Posted on Leave a comment

สรรพคุณของพริก

สรรพคุณของพริก

เมื่อเอ่ยถึงพริกทุกคนคงรู้สึกได้ถึงความเผ็ด แต่พริกก็เป็นเครื่องเทศหลักที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน คุณรู้ไหมว่านอกจากความเผ็ด จัดจ้านของพริกแล้ว พริกยังมีประโยชน์อีกมากมาย

พริก…ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวาง ระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก…ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจาก

พริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก…ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก…ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้
พริก…ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวด อันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไม เกรนลงได้

พริก…ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส
ไม่น่าเชื่อว่าพริกเม็ดเล็กๆที่เป็นส่วนประกอบของอาหารหลายอย่างจะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้ แต่ก็อย่ากินมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการแสบปาก แสบท้องได้

เคล็ดลับดูแลรูปร่าง เดนิมพลัส วันละเม็ด เผาผลาญไขมันสะสม ดักจับไขมัน บล็อคแป้ง ไม่ต้องอดอาหาร ไม่โย่ ไม่โทรม ปลอดภัย GMP ฮาลาล อย.

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
Posted on

โยโย่ เอฟเฟค คืออะไร??

โยโย่

โยโย่ เอฟเฟค

โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) 
โยโย่เอฟเฟค คือ การที่ร่างกายของเราเข้าสู่โหมดที่ต้องการเอาชีวิตรอด เกิดจากการที่เราทำการลดน้ำหนักแบบเอาเป็นเอาตายด้วยการอดอาหาร กินยาลดความอ้วน หรือออกกำลังอย่างหนักหน่วงจนทำให้น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายเข้าใจผิดคิดว่าร่างกายกำลังจะตาย เมื่อร่างกายรู้สึกว่าจะต้องตาย ร่างกายก็จะทำการส่งสัญญาณไปยังทุกระบบของร่างกายให้ลดการใช้พลังงานอย่างเร่งด่วน เพื่อที่ร่างกายจะได้มีพลังงานเก็บไว้ใช้ได้นานขึ้นจะได้มีชีวิตรอดยาวนานขึ้นนั่นเอง 

เมื่อร่างกายมีสัญญาณดังกล่าวออกมาจะทำให้ระบบการเผาผลาญและระบบการสลายไขมันเกิดน้อยลงตามไปด้วย ส่งผลให้น้ำหนักตัวที่เคยลดลงอย่างรวดเร็วหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อน้ำหนักไม่ลดตามที่ต้องการก็จะก่อให้ความเครียด ความเครียดที่ก่อตัวขึ้นในร่างกายจะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเกรลิน ( Grelin Hormone ) ที่เป็นฮอร์โมนแห่งความหิวออกมามากขึ้นและถ้าร่างกายมี 

ฮอร์โมนเกรลินมาก ๆ จะทำให้เราหิวจนตาลาย ส่งผลให้เรากินมากกว่าปกติโดยที่เราไม่รู้ตัว เป็นเหตุให้เราได้รับพลังงานมากกว่าที่เราใช้ไป แบบนี้เราจึงอ้วนมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง นี่คือกระบวนการที่ทำให้เกิด “ โยโย่เอฟเฟค ” ที่หลายคนรู้จักกัน
เรารู้จักกับการเกิดโยโย่เอฟเฟคกันแล้ว ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าเราจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอาการโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect )

โดยปกติแล้วผู้ชายจะมีการเผาผลาญพลังงานวันละประมาณ 2,000 Kcal ส่วนผู้หญิงจะมีการเผาผลาญพลังงานน้อยกว่าผู้ชายโดยผู้หญิงจะมีการเผาผลาญพลังงานวันละ 1,800 Kcal ถ้าเราได้รับพลังงานมากกว่าที่เราใช้ไปต่อวัน

พลังงานส่วนที่เหลือก็จะเข้าไปสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกายทำให้น้ำหนักตัวของเราเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันถ้าเราได้พลังงานน้อยกว่าที่ใช้ไปในแต่ละวัน ร่างกายก็จะทำการดึงไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายมาใช้ โดยการเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานกับร่างกายทำให้น้ำหนักตัวของเราลดลง

เชื่อหรือไม่ว่าถ้าเราสามารถลดพลังงานที่รับเข้าสู่ร่างกายได้ 7,000 Kcal เราจะสามารถลดไขมันไปได้ถึง 1 กิโลกรัมเลยทีเดียว นั่นหมายถึงว่าน้ำหนักของเราก็จะลดลง 1 กิโลกรัม

แสดงว่าถ้าในผู้หญิงได้รับพลังงานเข้าไปวันละ 800 Kcal เราก็จะต้องดึงพลังงานจากไขมันภายในร่างกายมาใช้ 1,000 Kcal ต่อวัน นั่นหมายถึงว่าใน 1 สัปดาห์เราจะสามารถดึงพลังงานในร่างกายมาใช้ 7,000 Kcal

นั่นหมายความว่าเราจะสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 1 กิโลกรัมเชียวนะ แบบนี้ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ภายใน 1 เดือนเราก็จะลดน้ำหนักได้ 4 กิโลกรัม และถ้าลดต่อไปจนครบ 1 ปี ก็จะสามารถน้ำหนักได้มากถึง 48 กิโลกรัมเลยทีเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นร่างกายของคนเราก็คงจะเหลือแต่กระดูกแน่ ๆ

แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เราคิดช่างตรงข้ามกับความเป็นจริงเสียเหลือเกิน เพราะว่าถ้าเรามีการลดน้ำหนักที่รวดเร็วเกินไปร่างกายของเราก็จะเข้าสูโหมดการเอาชีวิตรอดหรือโยโย่ เอฟเฟค ส่งผลให้การลดของน้ำหนักจะหยุดลงอย่างกะทันหันและยังทำให้ร่างกายรู้สึกหิวต้องการพลังงานมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้มีชิวิตอยู่ต่อไป บางคนกินมากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่าอิ่มเสียที มารู้สึกตัวอีกทีน้ำหนักตัวก็ขึ้นเป็นทวีคูณเสียแล้ว

วิธีลดน้ำหนักโดยไม่ทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟค
การเกิดโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect ) เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะว่านอกจากจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้วยังส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมในอนาคตอีกด้วย ซึ่งการลดน้ำหนักโดยที่จะไม่ทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟคในภายหลังสามารถทำได้ดังนี้

อาหาร5หมู่

1.กินให้เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายกันโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect )
การอดอาหารสามารถช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ก็จริงอยู่ แต่การลดน้ำหนักด้วยวิธีจะส่งผลน้ำหนักลดลงในช่วงแรกเท่านั้นและจะทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมดกลัวตายหรือโยโย่เอฟเฟคได้ง่าย ดังนั้นถ้าเราต้องการลดน้ำหนักอย่างได้ผลและไม่มีโยโย่เอฟเฟคเกิดขึ้น เราต้องกินอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เน้นการกินอาหารประเภทโปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์และเกลือแร่ ลดการกินอาหารที่เป็นแป้ง ไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง เพราะเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอในปริมาณที่เหมาะสมจะส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายจะอยู่ในสภาวะสมดุล การลดน้ำหนักที่เกิดขึ้นก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องและได้ผลในระยะยาว

ออกกำลังกาย

2.ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับร่างกาย
การออกกำลังเพื่อลดน้ำหนักไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างหักโหมเท่านั้นจึงจะสามารถลดน้ำหนักได้เท่านั้น เพราะเพียงแค่เราขยับร่างกายให้มากขึ้นกว่าปกติก็จะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้เพิ่มสูงขึ้นได้แล้ว ซึ่งการออกกำลังกายที่ดีควรเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับอายุ เพศและสุขภาพของผู้ออกด้วย เพราะว่าร่างกายของแต่ละคนนั้นจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ทั้งรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ รวมถึงระบบการเผาผลาญพลังงานด้วย บางคนเผาผลาญพลังงานได้ดี บางคนเผาผลาญพลังงานได้น้อยแม้ว่าจะทำกิจกรรมที่เหมือนกัน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้การเผาผลาญพลังงานของแต่ละคนต่างกัน คือ เพศ อายุ มวลกล้ามเนื้อในร่างกาย และลักษณะทางพันธุกรรมที่ได้รับถ่ายทอด ซึ่งเราสามารถหาค่าการเผาผลาญพลังงานของตัวเองได้ดังนี้

เคล็ดลับดูแลรูปร่าง เดนิมพลัส วันละเม็ด เผาผลาญไขมันสะสม ดักจับไขมัน บล็อคแป้ง ไม่ต้องอดอาหาร ไม่โย่ ไม่โทรม ปลอดภัย GMP ฮาลาล อย.

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
Posted on

9 คาถาชีวิตมีสุข

9 คาถาชีวิตมีสุข

9 คาถาชีวิตมีสุข 

ปัจจุบันวิทยาการเทคโนโลยีมีความก้าวหน้า . คนอยู่ต่างสถานที่กันแม้ไกลคนละซีกโลกก็สามารถติดต่อกันได้ . เสมือนอยู่ต่อหน้ากัน นั่งคุยกัน ความเจริญทางเทคโนโลยีทำให้การดำเนินชีวิตสะดวกสบาย . แต่ในความสะดวกสบายนั้นจริงๆแล้ว . มีความสับสนวุ่นวายเต็มไป ด้วยการแข่งขัน . ความเร่งรีบ . โดยเฉพาะในสังคมเมือง . เช่นกรุงเทพ . เมืองหลวงของเรา . ซึ่งคนในเมืองต้องผจญกับความเครียดอย่างหนัก . จนเกิดโรคภัยต่างๆไม่ว่าจะเป็นโรคความดันสูงโรคหัวใจ . โรคไขมันหลอดเลือดสูง . หรือแม้แต่โรคมะเร็ง . เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว   มีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขกาย สบายใจได้ ขอเสนอวิธีการสั้นสั้นง่ายๆ เพื่อการดำรงชีวิตที่จะทำให้เกิดความสุขกายสบายใจ  ซึ่งสามารถท่องจำให้ขึ้นใจและนำไปปฏิบัติได้อย่างจริงจัง ย่อมเห็นผลอย่างแท้จริงแน่นอน
เริ่มแรกการปฎิบัติ 9ข้อง่ายๆ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เกิดสุขภาพกายที่ดี ดังนั้นคือ

1.ดื่มน้ำมากๆ
2.รับประทานอาหารเช้าให้เต็มอิ่มและทานมื้อกลางวันลองลง สุดท้ายทานมื้อเย็นให้น้อย
3.รับประทานอาหารที่ปรุงด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติให้มากขึ้นลดละอาหารที่ผ่านการแปรรูป
4. รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่
5. ไม่ดื่มของมึนเมาไม่สูบบุหรี่
6. อย่าทำงานหักโหมมากเกินไป ถ้าวันนี้ทำไม่สำเร็จหยุดพักและค่อยทำใหม่อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
7. เดินออกกำลังกายทุกๆวันวันละ 10 – 30 นาที
8. ทำสมาธิอย่างน้อยครั้งละ 10 นาทีเป็นประจำทุกวันและสวดมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืน
9. นอนหลับพักผ่อนวันละ 7 ชั่วโมง 

เมื่อสุขภาพกายดีแล้วก็ต้องตามด้วยสุขภาพใจที่ดี   เพื่อให้ชีวิตมีความสุขสบายอย่างแท้จริงก็คือควรปฏิบัติตาม9ข้อต่อไปนี้

1. อย่าเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่นเพราะคุณไม่รู้หรอกว่าเส้นทางชีวิตของเค้าเป็นอย่างไร
2. อย่ามัวแต่คิดในแง่ร้ายหรือหมกมุ่นในสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้แต่คนทุ่มเทพละกำลังและคิดในด้านดีกับสิ่งที่กำลังทำอยู่
3. เพิ่งละลึกเสมอว่าไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือร้ายอย่างไรย่อมมีวันสิ้นสุดและเปลี่ยนแปลง
4. อย่ามัวแต่ซุบซิบนินทาเพราะเปลืองทั้งแรงกายและแรงใจ
5. จงลืมเรื่องราวในอดีตเสียและอย่าทำให้คนใกล้ตัวรู้สึกถึงความผิดพลาดที่เขาหรือเธอเคยกระทำเพราะมันจะทำลายความสุขของคุณจนหมดสิ้น
6. ชีวิตคนเราสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาโกรธแค้นใครคนใดคนหนึ่งไปตลอดฉะนั้นควรเลิกโกรธเกลียดผู้อื่น
7. ให้อภัยกับเรื่องในอดีตเพื่อที่มันจะได้ไม่ทำร้ายปัจจุบันของคุณ
8. จำไว้ว่าไม่มีใครทำให้คุณมีความสุขได้นอกจากตัวคุณเอง
9. จงยิ้มและหัวเราะให้มากขึ้น

จะเห็นได้ว่าข้อปฏิบัติที่กล่าวมานั้นสามารถปฏิบัติตามได้อย่างง่ายดายและได้ผลอย่างแน่นอนดังนั้นเพื่อให้ชีวิตมีความสุขกายสบายใจลองนำไปปฏิบัติดูนะคะรับรองเกิดผลดีแน่นอน

789beauty  Share Healthy Space

Posted on

กินหวาน โมโหง่าย

กินหวาน โมโหง่าย

การกินหวาน โมโหง่าย จริงหรือ?

กินหวาน โมโหง่าย เวลาที่เรา โมโห หรือ หงุดหงิดอะไรสักอย่าง เคยเจอเพื่อน แซวกันมั้ยว่า “ไปกินหวานมาเยอะใช่มั้ย” “เพิ่งไปกินน้ำตาลมาหรอ” และอีกคำสารพัดที่ไปโยงความหงุดหงิดเข้ากับความหวาน จนมีความเชื่อเกิดขึ้นมาว่า “กินหวานแล้วโมโหง่าย” หรือแม้กระทั่ง อย่าให้สุนัขกินของหวาน เพราะจะทำให้มันดุ
.
ความเชื่อนี้ ไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อที่พูดกันเล่นๆ เท่านั้นนะ เพราะนักวิทยาศาสตร์มีการทดลองอย่างจริงจังเพื่อพิสูจน์ว่ากินน้ำตาลมากไปจะทำให้โมโหและหงุดหงิดง่ายจริง วิธีการทดลองมีอยู่ว่า ไม่ให้ผู้ทดลองกินน้ำตาลอย่างเด็ดขาด ดังนั้นอาหารที่ทำให้ผู้ทดลองทานก็จะใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาล และใช้น้ำผลไม้แทนน้ำอัดลม เวลาผ่านไปสามเดือน พบว่าสถิติการทะเลาะวิวาทของผู้ทดลองลดลงถึง 45% ทีเดียวเชียว
.
สาเหตุที่ทำให้น้ำตาลกลายเป็นปัจจัยให้คนเราหงุดหงิดง่ายขึ้น เป็นเพราะว่า เวลาที่เรากินน้ำตาลเข้าไปมากๆ จะถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสและถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ปริมาณน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
.
กฏของร่างกายมีอยู่ว่าถ้ามีปริมาณน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น สมองจะสั่งการให้หลั่งอินซูลินออกมาเพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดลง และตับอ่อนก็จะทำงานหนัก แต่ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้เครียด สมองก็จะส่งสัญญาณเตือนมาอีกและหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลินออกมา ซึ่งถ้ามากเกินไปจะทำให้การควบคุมจิตใจเป็นไปไม่ปกติ เลือดร้อน โมโหง่าย หงุดหงิดง่าย และก้าวร้าวอีกด้วย
.
พฤติกรรมก้าวร้าว โมโหฉุนเฉียว เชื่อว่าเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมากันโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้ด้วยว่าเป็นผลที่อาจเกิดได้จากการกินน้ำตาลมากจนเกินไป ดังนั้นถ้าเรา ปรับลดพฤติกรรมการกินหวานหรือลดการตักน้ำตาลไปบ้าง ก็น่าจะเป็นผลดีกับน้องๆ ทำให้สภาพจิตใจเป็นปกติ สดใสสมเป็นวัยรุ่น และที่สำคัญช่วยลดอาการร่างกาย “ติดหวาน” จนเป็นที่มาของโรคในอนาคตด้วยค่ะ
.
นับวันยิ่งเห็นโทษของการกินของหวานโดยเฉพาะน้ำตาล แม้ว่าความหวานจะทำให้อาหารที่อยู่ตรงหน้าอร่อยขึ้น แต่โทษของมันก็มีมากกว่าที่คิด ไหนจะทำให้เกิดโรคอ้วน เบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูง แล้ว ยังทำให้เราดุ โมโหง่าย หงุดหงิดง่าย หลายเป็นคนก้าวร้าวอีกต่างหาก ดังนั้นต่อไปนี้ใครบอกว่ากินขนมหวานแล้วอารมณ์ดีขึ้น ต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่ เพราะอย่าลืมว่าของหวานทุกชนิดมักใช้น้ำตาลเป็นส่วนผสม ถ้ากินเยอะเกินไป จะกลายเป็นคนอารมณ์เสียได้นะคะ

กินหวาน โมโหง่าย10 เคล็ดลับ
ควบคุมน้ำตาล

1 กินเป็นประจำ
สิ่งที่ทำให้เกิดความอยากน้ำตาล ร่างกายของคุณต้องการแหล่งคงที่ของพลังงานไม่สูงและต่ำดังนั้นเคล็ดลับแรกของเราในการที่จะควบคุมความอยากน้ำตาล – ไม่ข้ามมื้ออาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเช้าและให้แน่ใจว่าจะได้รับความอุดมสมบูรณ์ของโปรตีนที่มีเกือบทุกมื้อการรับประทานเป็นประจำจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณมีเสถียรภาพและช่วยให้หลีกเลี่ยงการกระ

2. รักษามันเช่นดีท็อกซ์
ถ้าคุณจะไปสำหรับการลดความรุนแรงในการบริโภคน้ำตาลของคุณแล้วคุณควรจะใช้กระบวนการนี้อย่างจริงจังน้ำตาลเป็นเสพติดและสัปดาห์แรกที่คุณลดน้ำตาลอาจจะมีบิตอึดอัดคุณอาจจะได้สัมผัสกับความอยากจึงได้เตรียมที่สำหรับพวกเขาตัดออกน้ำตาลในเวลาเมื่อคุณเครียดน้อยที่สุดและไม่เพียง

3. ล้างออกล่อลวง
เคล็ดลับเกี่ยวกับวิธีการควบคุมความอยากน้ำตาลก็คือ – ทำความสะอาดออกตู้เย็นและตู้ของทุกคนถือว่าดึงดูดและของว่างและทำให้ตัดสินใจอย่างมีสติที่จะไม่สต็อกของพวกเขาเมื่อคุณไปช้อปปิ้งการถอดสิ่งล่อใจสำหรับการเข้าถึงง่ายจะทำให้ง่ายขึ้นที่จะเอาชนะความอยาก

4. เตรียมความพร้อมทางเลือกบางอย่าง
ให้เลือกอาหารมื้อเพื่อตุนถือว่าสุขภาพแทนของขนมหวานเลือกบางสิ่งที่ดีต่อสุขภาพที่คุณไม่ชอบเช่นบลูเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่, แอปเปิ้ล, พีช, โยเกิร์ต, ถั่ว, ผลไม้แห้งหรือผสมเส้นทางขนมทางเลือกเหล่านี้จะลดความอยากความหวานและให้คุณเพิ่มสุขภาพที่ดีของพลังงานและสารอาหารที่มากเกินไป

5. การทดสอบกับอาหารอื่น ๆ
ปลายของเราต่อไปเกี่ยวกับวิธีการควบคุมความอยากน้ำตาลและ วิธีการทำลายยาเสพติดน้ำตาล นี้เป็นโอกาสที่จะทดสอบกับอาหารและลองสิ่งที่คุณไม่เคยกินมาก่อน.ทางเลือกในการหาอาหารที่มีน้ำตาลที่ยังคงทำให้คุณรู้สึกดีและให้พลังงานที่คุณต้องการสิ่งที่คุณอาจคิดว่าเป็นความอยากก็อาจจะเป็นผลมาจากนิสัยและแทนที่ขนมหวานกับคนที่มีสุขภาพดีมากขึ้นจะมากขึ้นกว่าไม่อาหารว่างที่ทั้งหมด

6. ผักหวานในอาหารของท่าน
ทุกคนได้รับความอยากอาหารหวาน แต่คุณไม่ได้เกินน้ำตาลที่จะตอบสนองความอยากที่อีกข้อเสนอแนะที่ดีในการที่จะควบคุมความอยากน้ำตาลคือการทำวิธีที่มีสุขภาพดี: เพิ่มความหวานในอาหารของคุณโดยการเพิ่มผักหวานมื้ออาหารของคุณผักเช่นมันฝรั่งหวานกะหล่ำปลีสีเขียวหัวผักกาดและแครอทจะช่วยในการรักษาเสถียรภาพ

7. ใช้น้ำยาบ้วนปากบาง
เมื่อคุณได้รับความอยากที่แข็งแกร่งที่แท้จริงสำหรับน้ำตาลลองทำความสะอาดฟันของคุณและจากนั้นล้างด้วยน้ำยาบ้วนปากบางรสชาติที่แข็งแกร่งของน้ำยาบ้วนปากจะทำให้อาหารที่มีน้ำตาลน้อยดูเหมือนน่าสนใจ

8. ถ้าคุณจะต้องรักษาแล้วทำให้มันเป็นหนึ่งที่ดี
ถ้าคุณไม่สามารถต้านทานการกระตุ้นสำหรับรักษาหวานแล้วซื้ออาหารที่มีคุณภาพดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ชิ้นส่วนที่มีคุณภาพสูงช็อคโกแลตหรือส่วนเล็ก ๆ ของไอศครีมรสเลิศจะตอบสนองความอยากน้ำตาลของคุณจะดีกว่า

9. เคี้ยวหมากฝรั่งน้ำตาลฟรี
การเคี้ยวหมากฝรั่งน้ำตาลฟรีจะช่วยลดความอยากความหวานรักษาก้อนของน้ำตาลหมากฝรั่งฟรีกับคุณและเวลาถัดไปที่คุณกระหายการรักษาหวานเคี้ยวว่าสำหรับขณะที่และมันจะทำให้ความอยาก

10. วิธีการควบคุมความอยากน้ำตาล? ไม่ต้องพึ่งพาสารให้ความหวานเทียม
สิ่งที่ต้องการโซดาอาหารที่มีสารให้ความหวานเทียมไม่ได้ช่วยให้คุณลดความอยากของคุณเพราะพวกเขาหลอกร่างกายของคุณในความคิดที่ได้รับการขัดขวางน้ำตาลในเลือดเช่นเดียวกับยาเสพติดใด ๆ

รู้เคล็ดลับควบคุมน้ำตาลกันแล้ว ลดเสี่ยง!! โรคชุดกัน ดูแลสุขภาพกันต่อไปนะคะ เราจะสวยและสุขภาพดีไปพร้อมๆกันจ้า

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
Posted on

5ข้อดีโยเกิร์ต

โยเกิร์ต

โยเกิร์ต5ข้อดี

1.ช่วยให้นอนหลับง่าย โยเกิร์ตมีส่วนประกอบของนม ในโยเกิร์ตจึงมีทริปโตเฟน กรดอะมิโนที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกง่วงนอน และทริปโตเฟนยังจะช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนิน ฮอร์โมนที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับง่ายกว่าเดิม
2.ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ในโยเกิร์ตมีโพรไบโอติกส์ แบคทีเรียชนิดดีต่อลำไส้และระบบย่อยอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย พร้อมทั้งโพรไบโอติกส์ยังจะช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งผลให้สุขภาพโดยรวมของร่างกายดีขึ้นด้ว โดยเฉพาะหากกินโยเกิร์ตตอนท้องว่าง ในช่วงเช้า หรือก่อนเข้านอน จุลินทรีย์ชนิดดีและโพรไบโอติกส์จะเข้าไปจัดระเบียบบรรดาสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ภายในกระเพาะอาหารและลำไส้ เช้ามาก็จะขับถ่ายคล่องตัวและง่ายขึ้นกว่าเดิม
3.ช่วยดีท็อกซ์ร่างกาย หลังจากโยเกิร์ตได้เข้าไปกระตุ้นระบบขับถ่ายแล้ว การที่ร่างกายขับถ่ายได้ดีขึ้น ก็เหมือนได้ดีท็อกซ์ลำไส้ไปในตัว ที่สำคัญยังจะส่งผลดีต่อการดูดซึมสารอาหารอีกด้วย ยิ่งกับคนที่มีพุงและรู้สึกอึดอัดท้อง ถ่ายยาก การได้รับโพรไบโอติกส์จากโยเกิร์ตเป็นประจำจะช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายได้ คราวนี้พุงที่เคยป่องและอึดอัดก็จะยุบลง เพียงกินโยเกิร์ตก่อนนอนติดต่อกันอย่างน้อย 1 สัปดาห์เท่านั้น
4.ช่วยควบคุมน้ำหนัก กินโยเกิร์ตก่อนนอนอ้วนไหม หลายคนกังวลตรงจุดนี้ ซึ่งก็ตอบเลยว่า โยเกิร์ตเป็นของว่างก่อนนอนที่ช่วยคลายหิวให้คนชอบกินมื้อดึกได้เป็นอย่างดี เพราะโยเกิร์ตมีโปรตีนซึ่งจะทำให้อิ่มอยู่ท้องแบบสบาย ๆ อีกทั้งโยเกิร์ตยังจัดเป็นอาหารแคลอรีต่ำ เหมาะสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักจะกินแก้หิวยามดึกได้ แต่ทั้งนี้ก็ควรเลือกโยเกิร์ตไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย หรือรสธรรมชาติ รวมไปถึงต้องคุมอาหารในระหว่างวัน ร่วมกับหมั่นออกกำลังกายด้วย
5.เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ระหว่างที่เรานอนหลับร่างกายจะมีกระบวนการเสริมสร้างและฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอ ซึ่งการกินโยเกิร์ตก่อนนอนก็จะช่วยเสริมโปรตีนให้ร่างกายดึงไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะคนที่ออกกำลังกายแบบใช้กล้ามเนื้อหนัก ๆ การกินโยเกิร์ตที่มีโปรตีนก่อนเข้านอนก็จะช่วยฟื้นฟูมวลกล้ามเนื้อที่เสียหาย พร้อมกันนั้นก็ช่วยป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อในระหว่างที่หลับไป ทว่าก็ควรเลือกกินโยเกิร์ตที่มีโปรตีนสูง ๆ อย่างกรีกโยเกิร์ต

ว้าว รู้จักประโยชน์ของโยเกิร์ตกันแล้ว ไปรับประทานโยเกิร์ตกันค่ะ แอดมินขอเป็นรสธรรมชาติละกันคร้า

เคล็ดลับดูแลรูปร่าง ตัวช่วยตอบโจทย์ เดนิมพลัส

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
Posted on Leave a comment

25ประโยชน์ของขนุน

25ประโยชน์ของขนุน

25ประโยชน์ของขนุน

25ประโยชน์ของขนุนใครจะรู้ ว่าแค่กินขนุนนั้น จะส่งผลต่อร่ายกายมากขนาดนี้ ประโยชน์ของมันมีมากจริงๆ ใครอ่านจบแล้วรีบไปซื้อมากินด่วน

ขนุน นอกจากจะมีความอร่อยแล้ว อีกทั้งหลายๆส่วนยังสามารถนำมาประกอบเป็นขนมและอาหารได้อีกด้วย แต่รู้หรือไม่ขนุนนั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด วันนี้มี 25ประโยชน์ของขนุนที่คุณไม่รู้มาก่อน

1.ลดการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
สำหรับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้าลองนำเม็ดขนุนจุ่มนมเย็นและนำมาคลึงบนหน้าเบาๆ วิธีนี้จะช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าได้อย่างดี (ลองทำต่อเนื่องอย่างน้อย 6 สัปดาห์)

2.ลดอาการท้องผูก
สรรพคุณของเม็ดขนุนใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยเส้นใยที่จะเข้าไปล้างพิษ

4.โปรตีนสูง
เม็ดขนุนมีโปรตีนสูง สำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักลองเปลี่ยนจากกินถั่วมากินเม็ดขนุน (ต้ม) ก็ช่วยได้

5.ช่วยให้ผมสวยสุขภาพดี
ทานเม็ดขนุนสามารถช่วยในการไหลเวียนของเลือด เป็นผลดีกับผมช่วยให้เส้นผมยาวเร็วขึ้นอีกด้วย

6.มีวิตามินเอ
เม็ดขนุนเป็นแหล่งรวมวิตามินที่ดีสำหรับเส้นผม ป้องกันผมไม่ให้แห้งกร้านและเปราะบาง

7.สร้างภูมิคุ้มกัน
เป็นแหล่งวิตามินซีและมีสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถสร้างระบบคุ้มกันให้แข็งแรงปกป้องอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่น ไอ ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่

8.ให้พลังงาน
ขนุนอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต แคลอรี่รวมไปถึงน้ำตาลฟรุกโตส เป็นผลไม้ที่ไม่มีคอเรสเตอรอล กินได้ปลอดภัยสุขภาพดีชัวร์

9.ปกป้องการเกิดโรคมะเร็ง
ขนุนมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่สามารถป้องกันจากโรคมะเร็งได้ และป้องกันมะเร็งในช่องปาก

10.รักษาความดันโลหิต
ขนุนมีโพแทสเซียมที่ช่วยลดระดับความดันโลหิตสูงและบำรุงหัวใจ

11.ช่วยปรับการย่อยอาหารให้ดีขึ้น
ขนุนอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่เหมือนเป็นตัวช่วยหรือยาระบาย ช่วยย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องผูก

12.ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
ขนุนมี high in dietary fats จึงสามารถช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากสารพิษในลำใส่ใหญ่และป้องกันมะเร็งที่อาจะเกิดขึ้นได้ นอกจากนั้นสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วย ป้องกันริ้วร้อยที่เกิดจากวัยและความเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อและอวัยวะของร่างกาย หรือที่เราเรียกว่า โรคเสื่อมนั่นเอง

13.บำรุงสายตา
เนื้อขนุนมีวิตามินและสารอาหารที่สำคัญต่อดวงตา และมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันต้อกระจกและประสาทตาเสื่อม

14.ดีต่อผิวลดริ้วรอย
ปัจจัยทั้งเรื่องอายุที่เพิ่มขึ้นและวัยหมดประจำเดือน รังสียูวี หรือมลพิษต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายดูแก่ก่อนวัย ขนุนมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัยและลดริ้วรอย

15.โรคหอบหืด
บรรเทาอาการหอบของคนที่เป็นโรคหอบหืดได้ ปัจจุบันมีผู้เป็นโรคหอบหืดหรือโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจจำนวนไม่น้อย

16.เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
ขนุนอุดมไปด้วยแมกนีเซียมสร้างเสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ขนุนมีโพแทสเซียมจะเข้าไปช่วยลดการสูญ เสียแคลเซียมในไตและเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก

17.ห่างไกลโรคโลหิตจาง
ขนุนเต็มไปด้วยวิตามิน เอ ซี อี และเค มีไนอาซิน วิตามิน บี6 โฟเลต กรด pantothenic ทองแดงแมงกานีสและแมกนีเซียมที่จำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือด นอก จากสามารถดูดซึมธาตุเหล็กแล้วยังสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้ด้วย

18.บรรเทาอาการหวัด
เนื่องจากอุดมด้วยวิตามินซีจึงสามารถช่วยป้องกันอาการหวัดและการติดเชื้อได้ เพียงคุณรับประทานขนุน 5 – 6 ชิ้นคุณก็จะได้รับทั้งสารต้านอนุมูลอิสระและการเสริม สร้างระบบภูมิคุ้มกัน

19.ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจเกิดจากการขาดแมงกานีส โดยในขนุนมีแมงกานีส (จากข้อ17) จึงช่วยลดหรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

20.ป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก
ขนุนอุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง พบว่าคนที่ได้รับแมกนีเซียมและโพแทสเซียม จะมีมวลกระดูกสูงและกระดูกแข็งแรง ถ้าสงสัยว่ามวลกระดูกตรงนี้มีผลต่อร่างกายอย่างไร ลองนึกถึงคนที่มีมวลกระดูกน้อย ๆ พออายุมากขึ้นกระดูกสันหลังจะสึก กร่อนทีละนิด ทำให้หลังค่อมหรือดูตัวเตี้ยลงนั่นเอง ส่วนคนที่อายุยังน้อยเมื่อเกิดอุบัติเหตุอาจจะส่งผลให้กระดูกหักง่ายนั่นเองค่ะ

21.ช่วยให้ต่อมไทรอยด์มีสุขภาพดี
คอปเปอร์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับขบวนการเมตาบอลิซึมของต่อมไทรอยด์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการดูดซึมและการผลิตฮอร์โมน ซึ่งขนุนก็เป็นตัวตอบโจทย์ได้ดีเลยที เดียวเพราะเต็มไปด้วยแร่ธาตุที่มีประสิทธิภาพต่อกระบวนการดังกล่าวและทำให้อัตราการเผาผลาญเป็นไปด้วยดีต่อสุขภาพ

23.ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน
ขนุนเป็นประโยชน์ต่อดวงตาอย่างมากและอุดมไปด้วยวิตามินเอที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตาบอดกลางคืนได้
*** อาการตาบอดกลางคืน คือ ผู้ที่มองเห็นภาพวัตถุในที่ที่่มีแสงสลัวในที่มึดไม่ชัดเจนในช่วงแรก ก่อนที่จะปรับตาเพื่อให้เห็นชัดจะช้ากว่าปกติหรือเรียกว่า Slow dark adaptation

24.ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
ผลขนุนยังมีวิตามิน บี6 ที่จะช่วยลดระดับโฮโมซิสเตอีนในเลือด ทำให้หัวใจแข็งแรง

25.ช่วยสมานแผน
ขนุนมีคุณสมบัติในการสมานแผลที่น่าทึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการผิดปกติอื่นๆในระบบทางเดินอาหารด้วย

เห็นไหมค่ะขนุนที่ว่าเป็นผลไม้ที่เหมือนจะทานแล้วได้แค่ความอร่อยนั้น ยังสามารถมี 25ประโยชน์ของขนุน ให้คนไทยและชาวต่างชาติได้รู้และลองทานกัน

เคล็ดลับดูแลรูปร่าง ตัวช่วยตอบโจทย์ เดนิมพลัส

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง

โทร.082-4994-936

Posted on

ถอดรหัสลับ พอร์คชอป

ถอดรหัสลับ 5ข้อพอร์คชอป

ถอดรหัสลับ 5 ข้อ พอร์คชอป


เรื่องกินเรื่องใหญ่ คำนี้ติดปากคนไทยมายาวนาน การได้พบปะเพื่อนฝูงจิบเครื่องดื่มและเพลิดเพลินไปกับการทานอาหารอร่อยนั้นสุขยิ่งกว่าสิ่งใด มารู้จักเมนูนิดนิยม “Pork Chop Steak”ถอดรหัสลับ 5 ข้อ เกี่ยวกับพอร์คชอป” กันเลย
.

1.พอร์คชอป คือส่วนไหนกันหนอ?
คือเนื้อส่วนที่คล้ายกับทีโบนในเนื้อวัว เป็นเนื้อติดกระดูกนั่นเอง แต่ถ้าเป็นเนื้อหมู ก็จะเรียกว่า พอร์คช็อป

2.แล้วเนื้อสันนอก กับ เนื้อสันใน มันต่างกันยังไง?
“สันในหมู” เป็นส่วนที่นุ่มมากที่สุด เหมาะทำอาหารประเภทอบหรือย่าง เช่น หมูแดง “หมูสันนอก” เป็นเนื้อที่มีความนุ่มปานกลาง เป็นก้อนใหญ่ เหมาะสำหรับเมนูที่ต้องหั่นกินเป็นชิ้นใหญ่ๆ ส่วนควาามอร่อยต้องขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ทานว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน

3.Pork Chop ยิ่งแพงยิ่งดี จริงหรือ?
หมูที่ขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่จะ cut ออกมาแตกต่างกันหลักๆจะมี pork loin chop, pork loin blade chop, pork loin center chop ความอร่อยขึ้นอยู่กับการหมัก การย่างและความชอบ มิได้ขึ้นอยู่กับราคาเสมอไป

4.กินยังไงไม่ให้อ้วน?
โชคดีที่เมนูนี้ปรุงแบบเสต็ก จะช่วยลดไขมันได้ดีกว่าเมนูทอด ที่อุดมไปด้วยไขมันจากน้ำมัน *หากคุณทานพอร์คชอปคู่กับสลัดผักสด จะได้พลังงาน 375 กิโลแคลอรี่ ซึ่งยังน้อยกว่า ข้าวกระเพรา หรือ ผัดไทย 1 จาน

5.ผักสีเขียวซอยที่อยู่ด้านบนพอร์คชอป..เป็นมากกว่าผักโรยจาน?
ผักที่ว่านี้คือ พาร์สลีย์ (Parsley) หากได้ทานหนึ่งถ้วยจะมีบีตาแคโรทีน มากกว่าแครอทหัวใหญ่หนึ่งหัว มีวิตามินซีมากกว่าส้มเกือบสองเท่า และมีแคลเซียมมากกว่านมหนึ่งแก้ว ถ้ารู้แบบนี้แล้วก็อย่าเขี่ยทิ้งกันนะ

เคล็ดลับดูแลรูปร่าง
❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
กระบองเพชรอินเดีย ♥️ เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block ด้วยถั่วขาว โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน ด้วยไคโตซาน แล้วขับถ่ายออก


เดนิมพลัส

?☎️สายด่วน : 082-4994936

Posted on Leave a comment

อาหารบำรุงหัวใจ

อาหารบำรุงหัวใจ

อาหารบำรุงหัวใจ

อาหารบำรุงหัวใจ มาดูแลหัวใจกันด้วยอาหารดีๆนะคะ

อาหารไฟเบอร์สูง เช่นธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก และผลไม้

ปลาไขมันสูง เช่น ปลาทู ปลาช่อนปลาทูน่า ปลาสวาย ปลาแซลมอน หรือปลาแมคเคอเรล อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

นมหรือผลิตภัณฑ์จากนมไขมันต่ำหรือพร่องมันเนย เพราะผลการวิจัยพบว่าแคลเซียมในนม ช่วยควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงเกินไป

น้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

ข้าวหรือแป้งขัดขาวรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งขัดขาว เช่นขนมปังขัดขาว คุกกี้ หรือเค้ก

อาหารเค็ม เพราะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจ ปริมาณเกลือที่รับประทานในแต่ละวันไม่ควรเกิน 2400 มิลลิกรัม โดยทั่วไปเมื่อเปรียบเทียบอาหารดังต่อไปนี้ปริมาณเท่ากัน คือ 1ช้อนโต๊ะ มีปริมาณเกลือ(มิลลิกรัม)

มากไปหาน้อยตามลำดับดังนี้
เกลือ ( 2000 )
กะปิ (1430 – 1490 )
น้ำปลา (1160 – 1490 )
ซีอิ๋ว (960 – 1460 )
ซอสหอยนางรม (420 – 490 )
และผงชูรส 492

อาหารไขมันสูง เช่นเนื้อสัตวติดมัน ไขมันจากสัตว์ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม

การรับประทาน อาหารบำรุงหัวใจ นั้นจะช่วยทำให้ร่างกายของนั้นของจากจะมีสุขภาพใจที่ดีแล้ว ยังช่วยทำให้ร่างกายของเรานั้นมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง

Posted on Leave a comment

9วิธี ควบคุมตัวเองไม่ให้กินเยอะ

หัวใจสำคัญในการควบคุมน้ำหนัก นอกจากจะต้องเลือกอาหารที่ดี มีประโยชน์ และแคลอรี่ไม่สูง เราต้องคำนึงถึงปริมาณที่เรากินเข้าไปด้วยค่ะ

เพราะต่อให้เราเลือกอาหารที่แคลอรี่น้อยขนาดไหน แต่ถ้ากินเข้าไปเยอะๆ แบบไม่ยั้ง ก็ทำให้น้ำหนักเราขึ้นได้เหมือนกันนะ ถ้าเราสามารถ ควบคุมตัวเองไม่ให้กินเยอะ ก็จะส่งผลดีต่อน้ำหนักและสุขภาพร่างกายของเราค่ะ

1. เคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วย ตอนซื้อของกิน
เราอาจเคยได้ยินมาว่า เวลาหิวๆ ไม่ควรเดินไปในโซนของกิน เพราะจะทำให้เราซื้อนู้นซื้อนี่มาเยอะแยะ จนต้องกินของที่ซื้อมาจนหมด แต่ต่อจากนี้ ไม่ต้องห้ามใจไม่ให้เดินเข้าไปในโซนที่เลี่ยงยากอีกแล้ว ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ คือ ก่อนจะเดินเข้าไปตามร้านขายของกิน หรือในซูเปอร์มาเก็ตโซนที่ขายอาหาร หรือขนม ให้เราเคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วยค่ะ เพราะการเคี้ยวหมาฝรั่งจะทำให้ความอยากอาหารของเราลดลง เคล็ดลับนี้ไม่ได้อ้างขึ้นมาเฉยๆ นะคะ เพราะเคยมีการวิจัยออกมาแล้วว่า คนที่เคี้ยวหมากฝรั่งขณะเดินซื้อของกิน จะซื้อขนมที่มีแคลอรี่สูงๆ มาน้อยลง และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ของส่วนใหญ่ที่ซื้อกลับบ้านมา มักเป็นอาหารเพื่อสุขภาพด้วย! แต่ก็ต้องระวังกันสักนิดนะคะ เพราะหมากฝรั่งบางอย่างก็น้ำตาลสูง แนะนำว่าให้เลือกกินแบบ Sugar-free หรือไม่ก็น้ำตาลน้อยๆ ค่ะ

2. ตักอาหารเพื่อสุขภาพใส่จานก่อน
ไม่ว่าเราจะกินอาหารที่บ้านหรือไปกินบุฟเฟ่ต์มื้อหนักๆ ข้างนอก ถ้าเราอยากควบคุมปริมาณอาหารที่กินเข้าไปให้น้อยลง ก็ทำได้ไม่ยากค่ะ ด้วยการ ตักเอาผัก หรือพวกอาหารแคลอรี่น้อยๆ ใส่จานให้เต็มก่อน ทีนี้เราก็จะเหลือพื้นที่สำหรับใส่อาหารแคลอรี่สูงๆ ได้น้อยลงแล้ว

3. เปย์ด้วยเงินสด
การใช้บัตรเครดิต จะทำให้เราซื้ออาหารได้ง่ายขึ้น รูดเอาๆ ก็ได้ของกินมาเพี๊ยบแบบไม่ทันรู้ตัวเลยล่ะ ถ้าเราลองใช้เงินสด และลองพกเงินในกระเป๋าตังค์น้อยๆ ก็จะช่วยให้เราซื้อได้น้อยลง ไม่ใช่ว่ามันลดความยากกินนะ แต่ถ้าซื้อเยอะกว่านี้ คงได้กินแกลบแทนข้าวแน่ๆ เลย

4. ปิดพวกรายการทีวีทำอาหาร
ความมีเสน่ห์ของรายการอาหาร ก็คือ ภาพของอาหารที่มันชวนให้น่ากินเนี่ยแหละค่ะ ถึงกับมีงานวิจัยออกมาแล้วนะคะว่า คนเราจะกินอาหารเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ดูรายการทำอาหารไปด้วย

5. ใช้จาน ชามสีฟ้าลดความอยากอาหาร
เชื่อไหมว่า สีของจานอาหารก็ช่วยลดความอยากอาหารได้ด้วยนะ ซึ่งจานสีฟ้าจะช่วยลดความอยากอาหารของเราได้ค่ะ ใครอยากลดปริมาณอาหารที่กินแต่ละมื้อ ลองเปลี่ยนจานสีสดๆ มาเป็นโทนเบาๆ อย่างสีฟ้าแทนสิคะ

6. ใช้จาน ชามขนาดเล็ก ช่วยทำให้อาหารดูเยอะ ทั้งๆ ที่น้อย
ขนาดของจาน มีความสัมพันธ์กับการกินของเรา ถ้าเราใช้จานใบใหญ่ สมองเราก็จะสั่งการว่า เราต้องกินในปริมาณเท่านี้ และแน่นอนว่า ถ้าใช้จานใบใหญ่ ก็หมายถึงว่าอาหารที่เรากินเข้าไปต้องเยอะตาม เพื่อลดปริมาณอาหาร ไม่ให้ตัวเองกินเยอะเกินไป ขอแนะนำว่าให้ใช้จานใบเล็กๆ ใส่อาหาร และก็กินแค่ที่มีในจานก็พอค่ะ

7. ขอให้การกินเป็นตัวเลือกสุดท้ายเมื่อเราเครียด
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเรากินอาหารได้มากขึ้น ก็มาจากความเครียดในชีวิต เคยได้ยินไหมคะว่า “ยิ่งเครียดยิ่งกินเยอะ” เครียดอะไรมาก็พุ่งเข้าหาของกินไว้ก่อน ด้วยเหตุนี้ เพื่อควบคุมตัวเราไม่ให้กินเยอะมากเกินไป ลองหักห้ามใจตัวเองดูค่ะ พอเครียดปุ๊ป ก็ให้เบี่ยงเบนไปทำอย่างอื่นแทนการกินสักประมาณ 5-10 นาที และลองถามใจตัวเองว่า ยังรู้สึกหิวอยู่หรือเปล่า เพราะบางทีเราอาจจะไม่ได้รู้สึกว่าหิวจริงๆ ค่ะ เราแค่หาทางออกด้วยการกินเท่านั้น

8. เอาขนม ของหวานวางไว้ในที่ไกลจากสายตา
บางทีเรากินนู้นกินนี่บ่อยๆ เพราะเราเห็นมันเป็นประจำก็ได้ เห็นทีก็หิวที เพื่อระงับอาการหิว ก็ควรทำยังไงก็ได้ไม่ให้เราเห็นของพวกนั้นบ่อยๆ นั่นก็คือ เอาของกิน กระปุกของหวาน ไปวางไว้ในที่ไกลสายตา วางในจุดที่เราจะไม่หันไปมองเห็นได้บ่อยๆ มีการทดลองหนึ่งบอกว่า พอให้พนักงานออฟฟิศวางช็อกโกแลตบนโต๊ะ ปรากฏว่า กว่า 45% กินช็อกโกแลตที่อยู่บนโต๊ะมากกว่ากระปุกของหวานที่วางไกลจากที่นั่ง 6 ฟุต และจะกินช็อกโกแลตลดลง 25% เมื่อเอาช็อกโกแลตวางไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานค่ะ เห็นไหมคะว่า การเอาของกินวางไกลๆ สายตาเรา ก็ช่วยลดการกินบ่อยๆ ได้เช่นกันนะ

9. กินช้าๆ และดื่มน้ำเยอะๆ
อีกหนึ่งเคล็ดลับสุดท้าย ที่จะทำให้เรากินได้น้อยลง นอกจากจะตักใส่จานใบเล็กๆ ควบคุมปริมาณให้น้อยลงแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำก็คือ ควรกินช้าๆ ค่ะ ก็จะช่วยให้เราอิ่มเร็ว กินได้น้อยกว่ากินเร็วๆ แล้วก็ในระหว่างที่กินอาหาร ก็ดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆ ด้วย เพราะน้ำจะทำให้รู้สึกอิ่มง่าย

พักนี้ใครรู้สึกว่า ควบคุมเรื่องการกินไม่อยู่ ลองนำเคล็ดลับนี้ไปใช้ดูค่ะ เคล็ดลับใกล้ตัวที่ทำได้ไม่ยากเลย แต่เราก็ไม่ได้หมายความว่าให้ทุกคนอดข้าว อดน้ำ หรือกินน้อยเกินไปนะคะ ควรกินให้อยู่ในระดับที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน และควบคุมตัวเองไม่ให้กินเยอะกว่าปริมาณปกติค่ะ

 

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

❥เดนิมพลัส วันละเม็ด กระบองเพชรอินเดีย
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง

Posted on Leave a comment

8 โรคร้าย! ที่มาพร้อมกับ ความอ้วน

8 โรคร้าย! ที่มาพร้อมกับ ความอ้วน

หลายคนๆ คงจะชอบผลัดวันประกันพรุ่งในการออกกำลังกาย

แม้ปากจะบ่นว่า ✺อ้วน ✺อ้วน ✺อ้วน

แต่พฤติกรรมกลับตรงกันข้าม

8 โรคร้าย! ที่มาพร้อมกับ ความอ้วน

กินเยอะ กินของหวาน แถมยัง ไม่ออกกำลังกาย อีกด้วย

ยิ่งทำให้เริ่มอ้วนมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แต่ ความอ้วน ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามเท่านั้น แต่ยังหมายถึงสุขภาพของเราอีกด้วย เพราะ

ความอ้วน จะนำโรคร้าย ต่างๆ มาสู่เราได้เช่นกัน ไปดูกันดีกว่าว่า ความอ้วน จะพาโรคร้ายอะไรบ้างมาสู่เรา

1. ✺ไขมันในเลือดสูง ซึ่งนำไปสู่ความผิดปกติของระบบอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าเม็ดไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ยิ่งหนามากขึ้นๆ ถนนของเจ้าเลือดก็เดินไม่สะดวกตามไป ก็เลือดต้องไปหล่อเลี้ยงเซลล์ทุกส่วนของร่างกาย และเราก็ขาดเลือดไม่ได้ แน่นอนจะมีปัญหาต่อสุขภาพตามมาอีกมาก ทั้งโรคหัวใจวาย ความดันโลหิตสูง เหนื่อยหอบ มึนงงบ่อยๆ เป็นลม เมื่อเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายไม่ดี เซลล์ก็เสื่อมโทรมลง อนุมูลอิสระก็เกิดเร็วขึ้น ทีนี้แหละ แก่เร็วอย่างเห็นได้ชัด

2. ✺ความดันโลหิตสูง เมื่อไขมันเคลือบผนังหลอดเลือด บางจุดอาจตีบมาก หัวใจมีหน้าที่เหมือนปั๊มน้ำ ก็ต้องขับดันเลือดวิ่งไปให้ทั่วร่างกายทุกซอกทุกมุม เมื่อบางจุดโดนบีบให้แคบ แต่ร่างกายต้องการเลือด มันอาจออกแรงผลักดันเลือด อาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตก ถึงแก่ชีวิต หรือพิการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้

3. ✺โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประเทศอุตสาหกรรม รวมทั้งประเทศไทยด้วย เนื่องจากไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน หัวใจทำงานเพิ่มมากขึ้น ถ้าเป็นกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจก็ทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด และหัวใจวาย

4. ✺โรคเบาหวาน พบว่าคนไทยเป็นเบาหวานกันประมาณ 3 ล้านคน ลองคิดดูว่าไม่น้อย วันหน้าถ้ายังใช้ชีวิตเผอเรอ มีหวังได้เป็นเบาหวานด้วยอีกคน โรคนี้เป็นเพื่อนคู่ซี้กับโรคอ้วน ที่มักพบควบคู่กันเสมอ เบาหวานนั้นเพราะระบบควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายผิดปกติ เมื่อเป็นเบาหวานแล้ว ถ้าเกิดเป็นแผลก็มักรักษาไม่หาย กลายเป็นแผลเรื้อรัง บางทีก็เป็นแผลกดทับ ประกอบกับเสี่ยงต่อการติดเชื้อราง่ายขึ้น เพราะมีการอับชื้นของซอกแขน และซอกขามากกว่าปกติ

5. ✺โรคข้อกระดูกเสื่อม โดยเฉพาะข้อเข่าและข้อเท้า เนื่องจากต้องรับน้ำหนักตัวมากเกินพิกัด บางคนที่อ้วนมากๆ อาจจะยืนหรือเดินไม่ได้เลย เพราะข้อเท้าไม่สามารถรับน้ำหนักได้ คนอ้วนมากๆ จะเดินก็ลำบาก โยกเยกซ้ายขวา เดินไปเหนื่อยหอบไป

6. ✺โรคระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากในคนอ้วนมักมีการเคลื่อนไหวน้อย ชอบนั่งหรือนอน ปอดจึงขยายตัวไม่เต็มที่ ทำให้เกิดการติดเชื้อของทางเดินหายใจได้มากขึ้น บางครั้งถึงกับมีภาวะการหายใจลดลง หายใจติดขัด ทำให้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คั่งในปอด คนอ้วนมากเหนื่อยง่าย ง่วงนอนตลอดเวลา อาจพบภาวะของโรคอารมณ์เศร้าหมองร่วมไปด้วยก็กิน ซึ่งอาจจะช่วยให้อารมณ์ช่วงนั้นดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำร้ายตัวเองมากยิ่งขึ้น

7. ✺โรคมะเร็งบางชนิด คนอ้วนมีอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ รวมทั้งโรคมะเร็งได้

8. ✺รคนิ่วในถุงน้ำดี และไขมันแทรกในตับ เมื่อมีไขมันมาก การทำงานของตับก็ลดลง เพราะไขมันเข้าไปแทรกอยู่ จนทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี

8 โรคร้าย! ที่มาพร้อมความอ้วน!!!!!!
1. ไขมันในเลือดสูง
2. ความดันโลหิตสูง
3. โรคหัวใจและหลอดเลือด

4. โรคเบาหวาน

5. โรคข้อกระดูกเสื่อม

6. โรคระบบทางเดินหายใจ

7. โรคมะเร็งบางชนิด

8. โรคนิ่วในถุงน้ำดี และไขมันแทรกในตับ

ความอ้วน สามารถนำโรคร้ายต่างๆมาสู่เราได้เยอะมากค่ะ ใครที่อวบระยะสุดท้ายควรรีบลดน้ำหนักก่อนที่โรคต่างๆจะถามหาเอานะคะ

ลดน้ำหนักง่ายๆ เห็นผลจริง ทักมาเลยค่ะ ทุกคำถามของคุณเรามีตอบทุกคำถาม Denim Plus วันละเม็ด

 

เรื่องราวเพิ่มเติม ตัวช่วย ตอบโจทย์
https://789beauty.com/

❥เดนิมพลัส วันละเม็ด
เผาผลาญแทนออกกำลังกาย
❥ ใช้หลักการ เน้นการเบิร์น Burn และการบล็อค Block โดยทำให้ร่างกายสามารถทำการ Burn ได้ตลอดทั้งวัน โดยทำให้เกิด กระบวนการเมตาบอลิซึม Metabolism ได้ตลอดทั้งวัน ยับยั้งย่อยแป้ง + ดักจับไขมัน แล้วขับถ่ายออก

 

เดนิมพลัส
เคล็ดลับดูแลรูปร่าง