่
ดอกโสน 40 แคลอรี่
แตงกวา 12 แคลอรี่
ตำลึง 35 แคลอรี่
ต้นหอม 30 แคลอรี่
ถั่วงอก 36 แคลอรี่
ผักกวางตุ้ง 8 แคลอรี่
ผักกระเฉด 29 แคลอรี่
ใบตั้งโอ๋ 17 แคลอรี่
บร็อคโคลี่ 2 แคลอรี่
ผลไม้
กล้วยไข่ 145 แคลอรี่
กล้วยหอม 131 แคลอรี่
ขนุน 122 แคลอรี่
ทุเรียน(หมอนทอง-ชะนี) 156 แคลอรี่
แคนตาลูป 30 แคลอรี่
เงาะ 62 แคลอรี่
ชมพู่(มะเหมี่ยว,สาแหรก) 30 แคลอรี่
เชอร์รี่ 31 แคลอรี่
แตงไทย 16 แคลอรี่
น้อยหน่า 78 แคลอรี่
ฝรั่ง 51 แคลอรี่
พุทรา 82 แคลอรี่
มะขามหวาน 314 แคลอรี่
มะขามเทศ 78 แคลอรี่
มะขามป้อม 58 แคลอรี่
มะปรางสุก 60 แคลอรี่
มะไฟ 66 แคลอรี่
มะม่วงดิบ 86 แคลอรี่
มะม่วงสุก 114 แคลอรี่
มะยม 28 แคลอรี่
มะละกอสุก 45 แคลอรี่
มังคุด 57 แคลอรี่
ละมุด 94 แคลอรี่
ลางสาด 55 แคลอรี่
ลำไย 71 แคลอรี่
ลิ้นจี่ 65 แคลอรี่
กระท้อน 57 แคลอรี่
สับปะรด 47 แคลอรี่
ส้มเขียวหวาน 44 แคลอรี่
ส้มโอ 39 แคลอรี่
สตรอเบอร์รี่ 34 แคลอรี่
แอปเปิ้ล 58 แคลอรี่
องุ่น 60 แคลอรี่
อ้อยควั่น 67 แคลอรี่
ระกำ 51 แคลอรี่
ทับทิม 72 แคลอรี่
เนื้อมะพร้าวอ่อน 55 แคลอรี่
⁉️ อย่าลืมกำหนดปริมาณแคลอรี่ในอาหารต่อวัน ให้ตัวเองนะคะ^^
สูตรเด็ด น้ำจิ้มปลาหมึกแห้งบดย่าง
สูตรเด็ด น้ำจิ้มปลาหมึกแห้งบดย่าง
หากลงทุนซื้อเครื่องบดปลาหมึกได้ เมนูนี้ก็ไม่มีอะไรยากเลยค่ะ เน้นที่น้ำจิ้มอย่างเดียว สำหรับ ปลาหมึกแห้งบดย่าง ที่ใครๆ ก็ต่างพากันนึกถึงสตรีทฟู้ด ตลาดนัดยามค่ำคืน เชื่อว่าหลายๆ คนตอนเป็นเด็กต้องชอบกิน แล้วต้องไปยืนมุ่งดูพ่อค้าบดปลาหมึก จนอยากช่วยเขาบดเพราะเห็นแล้วมันน่าสนุกจริงๆ
สูตรเด็ด น้ำจิ้มปลาหมึกแห้งบดย่าง
ส่วนผสม
• ปลาหมึกแห้ง
• น้ำตาลทราย 2 ถ้วย
• น้ำเปล่า 3/4 ถ้วย
• น้ำมะขามเปียก 1/4 ถ้วย
• น้ำกระเทียมดอง 1/4 ถ้วย
• เกลือป่น 1 1/2 ช้อนชา
• น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
• ถั่วลิสงคั่วบด
• พริกป่น
วิธีทำ
1 นำปลาหมึกแห้งมาย่างจนหอม จากนั้นก็นำไปบดด้วยเครื่องจนตัวปลาหมึกบาง
2 จากนั้นก็มาทำน้ำจิ้ม โดยตั้งหม้อใส่น้ำและน้ำตาลทรายลงไป ตามด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำกระเทียมดอง เกลือป่น และน้ำส้มสายชู คนจนทุกอย่างเข้ากันดี
3 นำน้ำจิ้มใส่ถ้วย แล้วโรยด้วยถั่วลิสงคั่วบดและพริกป่น เสิร์ฟพร้อมกับปลาหมึกได้เลยค่ะ
เรียบเรียงโดย Food MThai
กินคาร์โบไฮเดรตเยอะทำให้อ้วนจริงเหรอ⁉️
?✦ทานคาร์โบไฮเดรตอย่างฉลาด ❝ไม่มีอ้วน ❞
อย่างที่เราเคยเรียนกันมาสมัยเด็กๆ อาหารหมู่สองจากอาหาร 5 หมู่ที่จำเป็นต่อร่างกายคือ คาร์โบไฮเดรต หรือเรียกสั้นๆย่อๆว่า “คาร์บ”
คาร์บเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย มีอยู่ในอาหารจำพวก ข้าว เมล็ดพืช ผลไม้ ผัก พืชหัว เครื่องปรุงที่มีรสหวาน นอกจากนี้การการผลิตอาหารเกือบทุกชนิด จะมีน้ำตาลอยู่ ซึ่งน้ำตาลก็มากจากอ้อย หรือ น้ำหวานของพืชนั่นเอง เรียกได้ว่าเราทานคาร์บกันตลอดแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมจะให้พลังงานแก่ร่างกายประมาณ 4 kcal
?✦ทำไมร่างกายของเราจึงต้องการคาร์โบไฮเดรต
ร่างกายคนเราใช้พลังงานจากสองแหล่งใหญ่คือ พลังงานจากไขมัน และ พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ซึ่งคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญแหล่งใหญ่ของร่ายกายเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นพลังงานที่ใช้ในการทำกิจกรรมและการขับเคลื่อนระบบอวัยวะต่างๆ สมอง หัวใจ ระบบการหายใจ ให้ทำงานและดำรงค์ชีวิตอยู่ได้นั่นเอง
?✦กินคาร์โบไฮเดรตเยอะๆแล้วทำให้อ้วนจริงเหรอ?
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจหลักการของการย่อยคาร์บมาเป็นพลังงานเสียก่อน เมื่อร่างกายได้คาร์บเข้าไปไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด จะข้าว น้ำตาล แป้ง ขนมปัง ผลไม้ ผัก คาร์บเหล่านี้จะถูกย่อยเป็นโมเลกุลที่เล็กลง คือกลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวหรือที่เรียกว่า กรูโคส และจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด กระจายไปตามเซลต่างๆและนำไปใช้เป็นพลังงานของระบบอวัยวะต่างๆในร่างกาย
จากนั้นส่วนที่เหลือจะถูกลำเลียงนำไปเก็บเอาไว้ในตับและกล้ามเนื้อ หรือ ที่เรียกว่า “ไกลโคเจน” ส่วนที่เหลือจากเก็บในกล้ามเนื้อและตับ (ไกลโคเจน) อีกส่วนที่เหลือจากเก็บจะถูกตับแปรสภาพกักเก็บไว้เป็นพลังงานสำรองในรูปแบบของไขมัน ซึ่งไขมันเหล่านี้จะค่อยๆสะสมพอกพูนขึ้นใต้ชั้นผิวหนังและตามอวัยวะภายในต่างๆ เราจึงค่อยๆอ้วนขึ้น เพราะอย่าลืมว่าทุกครั้งที่ร่างกายใช้พลังงาน ร่างกายจะใช้พลังงานจากอาหารที่ทานเข้าไปก่อน จากนั้น มาใช้พลังงานไกลโคเจน เมื่อทั้งสองแหล่งนี้หมดลงจึงจะดึงไขมันสะสมมาใช้ ตามลำดับ
?✦นอกจากนี้อีกเหตุผลนึงที่ทำให้คาร์บเป็นตัวการของความอ้วน..คือ**การทานคาร์บที่ย่อยไว อย่างแป้งขาว ขนมปัง น้ำตาล ขนมหวาน น้ำอัดลมใน**ปริมาณมากเกินไป คาร์บเหล่านี้เป็นคาร์บที่ร่างกาย**ดูดซึมได้ง่ายเมื่อดูดซึมง่ายก็จะทำให้มีน้ำตาล(กลูโคส)อยู่ในกระแสเลือดมาก
เมื่อมีน้ำตาลมากขนาดนั้น ร่างกายจะส่งสัญญาณไปที่ตับอ่อนให้เพิ่มระดับอินซูลินขึ้นเพื่อลดระดับน้ำตาลเลือด โดยการเร่งนำพลังงานไปใช้ในระบบ เก็บเป็นไกลโคเจน แต่ด้วยกลูโคสมีจำนวนมากและปริมาณกล้ามเนื้อมีจำนวนจำกัดหรือไม่สามารถกักเก็บได้ทัน จึงนำไปเก็บไว้ในรูปไขมันสะสมที่ทำได้ง่ายและไม่มีพื้นที่จำกัดแทนกรณีที่จะทำให้ได้รับคาร์บมากเกินไปทานคาร์บรวมต่อวันมากเกินไป
?✦การทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต
❝มากเกิน ❞ กว่า ❝ การนำไปใช้ ❞
และการเก็บในแต่ละวัน ทำให้มีส่วนของพลังงานเหลืออยู่มาก พื้นที่ในการจัดเก็บไกลโคเจนก็มีจำนวนจำกัด เมื่อเป็นเช่นนี้พลังงานส่วนที่เหลือจึงแปรสภาพเป็น>>>ไขมันสะสม ทานเยอะเกินไปในคราวเดียว
การทานมื้อหนัก หรือการทานคาร์บที่ย่อยเร็วครั้งละมากๆจะทำให้ร่างกายไม่สามารถกักเก็บพลังงานได้ทัน ทั้งที่ยังมีพื้นที่ในกล้ามเนื้อว่างอยู่ ร่างกายจึงเลือกที่
่ลดปริมาณน้ำตาลโดยการจัดเก็บในรูปแบบของไขมันที่ง่ายและเร็วกว่า ไม่ทานคาร์โบไฮเดรตเลยได้ไหม
เมื่อมาถึงตรงนี้หลายคนคงขยาดกลัวกับการทานแป้งไปเลย พาลจะบอกเลิกตัดขาดการทานคาร์บไป ซึ่งมีหลายทฤษฎีลดน้ำหนักที่ใช้วิธีการพร่องแป้ง หรือการจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้อยู่ในระดับต่ำ อย่าง ทฤษฎี Atkins และ Ketogenic (จะมานำเสนอในคราวต่อไป)
ซึ่งสามารถลดปริมาณไขมันได้จริง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
?✦เพราะการที่ลดปริมาณคาร์บให้ต่ำมากๆ จะทำให้✦ร่างกายขาดสารอาหาร กลุ่ม วิตามินบี และด้วยที่คาร์บเป็นพลังงานหลักในการดำรงค์ชีวิต การลดคาร์บให้ต่ำจำเป็นจะต้องเพิ่มพลังงานให้ร่างกายจากส่วนอื่นแทนโดยการเพิ่มปริมาณการทานไขมันและเนื้อสัตว์ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับไขมันไขมันอิ่มตัวและคอเรสเตอรอล ที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตได้ ***
***นอกจากนี้เมื่อเราตัดคาร์บปริมาณน้ำตาลในเลือดของเราจะต่ำลง ***
?✦ปริมาณพลังงานคาร์บไม่เพียงพอ✦ทำให้การเผาผลาญไขมัน..✦ไม่สมบูรณ์ ทำให้ไขมันก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารประเภท ketone ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ตับ มีผลทำให้ร่างกาย>>อ่อนเพลีย >>วิงเวียน >>หน้ามืด >>หงุดหงิด >>อารมณ์แปรปรวน
ในกรณีที่อดอาหารอย่างอื่นร่วมด้วยร่างกายจะลดการเผาผลาญไขมันลง พร้อมกลับค่อยๆย่อยสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาแทน เมื่อกล้ามเนื้อน้อยจะทำให้เมื่อกลับมาทานคาร์โบไฮเดรตเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้เกิดไขมันสะสมได้ไวกว่าปรกติ หรือเกิดภาวะโยโย่เอฟเฟกนั่นเอง
ทานคาร์โบไฮเดรตอย่างฉลาดไม่มีอ้วน
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้
?✦เราต้องเลือกวิธีการทานคาร์บอย่างฉลาด คือในแต่ละวันจะต้องกำหนดปริมาณการทานคาร์บให้พอเหมาะกับความต้องการ คือประมาณ 40% ของปริมาณพลังงานรวมที่ต้องใช้ต่อวัน และควรเลือกทานคาร์บเชิงซ้อนจำพวก #ข้าวแป้งไม่ขัดสี #ธัญพืช #ที่ย่อยและดูดซึมได้ช้า #ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อยๆขึ้นอย่างช้าๆ #มีเวลาในการจัดเก็บพลังงานไกลโคเจนได้ทัน
นอกจากนี้การเลือกเวลาในการทานคาร์บก็สำคัญ ควรเลือกทานคาร์บในมื้อก่อนที่จะต้องใช้พลังงาน เช่นมื้อเช้า หรือมื้อก่อนออกกำลังกาย และลดปริมาณการทานคาร์บในมื้อ…ดึก หรือ ช่วงก่อนเข้านอน เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานไกลโคเจน และลดการสะสมคาร์บเป็นไขมัน
สิ่งสำคัญอีกสิ่งคือ การเพิ่มพื้นที่การกักเก็บคาร์บ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยระบายไกลโคเจน ทำให้มีพื้นที่ในกล้ามเนื้อเหลือพอที่จะกักเก็บ และการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ เมื่อมีกล้ามเนื้อมากก็สามารถเก็บไกลโคเจนได้มาก คนที่ออกกำลังกายจึงอ้วนยากกว่าคนที่คุมอาหารเพียงอย่างเดียว
ส่งต่อความปราราถนาดี by Ammie @club.agirl
ทำไมอ้วนลงพุง จึงลดไม่ได้ด้วยการอดอาหาร และออกกำลังกาย
หลายๆคนที่ลงพุง คงเคยตั้งคำถามนี้กับตัวเอง และหมดกำลังใจกับการลดน้ำหนัก เพราะไม่ว่าจะอดอาหารอย่างไร หรือออกกำลังกายวันละหลายชั่วโมง สัปดาห์ละหลายวัน ก็ยังไม่สามารถเอาห่วงยางรอบเอวออกไปได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ..เรามาดูคำตอบของเรื่องนี้กันค่ะ
ร่างกายก็เหมือนกับโรงงาน
มีฮอร์โมนเป็นตัวควบคุมการทำงานของเครื่องจักรให้ทำงานปกติ
กลไกการทำงานภายในร่างกายคนเรา ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็คงคล้ายกับโรงงาน เราต้องการพลังงาน ก็คือการรับประทานอาหาร มีการใช้พลังงาน มีการเผาผลาญอาหารเป็นพลังงาน และใช้หมดไป
เครื่องจักรต้องมีการควบคุมให้ทำงานได้ตามปกติ ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับฮอร์โมน ที่คอยควบคุมการทำงานของกลไกต่างๆของร่างกายให้ทำงานได้เป็นปกติ
ร่างกายที่ทำงานปกติ ก็จะมีการใช้พลังงาน เผาผลาญอาหารเป็นพลังงานตลอดเวลา ก็จะไม่เกิดการสะสมของไขมัน ก็คือ ❝ ไม่อ้วน ❞
แล้วเกิดอะไรกับคนอ้วน ทำไมร่างกายไม่นำพลังงานไปใช้
คนที่อ้วนลงพุง เกิดจากร่างกายไม่ยอมเผาผลาญ หรือเรียกอีกอย่างว่า
” metabolic syndrome “
ซึ่งจำเป็นต้องตรวจเช็คดูว่า เป็นเพราะอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ พบว่าเกิดจากความ*ผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งมีสาเหตุเริ่มต้นมาจากการสะสมของท๊อกซินในเซลล์ไขมัน ( fat cell ) พอสะสมนานๆ อินซูลิน ซึ่งเป็น ฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ทำหน้าที่นำน้ำตาลจากเลือดเข้าไปในเซลล์ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานเริ่มทำงานได้ไม่ดี ไม่สามารถนำเอาน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ น้ำตาลก็เก็บเป็นไขมัน ร่างกายก็ต้องใช้อินซูลินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในการนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน จนเกิดภาวะที่อินซูลินดื้อ ไม่ทำงาน พอถึงตรงนั้นก็*ไม่เผาผลาญน้ำตาลแล้ว *เก็บเป็นไขมันอย่างเดียว
✿ ถ้าร่างกายขาดพลังงาน มันก็จะดึงเอากล้ามเนื้อไปใช้แทน เพราะมันดึงไขมันออกมาไม่ได้ จึงเป็นที่มาของความเหี่ยว ผิวหย่อนคล้อย
จะเห็นได้ว่าขบวนการนำพลังงานไปใช้ในร่างกายมีความสำคัญมาก มีผลต่อสุขภาพ และความเป็นหนุ่มเป็นสาว ถ้าระบบเผาผลาญเราดี ขบวนการใช้พลังงานในร่างกายเราก็จะดี ถ้าร่างกายเราเริ่มเสื่อม เริ่มเฉื่อย ก็จะไม่ใช้พลังงาน แต่เก็บเป็นไขมัน อย่างเดียว
จะพบว่า ในคนส่วนใหญ่เมื่ออายุยังน้อยจะไม่มีปัญหาเรื่องอ้วนลงพุง แต่พออายุเริ่มใกล้ 50 รอบเอวเริ่มหาย เริ่มมีห่วงยางรอบเอว ทำยังไงก็ไม่หาย
ทั้งนี้เพราะเซลล์ในร่างกายเริ่มเสื่อม ฮอร์โมนเริ่มไม่ทำงาน เหมือนเมื่อตอนอายุยังน้อย กลไกการทำงานต่างๆของร่างกายจึงเริ่มผิดปกติ เสียสมดุล และเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆตามมา ไม่เพียงเฉพาะโรคอ้วนเท่านั้น จึงเป็นที่มาว่าถ้ามีอาการอ้วนที่รอบเอว จะมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และโรคหัวใจมากกว่าอ้วนในส่วนอื่นๆ ทั้งนี้ก็เพราะเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานนั่นเอง
ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามปัญหาเรื่องอ้วน ว่าเป็นเพียงเรื่องความสวยความงามเท่านั้น เพราะที่จริงมันคือสัญญาณเตือนโรคร้ายให้กับเรา ที่ต้องหันมาเอาใจใส่ และดูแลตัวเองอย่างจริงจัง
ความอ้วนที่เกิดจากการเสียสมดุลฮอร์โมนเช่นนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการแพทย์ชลอวัย ( Anti Aging )
การรักษาตามหลักการแพทย์ชลอวัย (Anti Aging) เริ่มต้นจากการตรวจเช็คร่างกายเพื่อให้รู้ที่มาของปัญหา และจะได้แก้ไขได้ถูกต้อง มีการปรับสมดุลร่างกาย
ด้วยการกำจัดสารพิษ และปรับสมดุลฮอร์โมนด้วยวิธีธรรมชาติ เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำงานได้ตามปกติ มีการเผาผลาญ นำพลังงานไปใช้ได้ตามปกติ นอกจากนี้ก็อาจจะมีการดูแลเรื่องอาหาร และการออกกำลังกายเพิ่มเติม ตลอดจนการใช้เครื่องมือต่างๆเพื่อช่วยให้เกิดการทำลายเซลล์ไขมัน และเร่งการเผาผลาญให้มากขึ้น ก็จะทำให้เห็นผลได้เร็วขึ้น
จะเห็นได้ว่า อ้วนลงพุง แก้ไขได้ ตามวิธีการที่เล่ามา ดังนั้นอย่าปล่อยให้ห่วงยางอยู่รอบเอวอีกต่อไปเลยค่ะ เพราะไขมันที่รอบเอวมีอันตรายมากกว่าความไม่ดูดีมากมายจริงๆ
7 ผลไม้ ❝ กินอย่างพอดี มีประโยชน์ ❞
7 ผลไม้ ❝ กินอย่างพอดี มีประโยชน์ ❞
กินมาก แคลอรี่ สูง น้ำตาลจากผลไม้ สะสมในรูปไขมัน ด้วยเช่นกันจ้า
ผลไม้ชนิดไหนบ้างที่แคลอรี่สูง กินแล้วอ้วนเว่อร์
ถ้าคิดจะกินผลไม้ดังต่อไปนี้ก็ขอให้ลดขนมหวานกันนิดนึง ไม่อย่างงั้นพุงน้อยๆ ถามหาแน่ๆ ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ ว่ามีผลไม้ตัวไหนบ้าง
1. กล้วย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ กล้วยถือเป็นผลไม้ที่หวานและมีน้ำตาลค่อนข้างสูง สำหรับคนที่เฮลตี้หน่อยมักจะกินกล้วยเพื่อเพิ่มพลังก่อนไปออกกำลังกาย เพราะมันให้พลังงานเร็ว! คล้ายๆ การดื่มพวกเครื่องดื่มชูกำลังเลยค่ะ
แต่ประโยชน์ที่น่าตกใจคือกล้วยสามารถช่วยในเรื่องของการนอนหลับได้ด้วย เพราะมันไปเพิ่มความเข้มข้นของเมลาโทนิน ซึ่งช่วยให้เราผ่อนคลายและหลับสบายขึ้นด้บอกเอา
กล้วยเป็นอาหารที่เอาไว้โหลดก่อนลงสนามสำหรับนักวิ่ง ส่วนมหาลัย University of Sydney ก็บอกเลยว่าค่า GI ในกล้วยไม่ได้ต่ำเลย แสดงว่ากล้วยเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ค่อนข้างเร็วอยู่ค่ะ
2. มะม่วง
มะม่วงดิบนี่ยังไม่ค่อยอ้วนเท่าไร พอกินได้อยู่นะคะ แต่ลูกนึงน้ำหนักไม่ใช่น้อยๆ เลย กินได้แค่ครึ่งลูกนะคะ ถ้ากินเต็มลูกแคลอรี่นี่คูณสองเลย
ประโยชน์ของมะม่วงดิบ คือ มีวิตามินซีสูง ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ อีกทั้งยังมีวิตามินเอ ช่วยบำรุงและรักษาสายตาด้วย
แต่ถ้าเป็นมะม่วงสุกนี่แคลอรี่เท่านึงของมะม่วงดิบเลยค่ะ ทำไมของอร่อยมันช่างทำร้ายกันขนาดนี้ แนะนำกินแค่ครึ่งลูกเหมือนกันนะคะ เพราะถ้ากินเต็มลูกประกบกับข้าวเหนียวเค้าไป
กินอย่างพอดีพอเหมาะนะคะ เดี๋ยวพุงน้อยๆ ถามหาประโยชน์ของมะม่วงสุก มีส่วนช่วยในการขับถ่าย มีฤทธิ์เป็นยาระบายด้วย
3. มังคุด
ดูจากแคลอรี่ไม่ได้อ้วนมากเท่าไร แต่อย่าลืมว่ามังคุดหนักนะคะ เพราะฉะนั้นถ้ากินเยอะแคลอรี่ก็พุ่งไปไกลมิใช่น้อย ปริมาณที่แนะนำคือขนาดเล็ก 2 ลูก (น้อยมาก….ร้องไห้หนักมาก)
ประโยชน์ของมังคุดนี่ดีมากค่ะ เพราะช่วยลดตีนกา รักษาสิว บำรุงผิว แถมยังแก้โรคเครียดได้ด้วยนะ
4. เงาะ
ผลไม้อะไรก็ไม่รู้มีขน นั่นก็คือเงาะนั่นเองค่ะ!! บอกก่อนว่ากินได้ไม่เยอะ เพราะเงาะแคลอรี่สูงกว่ามังคุดค่ะ ยังดีที่เงาะลูกเล็กกว่า ก็เลยกินได้ประมาณ 5 ลูก กินมากกว่านี้ก็คูณกันเองนะคะสาวๆประโยชน์ของเงาะ คือ ช่วยบำรุงผิว รักษาการอักเสบในช่องปาก แก้ท้องร่วง
5. ลองกอง
อีกหนึ่งผลไม้โปรดของใครหลายๆ คน ที่ยิ่งกินก็ยิ่งเพลิน เพราะมันทั้งหวานและนุ่ม แกะกินง่ายกว่าเงาะเยอะเลยค่ะ ฉะนั้นอย่าเพลินนะคะ เพราะกินได้แค่ประมาณ 8 เม็ดเท่านั้นเองค่ะ!!
จะผอมนี่มันยากเหลือเกินประโยชน์ของลองกอง คือ ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ตัวร้อน และลดอาการร้อนในในช่องปาก ส่วนเมล็ดของมันรักษาอาการท้องเสียได้ด้วย
6. ลิ้นจี่
อันนี้หวานกว่าลองกองซะอีก แถมยังหนักกว่าด้วย เพราะลิ้นจี่มีน้ำเยอะกว่าก็เลยหนักกว่าค่ะ กินได้แค่ 4 ลูกเท่านั้นเอง น้อยนิดเหลือเกินแต่ถ้าจะบอกว่ากินเพื่อเอาประโยชน์แล้วล่ะก็ สาวๆ มาถูกทางแล้ว เพราะลิ้นจี่ช่วยต้านและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม
คุณผู้หญิงควรทานแล้วล่ะค่ะ แถมยังช่วยให้ระบบทางเดินอาหารให้เป็นปกติ และยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้ด้วยค่ะ เยอะจริงๆ
7. ทุเรียน
ผลไม้ขึ้นชื่ออีกหนึ่งตัว ที่นอกจากจะแพงแล้วแคลอรี่ยังแรงอีกด้วยค่ะ ปริมาณเท่าในรูป 2 เม็ดให้แคลอรี่ถึง 147 แคลอรี่!! สาวๆ กินกันกี่เม็ดคะ สารภาพมาเดี๋ยวนี้นะแต่สิ่งนึงที่น่าตกใจคือ ทุเรียนเป็นไขมันชนิดดี ถึงจะแคลอรี่สูงแต่การกินไขมันดีจะช่วยลดไขมันไม่ดีตัวเก่าๆ ออกไปได้ อีกอย่าง
ในทุเรียนมีสารโพลีฟีนอล (Pholyphenols) ซึ่งเป็นตัวช่วยลดไขมัน ไม่แปลกนะคะ เพราะอาหารประเภทไขมันกินแล้วช่วยลดไขมันได้จริงๆ ค่ะ ตอนนี้ ก็ไดเอทด้วยวิธีการกินไขมันเพื่อลดไขมันอยู่
เพียงแต่เจ้าทุเรียนเนี่ยมันมี “คาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาล”
ด้วย มันเลยสยอง 2 เด้ง คือมีทั้งไขมันและน้ำตาล อย่างงี้ไม่ผอมแน่นอนค่ะ กินพอประมาณดีกว่า อย่าเห็นแค่สารโพลีฟีนอลอันน้อยนิดเลยค่ะสาวๆ 5555
ขอบคุณข้อมูลจาก ญาดา
อานิสงส์ 9ข้อ ใส่บาตรตอนเช้า
อานิสงส์ 9ข้อ ใส่บาตรตอนเช้า เจริญรุ่งเรือง ร่มเย็น เป็นสุข สดชื่น สมหวัง
1. การใส่บาตร อานิสงส์ที่ได้ เป็นที่รัก ขอบผู้คน มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
ตายไป ย่อมเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์
2. การใส่บาตร ทำให้จิตใจ ยึดเหนี่ยวระลึก ในความดี
3.เป็นการสร้างสังคมให้มีความสุข ความร่มเย็น
4.เสริมศิริมงคล ต่อบุญ โชคลาภ วาสนา
5. เพื่อเป็นการอุทิศแผ่บุญส่วนกุศล ถึงบุคคลอันเป็นที่รัก ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้มีคุณ
6. เป็นการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงาม
อันเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติ ที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน
7. เป็นแบบอย่างของคุณงามความดีจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อเป็นแบบอย่างให้ลูกหลาน ในการทำความดีสืบต่อไป
8.เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เพราะพระสงฆ์สามเณรต้องอยู่ด้วยการบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ถ้าไม่มีใครใส่บาตร ก็ไม่มีอาหาร เมื่อไม่มีอาหารย่อมไม่อาจดำรงชีพอยู่ได้ แล้วพุทธศาสนาก็อาจจะสิ้นสุดลงในยุคปัจจุบัน
9.การใส่บาตรเป็นการสร้างความปรองดองให้กับชาวพุทธ เป็นการหยุดวิกฤตความศรัทธา เพราะถ้าชาวพุทธทุกบ้านพร้อมเพรียงกันใส่บาตร จะเกิดเป็นพลังแห่งความสามัคคีขึ้น ซึ่งพลังนี้จะช่วยสร้างสรรค์สังคมให้เกิดความสงบสุข ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความสามัคคีของหมู่คณะ ย่อมทำให้เกิดสุข” ทำให้ชาวพุทธมีความเข้มแข็ง และสามารถจะสร้างกรอบอันดีงามให้แก่ภิกษุสามเณรทั้งหลายไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางได้
ประโยชน์ 9 ประการของการใส่บาตรนี้ นับเป็นคุณอนันต์ เป็นลาภมหันต์ของชาวพุทธ ที่สามารถสร้างเสริมใส่ตัวได้ทุกวัน …
เราชาวพุทธ หมั่นสะสมบุญ สร้างบารมี ไว้เป็นเสบียงบุญ สู่ภพชาติต่อๆไป กัน นะคะ
789beauty.com
ไขความลับ! 5อ.ชะลอวัย
วัยทำงานมักต้องเจอปัญหาความเครียด อาการไม่สดชื่น หงุดหงิดง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย นอนไม่ค่อยหลับ อ้วนง่าย เหล่านี้เป็นปัญหาที่พบเห็นได้บ่อยๆ ของชาวออฟฟิศและคนเมืองเลยทีเดียว
อยู่แบบ 5 อ.ช่วยชะลอวัยได้
เมื่อไปพบแพทย์ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นโรคอะไร แต่สำหรับทางการแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยหรือ Anti – Aging Medicine
เรียกอาการเหล่านี้ว่าร่างกายเริ่มเกิดความเสื่อม เมื่อร่างกายเริ่มเสื่อมอวัยวะต่างๆ ก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ อาการหรือโรคที่เกิดจากความเสื่อมก็จะตามมา เช่น โรคมะเร็งต่างๆ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคต้อกระจก โรคระบบประสาทเสื่อม โรคกระดูกพรุน เป็นต้น
แล้วเราจะสามารถชะลอความเสื่อมของร่างกายได้หรือไม่ และมีวิธีไหนบ้าง พญ.กฤดากร เกษรคำ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านชะลอวัย จาก AddLife Anti-Aging Center ไลฟ์เซ็นเตอร์ คิวเฮ้าส์ ลุมพินี กล่าวว่า ภาวะเสื่อมของร่างกายเกิดขึ้นได้เมื่อเราอายุมากขึ้น โดยเฉลี่ยจะเริ่มเกิดความเสื่อมของร่างกายเมื่ออายุ 30 ปี แต่ในปัจจุบันสภาพแวดล้อม อาหาร อากาศ และมลภาวะที่เป็นพิษทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมเร็วขึ้น
การแพทย์เฉพาะทางด้านชะลอวัย จึงเข้ามาช่วยรักษาหรือแก้ไข โดยจะมุ่งเน้นที่การป้องกันโรค การฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงการรักษาสุขภาพก่อนที่จะเกิดโรค ทั้งการใช้สารอาหาร แร่ธาตุ ฮอร์โมนต่างๆ มาช่วยทำให้ร่างกายชะลอความเสื่อมให้ช้าลง สำหรับผู้ที่อยากชะลอความเสื่อมของร่างกาย เพื่อช่วยชะลอวัยให้ดูเด็กลง สามารถทำได้ง่ายๆ คือ ให้อยู่แบบ 5 อ.
อากาศ : อยู่ในที่ๆ มีอากาศบริสุทธิ์ หลีกเลี่ยงมลภาวะเป็นพิษต่างๆ ทั้งรังสี UVA และ UVB ในแสงแดด ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ที่ช่วยเร่งความเสื่อมของร่างกาย หาเวลาไปพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์นอกเมืองแล้วคุณจะรู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่งขึ้น
อาหาร : ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เปลี่ยนกลุ่มอาหารให้หลากหลาย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแป้ง และไขมันสูง อาหารที่มีสารปนเปื้อน ถ้าเป็นไปได้ควรทำอาหารทานเองบ้าง
ออกกำลังกาย : การออกกำลังช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีและแลดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย แต่คนเรามักจะบอกว่าไม่มีเวลา ควรจัดสรรเวลาให้ออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 150 นาที และการออกกำลังที่ดีควรมีการผสมผสานให้หลากหลาย เช่น แอโรบิค วิ่ง ว่ายน้ำ จ๊อกกิ่ง ช่วยกระตุ้นเลือดลม ทำให้หัวใจแข็งแรง โยคะ ช่วยให้ข้อต่อมีการยืดหยุ่นที่ดี การยกเวท จะช่วยเรื่องมวลกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ป้องกันกระดูกบาง เป็นต้น
อารมณ์ : หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส เป็นคำที่ใช้ได้กับทุกๆ สมัย คนเราสมัยนี้มักมีความเครียด การคิดบวก ปรับวิธีคิดหามุมบวก นั่งสมาธิ จะช่วยคลื่นในสมองได้หลับสนิท ลองหาเวลานั่งสมาธิวันละ 5นาที
แอนไท-เอจจิ้ง : การแพทย์แนวรุกมุ่งเน้นการฟื้นฟูรักษาภาวะเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เพราะแม้ว่าเราจะทำครบ 4 อ. ข้างต้น แต่เมื่อร่างกายเสื่อมถึงจุดหนึ่ง มีอาการ “แก่” เกิดขึ้นแล้ว เราจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้การรักษาและชะลอไม่ให้สุขภาพเสื่อมถอย แต่ฟื้นฟูให้แข็งแรงขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข
วิธีง่ายๆ ที่คุณก็สามารถดูแลสุขภาพตนเองให้ดูอ่อนวัยห่างไกลโรคได้ เริ่มปฏิบัติวันนี้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวน่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก healthy
สุดยี้…5 นิสัย หัวไม่ไบรท์ ทำสมองพัง
สุดยี้…5 นิสัย หัวไม่ไบรท์ ทำสมองพัง
เคยสงสัยกันไหม ว่าในบางเวลาเราพยายามจะคิดอะไรสักอย่าง แต่ทำยังไงหัวก็ไม่แล่น คิดไม่ออก บางคนก็นอยด์ เกิดอาการเครียดกันไป ต่าง ๆ นานา จริง ๆ แล้วมันมีสาเหตุ ที่ทำให้เราหัวไม่แล่น สมองไม่ทำงาน จะมีอะไรกันบ้าง เราจะมาเผย 5 นิสัย ให้ทุกคนได้รู้กัน… สมองของคนเราเป็นส่วนที่สำคัญมาก เรียกได้ว่าเป็นจุดรวมเส้นประสาทของร่างกาย ถ้าสมองไม่ทำงานทุกอย่างก็จบ เพราะสมองต้องเข้าไปควบคุมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้น แอดมินอยากขอเตือนให้ทุกท่านรับมือกับ 5 นิสัย ที่จะทำลายสมองของเราได้ จะมีอะไรกันบ้างไปชมกัน…
5 นิสัย ทำสมองพัง…!!
1. ไม่ทานอาหารเช้า – หัวไม่แล่น พาสมองฝ่อ การไม่ทานอาหารเช้านั้น จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองเพียงพอ อาจจะมีผลตามมาหลายอย่าง รวมไปถึงเกี่ยวกับด้านสมองของคนเราอีกด้วย อาจจะทำให้สมองของเราเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์ได้ง่าย ๆ หลาย ๆ คน อาจจะคิดว่าการที่ เราไม่ทานอาหารเช้านั้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร มากมาย “ก็ฉันไม่มีเวลา ! ฉันกินไม่ทัน ต้องรีบไปทำงาน” จริง ๆ สิ่งเหล่านี้ มักเป็นข้ออ้างของคนเรา การรับประทานอาหารเช้าไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากขนาดนั้น แค่ 10 นาที ก็เพียงพอแล้ว หรือใครจะพกแซนด์วิช ขนม นม เนย ไปกินระหว่างเดินทางก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย การไม่ทานอาหารเช้านั้น นอกจากจะทำให้สมองพังแล้ว ทำให้เรียนเรียนรู้เรื่องใหม่ได้ช้า ไม่มีสมาธิ นอกจากนี้ ยังมีผลตามมาอีกหลาย ๆ อย่างด้วยกัน เช่น เสี่ยงเป็นโรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด เห็นไหมว่าอาหารเช้าสำคัญขนาดไหน ถ้าคุณไม่อยากสมองพัง หัวไม่แล่น คิดอะไรไม่ออก ทุกคนควรเริ่มต้นในวันใหม่ของคุณได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นจริง ๆ
2. ขาดการใช้ความคิด – ไม่ครีเอต คิดไม่เป็น สมองไม่ทำงาน คนสมัยนี้มักขาดการใช้ความคิด อาจจะเป็นเพราะข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันนั้นมีเยอะมากมายอยู่แล้ว แค่กดเสิร์ชอินเทอร์เน็ตก็เจอ จะคิดทำไมให้ปวดหัว ! นอกจากนี้ ในการเรียนการสอนก็มักจะเน้นในเรื่องการให้ความรู้ให้ข้อมูล แต่ไม่ได้ฝึกทักษะการใช้ความคิด การสร้างสรรค์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ รวมไปถึงการเป็นคนไม่ค่อยพูด ทำให้ไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้ากับอะไร ทักษะการพูดนี่แหละที่จะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมองของเราได้
3. มลพิษ – อากาศเป็นพิษ ออกซิเจนลด เลี้ยงสมองไม่พอ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เพราะสมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลพิษเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองลดปริมาณลง เมื่อออกซิเจนลดลงทำให้ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองของเราคิดอะไรไม่ค่อยได้
4. สูบบุหรี่ – ขี้หลงขี้ลืม ภาวะสมองเสื่อม คร่าชีวิต การสุบบุหรี่ ไม่ได้มีผลดีอะไรเลย โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพร่างกาย ทำให้เป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองฝ่อ และโรคอัลไซเมอร์ ก็ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทำไมหลาย ๆ คนยังสูบได้สูบดี สูบคนเดียวไม่พอ ยังเผื่อแผ่มาถึงคนข้าง ๆ พวกเขาจะรู้ไหม ว่าการสูบบุหรี่ทำให้เป็นโรคสมองเสื่อมได้ง่าย ๆ และเมื่อเวลาล่วงเลยไปเข้าสู่วัยของผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ที่จะเกิดขึ้นมาได้อย่างร้ายแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้กลาย เป็นคนที่ขี้หลงขี้ลืมได้ เพราะควันที่มาจากการสูบบุหรี่นั้น จะทำลายสมองของเราได้อย่างง่ายดาย แถมยังก่อให้เกิดมะเร็งขึ้นมาได้ ซึ่งเป็น
อันตรายต่อร่างกายของเราที่สามารถเข้ามาทำร้ายสมองให้มีการทำงานที่ช้ามากกว่าเดิม การสูบบุหรี่ เกินกว่าวันละ 20 ม้วน ถือว่าเป็นการสุบบุหรี่จัด จะมีส่วนที่ ทำให้ความจำและเรื่องของสายตาเสื่อมลงไปได้ทีละน้อย
5. อดหลับอดนอน – ร่างกายพัง ทำเซลล์สมองตาย ข้อนี้หลาย ๆ คนคงเป็นกันเยอะ ทำบ่อยจนเป็นนิสัย สาเหตุที่อดหลับอดนอน คงหนีไม่พ้นการทำกิจกรรมต่าง ๆ เล่นเกมอยู่ในโลกโซเชียลฯ ดูซีรีย์ รวมไปถึงทำงานหนักหามรุ่ง หามค่ำ ของคนบ้างาน การนอนหลับสำคัญมาก จะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตาย นอกจากนี้แล้ว ไม่ควรนอนคลุมโปง การนอนคลุมโปงจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองเช่นกัน
ทั้งนี้ 5 นิสัย ที่ได้กล่าวมาในข้างต้นนั้น หลาย ๆ คน คงรู้แล้วว่าสมองของคนเราสำคัญมากแค่ไหน ถ้าชีวิตของเราขาดสมองไปจะเป็นอย่างไร สมองก็เหมือนอวัยวะอื่นที่สำคัญของร่างกาย ดังนั้น เราจึงต้องมีรู้จักบำรุงสมองของเราอยู่เสมอ.
#ไทยรัฐออนไลน์