Posted on Leave a comment

10 เทคนิค กินยังไงไม่ให้อ้วน

กินไม่ให้อ้วน

อยากกินก็อยาก แต่ไม่อยากอ้วน ดูเหมือนย้อนแย้ง แต่เชื่อว่าสาวๆหลายคนรู้สึกแบบนี้จริงๆ แอดมินเองก็เช่นกันค่ะ แต่ใช่ว่าเราจะไม่มีวิธีไปซะเลยทีเดียวนะ การกินให้ไม่อ้วน น้ำหนักไม่ขึ้นมันมีเคล็ดลับอยู่จ๊ะ ลองอ่านดูนะ เผื่อจะเอาไปใช้ได้

 

1.กินน้อยหน่อยได้แต่อย่าปล่อยตัวเองให้หิวจนตาลาย การที่เราปล่อยให้ตัวเองหิวมากๆ สุดท้ายเกือบร้อยทั้งร้อยก็ตบะแตก จัดหนักไปเลยทีเดียวอย่าทำให้ตัวเองหิว เพราะมันอันตรายกับหุ่นของเรามากกว่าเยอะ

2.ออกกำลังกายด้วย อย่ากินอย่างเดียวเด็ดขาด ต้องออกกำลังกายด้วย เลิกใช้ลิฟท์แล้วมาเดินขึ้นบันไดเถอะนะช่วยได้มากเลย

3.ลดปริมาณการกินแป้ง หรือข้าว ที่เป็นคาร์โบไฮเดรตไม่ต้องถึงกับงด เพียงแต่ลดปริมาณลงนิดนึง ถ้าไม่อิ่มก็ให้เพิ่มเป็นผักและผลไม้เข้าไปแทน

4.กลัวกินเยอะก็ให้ลองดื่มน้ำเยอะๆ การดื่มน้ำเยอะๆ ช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสเปล่งปลั่ง ช่วยเรื่องระบบขับถ่ายแล้วก็ทำให้เราอิ่มเร็วด้วย

5.งดรับประทานน้ำอัดลม ของชอบที่หวานๆ ทั้งหลาย บอกเลยว่านี่แหละเป็นตัวการที่ทำให้เราอ้วน แล้วก็อ้วนมากด้วยนะ ใครที่รู้ตัวก็ให้ห้ามใจ และฝึกควบคุมตัวเองตั้งแต่ตอนนี้เลย จะได้หุ่นดีไงจ๊ะ

6.ทานอาหารเช้า อย่าอดข้าวมื้อนี้เป็นอันขาด เพราะมันจะเหมือนกับข้อ 1 ที่ว่าพออดแล้วยิ่งทำให้เราโหย อยากกินเยอะขึ้นทั้งที่ไม่ควรเลย

7.เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าฟิต พอดีตัวดูมั้ย!? สาวๆ ที่ใส่เสื้อตัวเล็ก โชว์พุงนิดๆ มักจะกลัวไขมันโผล่ เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นการบังคับตัวเองไปในตัว ยิ่งใส่เสื้อตัวเล็กยิ่งไม่กล้ากินเยอะ

8.ของกินเล่น พวกขนมขมเคี้ยวทั้งหลาย เอาไว้ให้ห่างๆ มือเลย เวลานั่งทำการบ้าน เล่นมือถือ เล่นคอมพิวเตอร์ ก็ไม่ควรมีของกินวางใกล้ๆ เพราะเราชอบเผลอหยิบกินโดยไม่รู้ตัว หรือไม่ก็ ลองเปลี่ยนจากขนมอบกรอบมาเป็นผลไม้แทนแล้วกัน แบบนี้มีประโยชน์ ไม่อ้วนด้วย

9.ไม่ซื้อของอ้วนๆ มาไว้ในบ้าน ถ้าไม่มีของกิน เราก็จะไม่กิน นี่เป็นการแก้ปัญหาที่ได้ผลดีทีเดียว อันนี้อาจต้องขอให้คนในบ้านช่วยให้ความร่วมมือด้วย ประมาณว่าอย่าห่วงว่าเราจะหิวเกินไป ถ้าเป้าหมายของเราคือการลดความอ้วน ก็ขอให้เอาศัตรูของการเป็นสาวหุ่นสวยออกไปไกลๆ เลย

10.กินอาหารทุกหมู่ ไม่ต้องกลัวเรื่องแคลอรี่ให้มันมากเกินไป เพราะถ้าเราป่วยขึ้นมา มันก็ไม่คุ้ม ผอมสวยแบบคนสุขภาพดี ดูโอเคกว่าผอมแบบป่วยๆ เยอะนะจ๊ะ

กินไม่ให้อ้วน

ขอบคุณที่มา :lady108.com

renuva

เมื่อเอ่ยถึงพริกทุกคนคงรู้สึกได้ถึงความเผ็ด แต่พริกก็เป็นเครื่องเทศหลักที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน คุณรู้ไหมว่านอกจากความเผ็ด จัดจ้านของพริกแล้ว พริกยังมีประโยชน์อีกมากมาย พริก…ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวาง ระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส …

สรรพคุณของพริก

โยโย่ เอฟเฟค โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) โยโย่เอฟเฟค คือ การที่ร่างกายของเราเข้าสู่โหมดที่ต้องการเอาชีวิตรอด เกิดจากการที่เราทำการลดน้ำหนักแบบเอาเป็นเอาตายด้วยการอดอาหาร กินยาลดความอ้วน …

โยโย่ เอฟเฟค คืออะไร??

9 คาถาชีวิตมีสุข  ปัจจุบันวิทยาการเทคโนโลยีมีความก้าวหน้า . คนอยู่ต่างสถานที่กันแม้ไกลคนละซีกโลกก็สามารถติดต่อกันได้ . เสมือนอยู่ต่อหน้ากัน นั่งคุยกัน ความเจริญทางเทคโนโลยีทำให้การดำเนินชีวิตสะดวกสบาย . แต่ในความสะดวกสบายนั้นจริงๆแล้ว …

9 คาถาชีวิตมีสุข

Posted on Leave a comment

❝ ตำป่า ❞ ประโยชน์มากมาย จากวัตถุดิบ ไทยๆ

ตำป่า

ตำป่า คือส้มตำที่ใส่สารพัดที่คิดว่าใส่ลงไปแล้วเข้ากัน เหมือนส้มตำปูปลาร้าทุกอย่าง แต่แค่เพิ่มหอย ขนมจีน เมล็ดกระถิน หรือผักที่ชอบ ใส่ผักได้หลายชนิด ตำป่าดังมาจากจังหวัดมหาสารคาม เรียกติดปากว่า “ตำป่าสารคาม” นั่นเองค่ะ

ส่วนผสม
* กระเทียม 5-4 กลีบ
* พริกแดง ตามชอบ
* พริกแห้ง ตามชอบ
* มะอึก 1 ลูก
* มะกอก 1 ลูก
* บักเขือเครือ 2 ลูก
* มะเขือเทศ 2 ลูก
* น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
* ปูนานึ่ง 3 ตัว
* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำปลาร้า 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
* มะละกอสับ 150 กรัม
* หอยขมลวก
* เมล็ดกระถิน
* ขนมจีน 50 กรัม

วิธีทำ
1. ตำกระเทียม พริกแดง และพริกแห้งให้แหลก จากนั้นก็ใส่ มะอึก มะเขือเครือ และมะเขือเทศ ตำจนน้ำในมะเขือออกมา
2. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำปลาร้า และน้ำตาลปี๊บ แกะปูนาลงไป คลุกให้เข้ากัน
3. ใส่เส้นมะละกอสับลงไป ตำจนเครื่องปรุงซึมเข้ามะละกอ จากนั้นก็ใส่หอยขม เมล็ดกระถิ่น และขนมจีน คลุกเคล้าให้เข้ากัน เสร็จแล้วก็ใส่จานเสิร์ฟได้เลยค่ะ

กินอะไรก็อร่อย ไม่กลัวอ้วนหรอก

 

 

 

Posted on Leave a comment

ลำดับการสะสมไขมันในร่างกายของคน

สะสมไขมัน

เรารู้ๆกันอยู่แล้วว่า ถ้าหากเราทานอาหารมากเกินกว่าที่ร่างกายได้รับ พลังงานส่วนเกินก็จะสะสมในรูปของไขมัน

ซึ่งลำดับการสะสมไขมันในร่างกายของคนจะมีดังนี้

1. ไขมันช่องท้อง หรือ Visceral fat หรือ Intra-Abdominal fat
เป็นส่วนแรกที่ไขมันจะมาสะสมในร่างกาย แต่ใช้เป็นไขมันสำรองอันดับสุดท้าย ยิ่งอ้วนก็ยิ่งมาก และกดทับอวัยวะภายใน ทำให้พุงยื่นออกมา หรือ อ้วนแบบขุนช้าง (พุงช้าง) ทำให้เกิดสารพัดโรค รวมภึงภาวะภูมิแพ้
การลดไขมันส่วนนี้ ต้องควบคุมอาหาร และ ออกกำลังกายแบบแอโรบิค เพื่อให้ร่างกายเอาไขมันมาใช้เป็นพลังงานให้มากที่สุด

วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ตื่นมาเดิน หรือ ปั่นจักรยานตอนเช้า (ไม่ต้องวิ่ง)ให้ได้ครั้ง 45-60 นาที สัปดาห์ละ 4-5 ครั้ง
แต่ปัญหาที่พบก็คือ ถ้าร่างกายใช้ไขมันส่วนนี้เป็นพลังงาน เซลล์ไขมันส่วนนี้จะปล่อยสารกลุ่ม allergenic ออกมาได้เช่นกัน ส่งผลให้บางคนเป็นไข้
ในส่วนของคนผอมมากๆ แต่ที่มีพุงป่องออกมา จะเกิดจากการที่ไม่เคยบริหารกล้ามเนื้อท้องส่วนที่รั้งอวัยวะภายใน ที่เรียกว่า “Transverse abdominis” ซึ่งสามารถฝึกได้ง่ายๆ โดยการเขม่วพุงเข้าไปให้ได้มากที่สุด หรือที่เรียกว่า ” Stomach Vacuum”

2. Subcutaneous fat หรือ ไขมันใต้ผิวหนัง
เป็นส่วนที่สองที่ไขมันจะมาสะสม และใช้เป็นพลังงานต่อจากไกลโคเจน โดยร่างกายส่วนที่สามารถสะสมไขมันส่วนนี้ได้ดี จะมีส่วนของ Alpha receptor ที่ทำหน้าที่ในการดึงไขมันมาสะสมในร่างกาย ซึ่งพบมาก ตั้งแต่ ใต้แนวลิ้นปี่ ลงไปจนถึง ต้นขาครึ่งบน ซึ่งก็คือ ส่วนของ ท้อง เอว สะโพก และ ต้นขาส่วนบน นั่นเอง
หรือที่สาวๆเรียกกันว่า “เซลลูไลต์” ก็คือ ไขมันที่สะสมใต้ผิวหนังส่วนนี้”
การลดไขมันส่วนนี้ ใช้วิธีเดียวกับการลดไขมันในช่องท้อง แต่ไขมันใต้ผิวหนังจะลดได้ง่ายกว่า

3. Inter-muscular fat หรือ ไขมันแทรกระหว่างกล้ามเนื้อ 2 มัด
จะพบในคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน และ เบาหวาน รวมถึงคนที่อ้วนมากๆ (ไขมันร่างกาย >35%)
ใช้เป็นตัวใช้วัดว่า ร่างกายเริ่มมีปัญหาแล้วนะ

4. Intra-muscular fat หรือ ไขมันแทรกภายในกล้ามเนื้อ
จะพบเช่นเดียวกับกลุ่มแรก เพียงแต่อาการหนักกว่า
ส่วนในสัตว์ก็จะพบได้ในเนื้อวัว โดยเฉพาะเนื้อโกเบบีฟ หรือ โคมัตซึซากะ
คนกลุ่มนี้ควรออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ร่วมกับเดินหรือ ปั่นจักรยานสัปดาห์ละ 4-5 วัน

เขียนให้รู้ว่าไขมันสะสมที่ส่วนไหนบ้าง และลดความอ้วนง่ายๆได้อย่างไร บางทีคนที่อ้วนก็น่าจะลดไขมันที่สะสมในร่างกายแล้วนะคะ

อย่าไปใช้คำว่า “อ้วนอย่างมีความสุข” ไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะมีความสุข อย่าไปคิดในโลกสวยแบบนั้น มันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณเอง ทั้งความดันโลหิตสูง หาเสื้อผ้าใส่ยาก ข้อเข่า ข้อเท่ารับภาระหนัก

แถมยังต้องเป็นขี้ปากของชาวบ้านที่จะเรียกคุณว่า “ไอ้อ้วน หรือ อีอ้วน” แต่ตอนที่หุ่นดีแล้ว ไม่เห็นมีใครเรียกว่า “ไอ้หุ่นดี หรือ อีหุ่นดี”กันบ้างเลย

คุณอาจจะย้อนมาว่า “แล้วมันหนักหัวกบาลส่วนไหนของใคร” ซึ่งมันก็ไม่หนักหรอกนะ คุณเองต่างหากที่หนักทั้งตัวเลย แถมหนักรถอีกตะหาก

ดูแลสุขภาพดีๆ อยู่กับคนที่เรารัก และรักเราไปนานๆนะคะ

 

 

Posted on Leave a comment

12 ข้อคิด จากมหาเศรษฐีพันล้าน Warren Buffet

ข้อคิดมหาเศรษฐี

น้อยคนนัก ที่จะไม่รู้จัก ชายแก่ หน้าตาใจดี
มหาเศรษฐี อันดับ 3 ของโลกในปัจจุบัน

ด้วยทรัพย์สินรวม 40,000 ล้านดอลลาห์
CEO ของบริษัท Berkshire Hathaway
หรือเรียกว่า ปู่บัฟ ในวงการเล่นหุ้น


นี่คือ12 สิ่งที่ควรเรียนรู้จากมหาเศรษฐี
อย่างวอเรน บัฟเฟต์

1. ให้คุณค่าชื่อเสียง และเกียรติยศของคุณ

“เราใช้เวลา 20 ปีในการสร้างชื่อเสียง เกียรติยศ
แต่เราสามารถทำลายมันทั้งหมด ได้เพียงแค่ 5 นาที

ถ้าคุณระลึกถึงมัน คุณจะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป”

กว่าจะสร้างชื่อเสียง และเกียรติให้แก่ สิ่งที่เรามีได้
มันอาศัยเวลาที่ยาวนาน

ดังนั้น ก่อนที่เราจะทำอะไร
ควรคิดให้ดีๆก่อน

ถ้าเรามีสติ คิดตรึกให้ดีๆ
เราจะไม่ทำสิ่งที่เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ
แต่สามารถทำลายทุกอย่างที่เรามีได้ในชั่วพริบตา


2. ทำงานเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น

“คนบางคน ได้นั่งอยู่ใต้ร่มเงาในวันนี้
ก็เพราะเคยมีคนปลูกต้นไม้ต้นนี้ เมื่อนานมาแล้ว”

ถ้าเราอยากมีอนาคตที่ดี
เราจึงควรเริ่มเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ ตั้งแต่วันนี้

เพราะสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ในวันนี้
คือผลลัพธ์ของการกระทำในครั้งก่อน

สิ่งที่เราทำในอดีต ก็คือผลในปัจจุบัน

ดังนั้น
ถ้าตอนนี้เรายอมทำอะไรบางอย่าง
ที่อาจจะเหนื่อยสักหน่อย เพื่ออนาคต

มันก็คงดีกว่า การที่ไม่ทำอะไรในวันนี้
แล้วไปลำบากวันข้างหน้า


3. เพิ่มเติมคุณค่า

“สิ่งที่จ่ายไปคือ ราคา
แต่สิ่งที่ได้มาคือ คุณค่าของมัน”

เวลาเราซื้ออะไร
มันเพราะเราเล็งเห็นคุณค่า ของสิ่งๆ นั้น ใช่หรือไม่?

คนอื่นจะมองเห็นคุณค่า
ของสินค้า และบริการของเรา มากแค่ไหน

ย่อมขึ้นอยู่กับว่า
เราให้คุณค่าสินค้า และบริการของเรา เพียงพอหรือยัง??


4. เลือกคบเพื่อนให้ดี

“มันดีกว่า ที่เราจะคลุกคลีกับคนที่ดีกว่าเรา
เลือกคบกลุ่มเพื่อน ที่นิสัยที่ดีกว่าเรา

และเราจะถูกนำพา ไปในทางเดียวกัน”

ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ
เราควรคบหาสมาคม กับคนที่ประสบความสำเร็จ

มีคนกล่าวว่า
“เรามักจะมีค่าเฉลี่ย เท่ากับคนที่เราสนิทด้วยที่สุด 5 คน”


5. ความอดทน คือกุญแจสำคัญ

“ไม่ว่าเราจะเก่ง หรือขยันแค่ไหน
บางสิ่งบางอย่างก็ต้องใช้เวลา

เราไม่สามารถ ทำให้เด็กคลอดออกมา
อย่างปกติได้ภายใน 1 เดือน

โดยการทำให้ผู้หญิง 9 คนท้องแทน”

นอกจาก
ความขยัน และความสามารถของเราแล้ว

อีกสิ่งที่ต้องมีคือ “ความอดทนรอคอย”


6. กล้าเสี่ยง (หลังจากวิเคราะห์ดีแล้ว)

“ความเสี่ยง มาจากการที่เราไม่ทราบ ว่ากำลังทำอะไรอยู่”

แน่นอนว่าธุรกิจมีความเสี่ยง
แต่บัฟเฟต์เชื่อว่า จะเสี่ยงมากเสี่ยงน้อย

ขึ้นอยู่กับว่าเราคำนวณ และวิเคราะห์
สิ่งที่เราจะทำดีพอหรือยัง


7. ทำสิ่งที่รัก

“มันจะมีช่วงเวลา ที่เราควรทำสิ่งที่เราต้องการ
ทำงานที่เรารัก ที่มันทำให้เรา
รีบกระโดดออกจากเตียงในตอนเช้า

เพราะผมคิดว่า คุณต้องบ้าแน่ๆ
ถ้าคุณต้องทนทำงานที่ไม่ชอบ

เพื่อแค่ให้มันดูดีในเรซูเม่
นั่นมันไม่ใช่การเก็บ Sex เอาไว้ สำหรับยามแก่หรอกหรือ?”

สรุปง่ายๆ ก็คือ ทำสิ่งที่คุณรัก

เพราะคนส่วนมาก กำลังทำลายชีวิตของตัวเอง
โดยการเลือกทำตามสิ่งที่คนอื่นต้องการ


8. รู้จักคู่แข่งของเรา

“ในโลกของธุรกิจ
กระจกมองหลัง ชัดกว่ากระจกหน้ารถเสมอ”

การรู้จักคู่แข่งของเรา ดีกว่ารู้จักตัวเราเอง

เพราะเราจำเป็น ต้องติดตามคู่แข่งของเราเสมอ
ว่าเขาจะไปทางไหน จะทำอะไร

รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง


9. เดินทีละก้าว

“ผมไม่ได้มองหา
ว่าจะกระโดดไปข้างหน้าทีละ 7 ฟุตได้อย่างไร

แต่ผมมองไปรอบๆ ว่ามีบาร์ 1 ฟุต
ที่สามารถจะข้ามไป ได้หรือไม่”

บัฟเฟต์ไม่เชื่อในเรื่อง
การประสบความสำเร็จ เพียงชั่วข้ามคืน

แต่เขาเชื่อว่า เราควรเดินทีละก้าว
แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ เพื่อค่อยๆเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น


10. เรียนรู้ ที่จะปฏิเสธ

“ข้อแตกต่าง
ระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ

คือ คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ รู้จักการปฏิเสธ”

ควรรู้จักการพูดปฏิเสธ
เสียงรอบข้าง หรือคำแนะนำต่างๆ

เพราะสุดท้ายแล้ว การตัดสินใจทุกอย่าง
ก็ขึ้นอยู่กับเราฝ่ายเดียว

การฟังคนอื่น หรือแม้แต่เสียงในหัวมากไป
จะทำให้เราเกิดความลังเลสงสัย และตัดสินใจผิดพลาดได้

จงเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ อย่างเด็ดขาดเสียบ้าง


11. ความซื่อสัตย์ หาได้ยาก

“ความซื่อสัตย์ เป็นของขวัญราคาแพง
อย่าคาดหวังว่า จะได้มันจากคนราคาถูก”

คนราคาถูก ไม่ได้หมายถึงคนยากจน
แต่ในที่นี้หมายถึง คนที่ไม่จริงใจ

เพราะความจริงใจ หาได้ยาก
ถ้าเราเจอแล้ว ก็อย่าทำให้ตัวเองเสียคนพวกนี้ไป


12. หัดที่จะควบคุม

“เราต้องควบคุมเวลา และสิ่งที่เรามี
เราไม่สามารถ ให้คนอื่นกำหนดชีวิตของเราได้”

อย่าลืมว่า ชีวิตเป็นของเรา
เรา คือเสาหลักของชีวิตเราเอง

ดังนั้น เราจึงไม่ควร ให้คนอื่นคุมบังเหียนชีวิตของเรา


Cr. ข้อมูลจาก internet

Posted on Leave a comment

อาหารทำลายสุขภาพที่แอบแฝงความเค็ม / ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

  เรารู้หรือไม่ว่า อาหารบางประเภทมีความเค็มแฝงตัวอยู่มากกว่าที่เราคิด สถาบันโรคหัวใจของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้กำหนดว่าร่างกายของเรารับระดับโซเดียมได้ไม่ควรเกิน 1,500 – 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน หากเราต้องการลดอาหารประเภทโซเดียมที่รับประทานในแต่ละวัน เราควรตรวจสอบสิ่งที่เรารับประทาน ซึ่งเราอาจแปลกใจที่ว่าอาหารบางประเภทนั้นมีปริมาณโซเดียมสูงกว่าที่เราคิดมาก

1. อาหารเย็นแช่แข็ง อาหารประเภทนี้ ง่ายต่อการรับประทาน โดยเฉพาะแม่บ้านสมัยใหม่ เพราะเพียงแค่ใส่เข้าไมโครเวฟ เพียงไม่กี่นาที แต่เราหารู้ไม่ว่าปริมาณของเกลือที่อยู่ในอาหารแช่แข็งจะมีมากถึง 1,250 มิลลิกรัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีน้ำแกงหรือเครื่องปรุงผสมอยู่ ดังนั้น ควรอ่านฉลากก่อนซื้อมารับประทาน

2. อาหารเช้าที่ทำสำเร็จรูป ประเภทซีเรียล ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่ควรระวัง บางยี่ห้ออาจมีผลไม้หรือลูกเกดผสม ซึ่งอาจมีปริมาณโซเดียมมากเกินความต้องการของร่างกาย เราควรเลือกอาหารเช้าประเภทข้าวสาลีหรือเลือกซีเรียลที่ข้างกล่องเขียนว่าปราศจากเกลือ

3. น้ำผลไม้ปั่นบางประเภท ผู้ปรุงอาจใส่ปริมาณเกลือที่มากเกินไปหรือน้ำผักปั่นที่อาจมีประมาณเกลือแร่ถึง 6.5 มิลลิกรัม

4. อาหารกระป๋อง อาหารเครื่องกระป๋องประเภทต่างๆ ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำเกลือผสมอยู่มากเพื่อป้องกันไม่ให้อาหารเน่าเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไส้กรอก เครื่องกระป๋องประเภทผัก แครอท ข้าวโพด หรือทูน่า ดังนั้น จึงควรระวังก่อนรับประทานควรเทน้ำออกจากกระป๋องก่อนเพื่อลดปริมาณโซเดียม

5. อาหารแพ็ก สำเร็จรูปประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อเค็ม ปลาหมึกเส้น อาหารประเภทนี้อาจมีประมาณโซเดียมถึง 362 มิลลิกรัมเลยทีเดียว

6. ซุปหรือแกงต่างๆ ซุป แกง และของเหลวต่างๆ ที่เรารับประทานเป็นถ้วยอาจมีปริมาณเกลือที่ผสมอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารสำหรับผู้ป่วยที่ทำสำเร็จในกระป๋อง มีปริมาณเกลือหรือโซเดียมถึง 831 มิลลิกรัม

7. น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ ซอสปรุงรสที่ใช้หมักอาหารเนื้อต่างๆมักมีบริมาณโซเดียมมากถึง 879 ถึง 1005มิลลิกรัม ดังนั้น จึงควรระมัดระวัง ควรเลือกน้ำส้มสายชู น้ำมะนาวในการปรุงรสต่างๆ เพื่อลดปริมาณเกลือ หรือใช้น้ำส้ม น้ำสับปะรดแทนในการหมักเนื้อสัตว์ เรารู้หรือไม่ว่าซอสปรุงรส เครื่องปรุงแกงกระป๋องต่างๆ หรือซอสสปาเกตตี้ แค่ครึ่งถ้วยมีบริมาณเกลือถึง 577 มิลลิกรัม ยังไม่รวมเส้นที่จะต้มทานอีกต่างหาก ดังนั้น ควรเลือกที่ฉลากเขียนว่า ปราศจากโซเดียม

8. เครื่องปรุงรสก๋วยเตี๋ยว ไม่ว่าจะเป็นพริก เกลือ น้ำปลา ฯลฯ ที่อยู่ในเครื่องปรุงแยกต่างหากจากเส้นก๋วยเตี๋ยว อาจมีปริมาณโซเดียมมากเกินความต้องการของร่างกาย

9. ถั่วกระป๋อง บางคนชอบทานถั่วต่างๆ เป็นอาหารว่าง ดังนั้น จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถั่วที่อยู่ในกระป๋องมักมีปริมาณโซเดียมผสมอยู่มาก

10. ของว่าง เช่นมันฝรั่ง พาย ถั่วต้ม ขนมปังกรอบ อาจมีปริมาณเกลือโซเดียมถึง 253 มิลลิกรัม ของกรุบกรอบบางอย่างมีปริมาณเกลือค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

อาหารที่เรารับประทานอาจมีปริมาณเกลือที่แอบแฝงอยู่เป็นจำนวนมากโดยที่เราคาดไม่ถึง ดังนั้น ควรอ่านฉลากก่อนรับประทานทุกครั้งเพื่อช่วยให้เราเลือกอาหารที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายได้ มารักษาสุขภาพเพื่อให้ร่างกายของเราแข็งแรงไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บกันดีกว่าค่ะ

 

 

 

Posted on Leave a comment

การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี

การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี

น้ำที่ดื่มถ้าจะให้ดีต้องเป็นน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนมากหรือเย็นจัด แต่ก็ยกเว้นในบางกรณี เช่น ตอนเช้าถ้าเป็นไปได้ควรดื่มน้ำอุ่นเพราะจะช่วยในการขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น ลำไส้ก็จะสะอาดมากขึ้นตามไปด้วย

การดื่มนั้นที่ถูกต้องนั้น ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือจะให้ดีก็วันละ 14 แก้ว หรือโดยเฉลี่ยแล้วควรดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัวของคุณ เช่น ถ้าคุณมีน้ำหนัก 60 kg. ก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือประมาณ 10 แก้วนั่นเอง (กรณีนี้ให้นับรวมปริมาณอื่น ๆด้วย เช่น น้ำจากผักผลไม้ แกง ก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ ด้วย)

ในตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือก่อนแปรงฟัน ควรดื่มน้ำ 2-4 แก้ว เป็นน้ำอุ่น ๆ ได้ก็จะดีมาก

ในระหว่างวันควรดื่มน้ำ 1 แก้วทั้งก่อนและหลังมื้ออาหารทุก ๆ มื้อ และในระหว่างช่วงสาย บ่าย เย็น ก็ควรดื่มน้ำอีกครั้งละ 1 แก้ว

ในช่วงก่อนนอน น้ำอุ่น ๆ สัก 1 แก้วจะดีมาก

การดื่มน้ำควรดื่มครั้งละแก้ว และที่สำคัญไม่ควรดื่มรวดเดียวหลาย ๆ แก้ว เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ “น้ำเป็นพิษได้”

ประโยชน์ของน้ำอย่าดื่มน้ำมากเกินไปก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือถ้าจะดื่มก็ควรดื่มน้ำก่อนสักประมาณครึ่งชั่วโมง หรือ 45 นาที

 ในระหว่างรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ไม่ดี

ภายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จไม่ควรดื่มน้ำทันที เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยควรดื่มหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วครึ่งชั่วโมง

หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นและน้ำอัดลม เพราะน้ำเย็นจะไปดึงความร้อนในร่างกายมาทำให้น้ำที่เราดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิเท่ากับร่างกายจึงจะดูดซึมได้ ทำให้ร่างกายเสียเวลาในการปรับสมดุลและสูญเสียพลังงาน

สำหรับคุณผู้หญิงบางท่านที่มักมีอาการปวดประจำเดือน ช่วงที่มีประจำเดือนควรงดดื่มน้ำเย็น เพราะการดื่มน้ำเย็นจะทำให้อาการปวดทวีความรุนแรงมากขึ้น

ดื่มน้ำเป็น เห็นประโยชน์ นะคะ

 

 

 

Posted on Leave a comment

7 ✮เทคนิคช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7 เทคนิคช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ✮กินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ และเป็นเวลา ควรงดอาหารว่างระหว่างมื้อ ถ้าหิวให้ดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ให้พลังงาน เช่น น้ำเปล่า น้ำสมุนไพร เช่น น้ำตะไคร้ น้ำใบเตย (ไม่ต้องเติมน้ำตาล) จะลดความรู้สึกหิวลงได้

2. ✮ห้ามงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะทำให้กินมากขึ้นในมื้อต่อไป

3. ✮ปริมาณอาหารควรจัดให้สมดุลตลอดวันทั้งมื้อเช้า กลางวัน และเย็น โดยเฉพาะควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารหลัง 6 โมงเย็น หรือช่วงกลางคืน

4. ✮ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์ก็ให้พลังงานไม่น้อยเลยทีเดียว คือ 1 กรัมให้พลังงาน 7 แคลอรี่ และแอลกอฮอล์กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร แอลกอฮอล์ยังให้พลังงานเพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้สารอาหารอื่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลย

5. ✮ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองในการดื่มเครื่องดื่มโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวาน เนื่องจากน้ำตาลกระตุ้นให้เกิดการรับประทานมาก เช่นเดียวกับสารที่ให้รสหวาน

6. ✮ไม่ควรรีบกินอาหาร ควรเคี้ยวช้าๆ การกินเร็วจะทำให้กินอาหารมากเกินอัตรา

7. ✮ควรคำนึงอยู่เสมอว่า การกินทุกครั้งไม่ใช่เพราะความอยากอาหาร แต่กินเพราะร่างกายจำเป็นต้องใช้พลังงานและสารอาหารในการดำรงชีวิต อันก่อให้เกิดสุขภาพดี

 

 

Posted on Leave a comment

กล้ามเนื้อเยอะ/น้อย ไขมันเยอะ/น้อย เป็นยังไง?

ดความอ้วน, ลดน้ำหนัก, อาหารเสริมลดน้ำหนัก, ลดน้ำหนักแบบปลอดภัย, ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก, ลดพุง,แขนใหญ่,ขาใหญ่,ลดต้นแขน,ลดต้นขา

มาดูกันว่ารูปร่างของเรานั้นเป็นแบบไหนเมื่อเปรียบเทียบมวลไขมันกับกล้ามเนื้อ

กล้ามเนื้อน้อย ไขมันเยอะ : บุคคลเหล่านี้สามารถหาได้จากพวกที่ออกกำลังกายหนักๆ คาร์ดิโอมากๆ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อสลายไป เช่น คนที่ออกกำลังกายประเภทวิ่งอย่างเดียว หรือกลุ่มคนที่เลือกที่จะอดอาหารโดยรับสารอาหารประเภทโปรตีนน้อย

กับอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเลย เพราะไม่ได้มีการเสริมสร้างกล้ามเนื้อแต่ยังกินปกติทำให้เกิดไขมันสะสม ถ้าคุณเป็นคนกลุ่มเหล่านี้ให้ลองจับเนื้อตัวเองดูจะรู้สึกว่าเนื้อเหลวๆไม่เต่งตึง

กล้ามเนื้อน้อย ไขมันน้อย : นี่คือกลุ่มบุคคลที่ผอมมากๆ ไม่ว่าจะกินอะไรเข้าไปก็เหมือนรู้สึกว่าไม่ได้รับสารอาหารอะไรเลย เพราะร่างกายไม่เอาไปสะสม หรือเสริมสร้างกล้ามเนื้อ อาจจะเกิดเพราะเป็นโรค หรือกรรมพันธุ์แต่กำเนิด ถ้าจะเสริมสร้างร่างกายให้กับบุคคลกลุ่มนี้ คือคุณต้องกินให้เยอะกว่าคนปกติและเล่นให้หนักกว่าบุคคลปกติ

กล้ามเนื้อเยอะ ไขมันเยอะ : บุคคลกลุ่มนี้สามารถหาได้ตามฟิตเนสทั่วไป เพราะคนกลุ่มนี้จะมีรูปร่างที่ใหญ่โตมาก (bulk) เน้นที่จะออกกำลังกายประเภทเวทเทรนนิ่งอย่างเดียว และเน้นการรับประทานอาหารอย่างบ้าคลั่ง โดยที่ไม่ใส่ใจอัตราการเผาผลาญของร่างกาย ทำให้มีไขมันสะสมในร่างกายค่อนข้างเยอะ (แต่ก็ทำให้ตัวดูหนาๆ) มองภายนอกอาจดูเหมือนแข็งแรง แต่ถ้าลองจับเนื้อดู จะรู้สึกว่าเนื้อจะนิ่มๆ ไม่ได้เห็นกล้ามเนื้อเป็นสัดส่วนชัดเจนมาก เพราะมีชั้นไขมันอยู่เยอะ

กล้ามเนื้อเยอะ ไขมันน้อย : เชื่อว่าใครๆก็อยากจะเป็นบุคคลกลุ่มนี้ เพราะบุคคลกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มี Fat% ค่อนข้างน้อย แต่มีมวลกล้ามเนื้อเยอะ ทำให้มองเห็นกล้ามเนื้อเป็นสัดส่วนและชัดเจน ทำให้รู้สึกใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูสวย (ไม่ใส่ก็ยังสวยอ่ะ) แต่จะเป็นคนกลุ่มนี้ได้ต้องใส่ใจเรื่องโภชนาการและการออกกำลังกายเป็นพิเศษ

***ลองเลือกดูนะคะว่าตัวเองอยู่กลุ่มไหน และในอนาคตอยากเป็นกลุ่มไหน เมื่อเลือกได้แล้วก็จงทำให้สำเร็จจ้า

 

 

Posted on Leave a comment

ประโยชน์จากไข่ไก่ ทำไมทุกคนจึงควรทาน

ไข่ไก่เป็นของขวัญที่ได้มาจากธรรมชาติ อุดมด้วยคุณค่าทางอาหาร ถือเป็นคลังโภชนาการของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ไข่ไก่มีคุณประโยชน์อะไรบ้าง และสำหรับกลุ่มคนที่ต่างกัน รับประทานอย่างไรจะได้ผลดีที่สุด

ไข่ไก่มีโปรตีน เลซิธิน (lecithin) วิตามิน A วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน D แคลเซียม และธาตุเหล็ก ล้วนเป็นสารโภชนาการที่ร่างกายต้องการ อย่างเช่น เลซิธิน มีคุณประโยชน์ในการบำรุงสมอง เพราะส่วนประกอบสำคัญของสมองคือเลซิธิน ถ้ารู้สึกสมองไม่สดใส เมื่อย จะต้องเสริมเลซิธิน ไข่แดงอุดมด้วยเลซิธิน สามารถช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองฟื้นฟูความสดใสได้ วิตามิน B มีประโยชน์คลายความเครียด ช่วยทำให้น้ำตาลกลายเป็นพลังงาน ในไข่แดงทุก 100 กรัม มีธาตุเหล็กถึง 150 มิลลิกรัม สามารถช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดได้มากขึ้น

สำหรับผู้ที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ไข่ไก่เป็นอาหารที่ดีในการช่วยคลายความเครียด บรรเทาความเมื่อยล้า และฟื้นฟูกำลังวังชา

ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องมีสารโภชนาการ 7 ประเภท ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เซลลูโรส แร่ธาตุ ไขมัน และน้ำ ไข่ไก่มีเกือบทุกอย่างยกเว้นเซลลูโรส
แต่ถ้ารับประทานไข่ไก่มากเกินควรอาจจะทำให้กระเพาะและลำไส้ทำงานหนักขึ้น และต้องรับประทานไข่ไก่ที่สุกเต็มที่ เพราะถ้าสุกๆ ดิบๆอาจมีเชื้อโรคตกค้างอยู่

ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยรับประทานไข่ไก่ เพราะนึกว่าไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ความจริง ไข่แดงยังมีเลซิธินมากด้วย ซึ่งสามารถทำให้ไขมันและคอเลสเตอรอลสูง แต่ความจริง ไข่แดงยังมีเลซิธินมากด้วย ซึ่งสามารถทำให้ไขมันและคอเลสเตอรอลละลายเป็นเม็ดเล็กๆ จนขับออกจากหลอดเลือดได้ เป็นผลดีต่อการป้องกันหลอดเลือดตีบ รักษาความยืดหยุ่น ดังนั้น ผู้สูงอายุควรรับประทานไข่ไก่วันละ 1 ฟองเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ปัจจุบัน ผู้หญิงให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นต่อการรักษาหุ่น และลดความอ้วน ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ไม่ต้องอดอาหาร เพียงแต่รับประทานไข่ไก่ 2 ฟองในช่วงเช้าก็จะได้ผล

เพราะในไข่ไก่อุดมด้วยสารโภชนาการที่ร่างกายต้องการ และแต่ละฟองมีเพียง 75 แคลอรีเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแต่ได้รับสารอาหารอย่างพอเพียงเท่านั้น แต่ยังทำให้รู้สึกอิ่มท้องด้วย นอกจากนี้ วิตามิน B1 และวิตามิน B2 ในไข่ไก่มีส่วนช่วยขจัดไขมัน และธาตุเหล็กในไข่ไก่สามารถช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือด ทำให้ใบหน้าสดใสด้วย

 

 

Posted on Leave a comment

5 วิธีเผาผลาญไขมันในที่ทำงาน

   ในวันทำงาน ขณะที่คุณต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โต๊ะทำงาน สำหรับคนที่ตระหนักถึงการดูแลรักษาสุขภาพ

   คุณสามารถกระตุ้นประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ด้วยวิธีการต่อไปนี้

1. การใช้โทรศัพท์: โดยปกติเรามักจะนั่งคุยโทรศัพท์ ซึ่งถ้าทำแบบนั้นนานๆ มักเกิดความเมื่อยล้า ลองเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการลุกขึ้นยืนในขณะที่คุยโทรศัพท์ แล้วค่อยๆ เขย่งปลายเท้าขึ้น-ลง เป็นระยะๆ จะช่วยให้คุณได้ออกกำลังกล้ามเนื้อส่วนน่องไปด้วย

2. ดื่มน้ำครั้งละน้อยๆ แต่ดื่มบ่อยๆ: พยายามหาวิธีที่ทำให้คุณต้องเดินไปรินน้ำดื่ม 1 แก้วทุกๆ ครึ่งชั่วโมง การทำเช่นนั้นเป็นการบังคับให้คุณต้องลุกขึ้นเดินทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ซึ่งการดื่มน้ำบ่อยๆ จะเกิดผลดีต่อสุขภาพของคุณอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณรู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมาและอยากเข้าห้องน้ำ คุณก็จะได้ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นจากการเดินไปห้องน้ำ และการลุกขึ้นเดินบ่อยๆ ยังช่วยให้คุณได้เปลี่ยนอิริยาบถ แทนที่จะนั่งทำงานอยู่เป็นเวลานาน

3. ออกกำลังที่โต๊ะทำงาน: ขณะที่นั่งทำงาน คุณสามารถออกกำลังกล้ามเนื้อต้นขา หน้าท้องและบั้นท้าย โดยการนั่งตัวตรง งอเข่า ขาชิดกัน เหยียดขาให้ฝ่าเท้าแนบราบกับพื้น จากนั้นให้พยายามยกเท้าขึ้นจากพื้นสูงประมาณ 4-5 นิ้ว ทำพร้อมกับการเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาและบั้นท้าย ค้างไว้สัก 5 วินาที ทำซ้ำๆ บ่อยๆ ยิ่งมากได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี

4. อาสาช่วยเหลือเพื่อนๆ ในที่ทำงาน: เช่น ชงกาแฟ ถ่ายเอกสาร ฯลฯ นอกจากทำให้คุณได้ยืดเส้นยืดสายไปในตัว ยังเป็นการเอาอกเอาใจเพื่อนๆ ให้มีความรู้สึกที่ดีต่อคุณได้อีกทางหนึ่ง

5. ไม่สั่งอาหารกลางวันมาทานในออฟฟิศ: แม้ว่างานจะยุ่งสักเพียงใด การสั่งอาหารมื้อเที่ยงเข้ามาทานไม่เป็นการดีต่อคุณเลย พยายามสละเวลาออกไปทานมื้อเที่ยงข้างนอก เพื่อให้คุณได้ขยับแข้ง-ขา ยืดเส้นยืดสายไปในตัว เมื่อทานมื้อเที่ยงเสร็จ การเดินกลับที่ทำงานจะช่วยย่อยอาหารและเป็นการออกกำลังกายไปในตัว

5 ข้อที่กล่าวมา คงทำให้หลายคนสุขภาพดีขึ้น หากนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง